ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 11.2 กลับขึ้นสวรรค์อีกแล้ว!!! (2)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 11 กลับขึ้นสวรรค์อีกแล้ว!!! (2) โดย Ink Stone_Fantasy

 

ทว่าละครฉากนี้ยังไม่จบ ก่อนหน้านี้ตอนที่ธิดาเทพปรากฏตัวขึ้น สถานะของตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวาในสายตาของชาวบ้านก็ต่ำลงเล็กน้อย และหลังจากนั้นไม่นาน ธิดาเทพผู้จัดการค่ายกลเป็นตายหยินหยางได้สำเร็จก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างถูกเวลา

“หือ เจ้าสำนัก ท่านอยู่ที่นี่เอง ไหนบอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการมิใช่หรือ”

“เพราะข้ายังไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเจ้า อย่างไรเสียนี่ก็เป็นค่ายกลในระดับเจ้าสำนัก หากเจ้าถูกฆ่าตาย อย่างน้อยข้าก็จะได้เผาธูปไปให้ได้”

“ระยำ! ความคิดอะไรของท่านน่ะ!?”

“มันคือความดูแลเอาใจใส่ที่ผู้เป็นนายมีต่อผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไรเล่า… ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เจอกัน เจ้าไม่เคยคุกเข่าหรือกล่าวทักทายข้าเลย ทำเอาข้ารู้สึกกังวลมาก ขอถามตามตรง หรือเจ้าคิดจะแย่งตำแหน่งข้า”

“แย่งตำแหน่งน้องสาวเจ้าสิ!” หญิงสาวพูดย้อน แต่ก็ยังทำความเคารพหวังลู่อย่างไม่เต็มใจ สักพักนางก็เบ้ปาก

การพูดจาโต้ตอบอย่างมีชีวิตชีวานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการแสดงเช่นกัน แม้ในทางทฤษฎีเจ้าสำนักที่เคร่งขรึมและสูงส่งจะดูเหมาะควรที่จะควบคุมกลุ่มคนที่โง่เขลามากกว่า ทว่าประการแรก หากเขายังคิดพึ่งพานักแสดงมือสมัครเล่นพวกนี้ต่อไป ก็มีความเป็นไปได้ที่คนพวกนี้จะแสดงกันเลยเถิด อย่างน้อยหากเขาคาดหวังว่าเถ้าแก่เนี้ยจะคุกเข่าทำความเคารพเขา บอกเลยว่าโอกาสที่จะกลายเป็นภาพแขวนผนังยังมีมากกว่าเสียอีก ประการที่สอง หวังลู่ไม่ต้องการเอาอย่างสำนักตามแบบแผนทั่วไป หากเขาคิดจะใช้สถานะของตาแก่ลามกในสำนักเจ็ดดาราเพื่อบรรลุเป้าหมายที่นี่ก็ย่อมได้ ทว่าเขาชังสำนักเจ็ดดารายิ่งนัก และในเมื่อเขาตัดสินใจเปิดสำนักเอง หากเขาไม่ใช้วิธีใหม่ๆ ในการจัดการสิ่งต่างๆ เขาก็ไม่คู่ควรกับตำแหน่งนักผจญภัยมืออาชีพแล้ว ดังนั้น เขาจึงอยากให้ละครเรื่องนี้ทำลายชื่อเสียงและเกียรติยศของสำนักเจ็ดดาราที่มีในหมู่บ้านนี้ให้สิ้นซาก

จากนั้นค่อยให้พวกชาวบ้านที่โง่เขลาและไร้สติได้ลิ้มรสความน่าเกรงขามของศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาดู

แน่นอนเมื่อได้เห็นว่าเจ้าสำนักผู้นี้มิใช่บุคคลที่สูงส่งจนเข้าไม่ถึง จิตใจของชาวบ้านหลายคนก็เริ่มหวั่นไหว

“ประทานโทษเถิดท่านเทพเซียน…” หวังฉี่เหนียนทำตัวเป็นโฆษกประจำหมู่บ้านอีกครั้ง ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ เขาได้รวบรวมความกล้าเพื่อคนทั้งหมู่บ้าน

ทว่าก่อนที่เขาจะได้พูดต่อ หวังลู่ก็ขัดเขาเสียก่อน “หมู่บ้านตระกูลหวังเป็นพื้นที่ที่ล้ำค่า ทั้งยังมีฮวงจุ้ยที่ดี จากทั่วทุกที่ในโลกมนุษย์ ที่นี่เหมาะสมที่สุดที่จะตั้งแท่นบูชา โชคร้ายที่เวลาในโลกมนุษย์ของข้ากำลังจะหมดลง และข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินทางกลับโลกแห่งเซียน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาตั้งแท่นบูชา ข้าจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง”

พูดจบ ร่างของเขาก็อันตรธานหายไป ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทำให้ถ้อยคำนับพันคำที่ผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านต้องการพูดออกมาค้างเติ่งอยู่ในลำคอ

จากนั้นเขาก็ได้ยินอู้เฟยฮวาถอนหายใจ “ท่านเจ้าสำนักกลับไปยังโลกแห่งเซียนอีกครั้งแล้ว”

ตาแก่ลามกผงกหัวเบาๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส “เขาเป็นคนของโลกแห่งเซียนโดยแท้ เขามาไม่เห็นเงาไปไม่ทิ้งรอยเท้า เหมือนเวลาที่ได้เห็นมังกร ก่อนที่เราจะได้เห็นหัวของมัน หางของมันก็หายไปเสียแล้ว!”

เมื่อได้ยินบทสนทนาจากบุคคลข้างๆ ธิดาเทพก็ถึงกับอับจนคำพูด พลางคิดว่าสองคนนี้ชักจะเข้าถึงบทบาทเกิดไปหน่อย แล้วเรื่องก่อนเห็นหัวมังกร หางมังกรก็หายไปเสียแล้วนี่มันอะไรกัน ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งร่ายอาคมพรางตาให้กับหวังลู่หรอกหรือ ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นก็ยืนเงียบๆ อยู่ข้างๆ นางอยู่นี่!

ทว่ามีเพียงการเล่นละครอย่างสมบทบาทเท่านั้นจึงจะเอาชนะใจพวกชาวบ้านได้

แน่นอนว่า เมื่อหวังฉี่เหนียนที่ได้ยินคำว่าโลกแห่งเซียนเขาก็นิ่งอึ้งไป “ท่านเจ้าสำนักเป็นเซียนจริงๆ หรือ!?”

แม้คนจากหมู่บ้านตระกูลหวังจะเรียกพวกเขาว่าเทพเซียนมาตั้งแต่สมัยสำนักเจ็ดดารา แต่พวกเขาก็รู้ว่าคนพวกนี้เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียน ไม่ใช่เซียนจริงๆ แต่แม้ ‘เทพเซียน’ เหล่านี้จะเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียน พวกเขาก็สูงส่งกว่าปุถุชนธรรมดาหลายเท่านัก ดังนั้นพวกชาวบ้านจึงพากันประจบสอพลอคนเหล่านี้อย่างตั้งอกตั้งใจ

แต่เมื่อได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้… เด็กหนุ่มนั่นเป็นเซียนจริงๆ หรือ!? ทว่าเมื่อพวกเขาใคร่ครวญดูให้ดีแล้ว มันก็ดูไม่แปลกแต่อย่างใด

ตาแก่ลามกและอู้เฟยฮวา ความสามารถของเทพเซียนสองคนนี้น่าอัศจรรย์โดยแท้ ต่อมาธิดาเทพกลับแสดงให้เห็นว่านางมีพลังแก่กล้ายิ่งกว่าสองคนนั้นเสียอีก สุดท้ายเมื่อเจ้าสำนักมาถึง แม้แต่ธิดาเทพยังต้องรายงานต่อเขา เมื่อคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่สืบเนื่องกันเป็นชั้นๆ เช่นนี้ ก็ทำให้หวังฉี่เหนียนได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว

หากเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ใช่เซียนที่แท้จริง แล้วเขาจะมีอำนาจเหนือบุคคลที่ทรงอำนาจเบื้องหน้าเขาได้อย่างไร

ตาแก่ลามกเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “แน่นอนว่าท่านเจ้าสำนักเป็นเซียนที่แท้จริง! โชคร้ายที่เจ้าสำนักถูกกฎของโลกแห่งเซียนผูกมัดเอาไว้ เขาต้องเว้นช่วงสักหน่อยก่อนที่จะลงมายังโลกอีกครั้งได้ ทุกครั้งที่เขาลงมายังโลกเบื้องล่างนี้ เขาต้องรวบรวมกายเนื้อขึ้นมาก่อน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในเมื่อพวกเจ้ามีโอกาสได้เห็นเขา นั่นถือเป็นพรอันใหญ่หลวงไปชั่วชีวิตของพวกเจ้าแล้ว”

พวกชาวบ้านคำนับเลียนแบบตาแก่ลามกอย่างรวดเร็ว

คราวนี้ ผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านก็แสดงภูมิปัญญาที่โดดเด่นออกมา “เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านเจ้าสำนักพูดว่าหมู่บ้านตระกูลหวังของเราเป็นพื้นที่ที่ล้ำค่า ทั้งยังมีฮวงจุ้ยที่ดี ไม่ทราบว่า…”

ตาแก่ลามกตอบ “ที่นี่อุดมไปด้วยพลังปราณฟ้าดิน เป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมในการบำเพ็ญเซียน สำนักเจ็ดดาราเมื่อตรวจพบพลังปราณฟ้าดินจำนวนมากนี้ ก็ได้ตั้งค่ายกลเป็นตายหยินหยางขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนพลังปราณฟ้าดินให้กลายเป็นไอมรณะ… สถานที่เช่นนี้พบเห็นได้ยากในอาณาจักรเก้าแคว้น โชคร้ายที่แม้สำนักเจ็ดดาราจะเป็นเจ้าแรกที่ค้นพบขุมทรัพย์นี้ แต่พวกเขากลับต้องการทำลายมันเพื่อสังเวยให้กับการหลอมอาวุธมาร วิสัยทัศน์ของพวกเขานับว่าตื้นเขินยิ่งนัก!”

เป็นธรรมดาที่หวังฉี่เหนียนย่อมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพลังปราณฟ้าดินและอาวุธมารมากนัก เขารู้เพียงแต่ว่าต้องฉวยโอกาสนี้ไว้!

หัวหน้าหมู่บ้านใคร่ครวญคำพูดที่เจ้าสำนักกล่าวออกมา เพื่อตั้งแท่นบูชา เพื่อฝึกฝน… หัวใจของชายชราไม่อาจหยุดเต้นกระหน่ำได้

จากนั้นเขาก็นึกถึงช่วงเวลาที่คนของสำนักเจ็ดดารายังอยู่ในหมู่บ้าน แม้หลังจากที่ชาวบ้านประจบสอพลอทูตของสำนักและผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ จนกระทั่งยอมสร้างอาคารให้พวกเขาได้พำนัก แต่ก็ทำให้พวกเขาอยู่ที่นี่ได้เพียงชั่วคราวเพื่อสั่งสอนชาวบ้านเรื่องโลกแห่งเซียนเท่านั้น แน่นอนว่าตอนนี้ทุกอย่างดูเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น นั่นเพราะอีกฝ่ายตั้งใจจะทำลายหมู่บ้านแห่งนี้แต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน ทว่าดูเหมือนสำนักภูมิปัญญาแห่งนี้ต้องการตั้งแท่นบูชาขึ้นที่นี่ ดังนั้น…

“ท่านเทพเซียน ข้าขอถามหน่อยว่า ตอนที่ท่านเจ้าสำนักบอกว่าจะตั้งแท่นบูชาขึ้นที่นี่ เขาหมายความว่าอย่างไร…”

“สิ่งที่เรียกว่าการตั้งแท่นบูชานั้นก็คือการก่อสร้างเครื่องมือที่สามารถควบรวมพลังปราณฟ้าดินและเปลี่ยนมันให้เป็นของจำพวกลูกกลอนวิญญาณหรือศิลาวิญญาณ ซึ่งจะช่วยผู้บำเพ็ญเซียนในการบำเพ็ญเซียน แต่ข้าว่าท่านเจ้าสำนักก็ไม่ได้จริงจังมากมายหรอก เป็นการพูดไปเรื่อยมากกว่า การตั้งแท่นบูชาอาจเปลี่ยนทิศทางสนามพลังวิญญาณฟ้าดินและมีผลต่อฮวงจุ้ยได้ และอย่างน้อยก็ต้องได้รับการเห็นชอบจากคนในหมู่บ้านก่อน”

แน่นอนว่าหวังฉี่เหนียนเห็นด้วย เขาผงกหัวหลายต่อหลายครั้ง “ท่านเทพเซียนคือผู้กอบกู้หมู่บ้านเรา ดังนั้นสร้างได้เลยอย่าได้เกรงใจ!”

“หากเป็นเช่นนั้น… ธิดาเทพ ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร”

ธิดาเทพจะคิดเห็นเช่นไรได้ นางเบื่อหน่ายกับการดูละครนี่เต็มทนแล้ว “หากเจ้าอยากสร้าง ก็สร้างเลยสิ”

ตาแก่ลามกผงะ เหตุใดธิดาเทพจึงไม่เล่นตามบทเล่า!? ตามบทที่กำหนดไว้ นางต้องทำท่ากระตือรือร้นเล็กน้อย ทำท่าตื่นเต้นอีกนิดหน่อยมิใช่หรือ!?

ทว่าตาแก่ลามกนั่นคู่ควรแล้วกับการเป็นอดีตนักต้มตุ๋นมืออาชีพ การตอบสนองของเขารวดเร็วมาก “ในเมื่อธิดาเทพเห็นดีเห็นงามด้วย งั้นข้าว่าเราควรจะลงแรงกึ่งหนึ่งให้ได้ผลถึงสองเท่า… เฟยฮวากับข้าจะไปตระเตรียมวัตถุดิบต่างๆ เสียก่อน อีกสองวันจากนี้เราจะกลับมาเพื่อตั้งแท่นบูชา!”

…………………………………………………..