ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 12.1 เจ้าย่อมไม่เข้าใจโลกของศิษย์แถวหน้า (1)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 12 เจ้าย่อมไม่เข้าใจโลกของศิษย์แถวหน้า (1) โดย Ink Stone_Fantasy

 

หลังจากที่คนของสำนักภูมิปัญญาออกจากหมู่บ้านตระกูลหวังไปแล้ว พวกชาวบ้านก็เกิดอาการสับสนในทันที

ผู้คนเกือบทั้งหมู่บ้านจำนวนหลายร้อยคนกำลังส่งเสียงดังเอ็ดตะโรอยู่หน้าบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน

แค่เพียงครึ่งวันก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายที่หมู่บ้านตระกูลหวัง จนเหล่าชาวบ้านที่ไม่ได้เห็นโลกมามากมายนักเกิดความโกลาหลขึ้น และท่ามกลางความโกลาหลนี้ พวกเขาต้องการใครสักคนที่จะนำทางออกจากเขาวงกตนี้ และบุคคลที่คู่ควรอย่างที่สุดจะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจากหวังฉี่เหนียน?

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน เหตุใดท่านจึงด่วนตกลงใจให้พวกเขาสร้างแท่นบูชาเล่า พวกเขาเองก็บอกว่ามันจะส่งผลกระทบต่อพลังปราณฟ้าดินมิใช่หรือ อย่างไรเสียพลังปราณอะไรนั่นก็เป็นของหมู่บ้านเรา เหตุใดจึงยกให้พวกเขาง่ายๆ หนำซ้ำหากพลังปราณฟ้าดินมีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ จะไม่ใช่ว่า…”

เด็กหนุ่มเฉลียวฉลาดคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย

หวังฉี่เหนียนเงยหน้าขึ้นพลางดุเขา “โง่เง่า! เจ้ารู้หรือว่าพลังปราณฟ้าดินคืออะไร รู้หรือว่าใช้อย่างไร สองปีหลังมานี่ข้าไม่รู้เลยว่ามีพลังปราณฟ้าดินมากเท่าไหร่ที่โดนผลกระทบจากสำนักมารเจ็ดดารานั่น แล้วเจ้าล่ะรู้สึกหรือเปล่า ชีวิตของเจ้าสั้นลงหรือเปล่า นี่เป็นเรื่องของเหล่าเทพเซียนพวกนั้น เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลแทนหรอก!? คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน!”

หลังจากถูกตำหนิชุดใหญ่ เด็กหนุ่มผู้นั้นก็ถอยหลังกลับไปในทันใด แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อแม้แต่น้อย

หวังฉี่เหนียนถอนใจแล้วกล่าวต่อ “ยังไม่รวมที่พวกเขาเป็นผู้มีพระคุณของเรา หากไม่ได้สำนักภูมิปัญญา คนในหมู่บ้านตระกูลหวังก็คงต้องตายศพไม่ได้ถูกฝังเสียแล้ว พวกเจ้าไม่เห็นภูตผีและวิญญาณที่ลอยอยู่เต็มฟ้าในตอนนั้นหรอกหรือ น่ากลัวจะตายไป! ข้ารับความกรุณาจากพวกเขา แต่พวกเจ้ากลับอยากจะตั้งเงื่อนไขอะไรกันอีก!?”

หลังจากได้ฟังคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้าน ชาวบ้านหลายคนก็หน้าแดงด้วยความอับอาย ทว่ายังมีบางคนที่ฝึกฝนวิชาหน้าหนามาตลอดสองปีหลังและคิดตรงข้าม

อย่างไรเสีย สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงเรื่องโอ้อวดของเทพเซียนพวกนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เห็นจะมีความกรุณาอะไรเลยสักนิด

แม้หวังฉี่เหนียนจะแก่แล้ว แต่สติปัญญายังเฉียบแหลม ในสายตาของเขา เขารู้ว่าชาวบ้านบางคนยังข้องใจอยู่ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มหยัน “หากพวกเจ้าไม่อยากจดจำบุญคุณของผู้อื่น อย่างน้อยก็ช่วยจดจำสิ่งที่เขาทำบ้าง! เทพเซียนเหล่านั้นพูดกับเราอย่างดี ทั้งยังหารือในเรื่องนี้กับเราก่อนด้วย หากพวกเขาไม่อยากทำเช่นนั้น… หึ เห็นทีข้าคงไม่ต้องพูดต่อกระมัง”

ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านยิ้มเยาะออกมาอีกรอบ ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นการข่มขวัญ ทำให้เหล่าชาวบ้านรู้สึกกระวนกระวายใจ

เมื่อพวกชาวบ้านทำตัวสงบกันแล้ว หวังฉี่เหนียนก็อธิบายต่อ “เมื่อสองปีก่อน เราถูกสำนักมารเจ็ดดาราหลอกลวง ทว่าต้องขอบคุณสำนักภูมิปัญญา เราจึงรอดพ้นจากหายนะที่ใกล้เข้ามาได้ อย่างไรก็ดี ปรมาจารย์เทพเซียนของสำนักภูมิปัญญาดูจะชื่นชอบพลังปราณฟ้าดินในหมู่บ้านของเราและต้องการตั้งแท่นบูชาขึ้นที่นี่ ตามความเห็นของข้า ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องดี เหตุผลแรกคือเราสามารถทดแทนบุญคุณที่พวกเขามีต่อเราได้ เหตุผลที่สอง หากตั้งแท่นบูชาได้สำเร็จจริงๆ มันก็จะเป็นโอกาสอันดีกับเรา”

ชาวบ้านบางคนงงงวย “โอกาสอะไร”

หวังฉี่เหนียนหัวเราะ “แน่นอนว่าย่อมเป็นโอกาสสู่โลกแห่งเซียน!”

ชาวบ้านบางคนยังสงสัยต่อ “ที่สำนักมารนั่นบอกกับเรามันไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกหรือ พวกเขาเอาแต่พูดว่าทุกคนต่างก็เป็นเซียนได้ แต่สองปีมานี้ในหมู่บ้านของเรา นอกจากพวกเขาจะสร้างค่ายกลเป็นตายหยินหยางนั่นแล้ว ข้าก็ไม่เห็นพวกเขาทำให้ใครเป็นเซียนเลยสักคน… ถึงแม้เสี่ยวหูจะเคยเข้าสำนักและเรียนรู้จากพวกเขา ข้าก็ไม่เห็นเจ้าหนุ่มนั่นมันจะวิเศษวิโสขึ้นที่ตรงไหน”

คำพูดนี้กระทบจิตใจของเหล่าชาวบ้านอย่างจัง เรื่องฉ้อฉลของสำนักเจ็ดดาราถูกเปิดโปง และทฤษฎีของพวกเขาที่ว่าทุกคนสามารถเป็นเซียนได้ก็พังทลาย ทำให้ความกระหายในการเป็นเซียนของพวกชาวบ้านถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง

แม้แต่หวังฉี่เหนียนก็ยังอึ้งไป ตั้งแต่แรกเขาคิดว่าวิชาเซียนจะช่วยยืดอายุขัยให้เขา ทว่าหลังจากพยายามอย่างหนักมาสองปีและเสียเงินเสียทองไปมากมาย คำพูดของทูตสำนักเจ็ดดาราที่ว่า ‘ข้าจะไปพูดให้’ ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย และตอนนี้สำนักเจ็ดดารานั่นก็ถูกเปิดโปงก่อนที่คำพูดนั้นจะกลายเป็นจริงเสียอีก ทว่าหลังจากที่นิ่งไปพักหนึ่ง ชายชราก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้

“แน่ละว่าสำนักเจ็ดดาราเป็นสำนักมารที่ชั่วร้าย แต่สิ่งที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับการเป็นเซียน ข้าว่าเป็นสิ่งที่ดี… มิเช่นนั้น จากเรื่องต่างๆ มากมายที่พวกเขาสามารถหยิบยกมาหลอกพวกเราได้ เหตุใดเขาจึงเลือกเรื่องนี้เล่า”

ประโยคนี้แท้จริงแล้วเท่ากับหลอกตัวเอง แต่มันก็ได้รับความสนใจไม่น้อย ทันทีที่เขาพูดจบ คนอื่นๆ ก็เริ่มพูดแทรก

“ถูกต้องแล้ว แม้ว่าสำนักมารนั่นจะทำเรื่องชั่วร้ายมานับไม่ถ้วน แต่ข้าไม่คิดว่าประโยคที่ว่า ‘ทุกคนสามารถเป็นเซียนได้’…จะเป็นเรื่องหลอกลวง! พวกมารนั้นชั่วร้าย แต่พวกมันก็มีวิธีสายมารในการฝึกบำเพ็ญเซียนมิใช่หรือ แล้วเหตุใดเราจะเป็นด้วยไม่ได้เล่า”

เมื่อได้ยินดังนี้ ชาวบ้านหลายคนก็เริ่มคล้อยตามเรื่องการเป็นเซียนมากขึ้น

หวังฉี่เหนียนกล่าวพร้อมรอมยิ้ม “แต่ทุกคนย่อมต้องแพ้วถางทางเพื่อไปสู่ความเป็นเซียน เห็นได้ชัดว่าพวกคนจากสำนักมารไม่ได้ยื่นมือมาช่วยเหลืออะไรเราเลย พวกสำนักบำเพ็ญเซียนอื่นๆ ก็คงมองว่าเราเป็นเพียงชาวภูเขา ทว่าข้าคิดว่าสำนักภูมิปัญญานั้นต่างออกไป…”

ใครบางคนถามขึ้น “งั้นเราไปขอร้องให้พวกเขาสอนวิธีบำเพ็ญเซียนกันเถอะ” หวังฉี่เหนียนส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา “พวกเขาไม่ใช่วงศาคณาญาติของเจ้า เหตุใดจึงต้องสอนเจ้าด้วย”

“เอ่อ…”

“ดังนั้นการตั้งแท่นบูชาจึงถือเป็นโอกาสใหญ่ของเรา เมื่อตั้งแท่นบูชาเสร็จแล้ว ก็ย่อมต้องมีคนดูแลถูกไหม การจะดูแลแท่นบูชา สำนักภูมิปัญญาย่อมต้องการกำลังคน อีกทั้งพวกเขาย่อมต้องอยู่ที่นี่ ก็ย่อมต้องการคนที่จะจัดหาสิ่งต่างๆ ให้ทุกๆ วัน หนำซ้ำข้ายังได้ยินมาว่า หลังจากที่ตั้งแท่นบูชาเสร็จ ก็จะสามารถผลิตศิลาวิญญาณและยาลูกกลอนได้อย่างไม่สิ้นสุด เมื่อเวลานั้นมาถึง เทพเซียนย่อมเผยรอยแยกให้ได้เห็น ส่วนพวกเราก็จะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์! ดังนั้น…”

ใบหน้าของหวังฉี่เหนียนเคร่งขรึมขึ้น “การตั้งแท่นบูชาถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับหมู่บ้านตระกูลหวังของเรา! ใครที่คิดคว่ำเรือหรือต่อต้านเรื่องนี้ถือเป็นศัตรูของหมู่บ้าน ไม่มีข้อยกเว้นทั้งนั้น!”

“ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ใครจะกล้าคว่ำเรือกัน”

“ถูกต้อง ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านเชื่อเราได้เลย!”

“เมื่อเวลานั้นมาถึง เราจะไม่กระด้างกระเดื่อง แม้ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็ตาม!”

ท่ามกลางเสียงสนับสนุนของเหล่าชาวบ้าน เสียงถอนหายใจก็ดังมาจากฝูงชน

“แล้วจะทำอย่างไรกับ…เจ้าเด็กหวังลู่นั่น”

บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที

หวังฉี่เหนียนถอนใจ “เด็กหวังลู่นั่น…เรากล่าวหาเขาอย่างผิดๆ ข้าได้ยินจากหวังฟู่กุ้ยว่าหวังลู่กลับขึ้นเขาไปแล้ว และอาจจะไม่กลับมาที่นี่อีกนานเลย”

จากนั้นเขาก็เงียบไป และไม่มีใครอื่นส่งเสียงขึ้นแม้แต่น้อย เมื่อไม่กี่วันก่อน หวังลู่ถูกพวกเขาตราหน้าว่าเป็นมารร้าย พวกชาวบ้านเกลียดหวังลู่เข้าไส้ขนาดที่หากได้ยินชื่อนี้พวกเขาก็จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างชิงชัง ในฐานะหัวหน้าหมู่บ้าน หวังฉี่เหนียนเคยไปตำหนิหวังฟู่กุ้ยถึงที่บ้านด้วยซ้ำ ตอนนี้ในเมื่อเรื่องชั่วช้าของสำนักเจ็ดดาราถูกเปิดโปง จากที่เกลียด จู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกละอายใจ แต่ทว่าในเวลาเช่นนี้ พวกเขาจะพูดอย่างไรได้เล่า

ผ่านไปพักใหญ่หวังฉี่เหนียนจึงเอ่ยปากออกมา “หลังจากนี้ พวกเราควรไปที่บ้านของหวังฟู่กุ้ยเพื่อขอโทษเขา ทำแบบนี้หวังลู่จะได้ไม่สร้างปัญหาอะไรอีกหากเขากลับมา”

“โธ่เอ๊ย สำนักกระบี่วิญญาณเป็นสำนักประเภทไหนกันแน่นะ…”

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หน้าบ้านของหวังฟู่กุ้ยเมื่อหลายวันก่อน หวังฉี่เหนียนก็รู้สึกไม่สบายอกสบายใจเป็นที่สุด!

——

ขณะเดียวกัน บนหุบเขาหูสุนัขนอกหมู่บ้านตระกูลหวัง คณะทำงานของสำนักภูมิปัญญาก็รวมตัวกันครบองก์เพื่อประชุม

ตามแผนการของหวังลู่ ศูนย์อากรเชาวน์ปัญญาแห่งอาณาจักรเก้าแคว้นของพวกเขานั้น คนนอกจะเรียกว่าสำนักภูมิปัญญา ส่วนในการประชุมระดับสูงมันจะถูกเรียกว่า ศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา

“หวังลู่ เจ้าพูดจริงหรือที่จะตั้งแท่นบูชาขึ้นที่นี่”

ในจำนวนพวกเขา คนเดียวที่กล้าเรียกชื่อเขาตรงๆ ก็มิใช่ใคร นั่นคือธิดาเทพนั่นเอง

หวังลู่เองก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ เขาพยักหน้าและกล่าวตอบ “แน่นอนว่าข้าพูดจริง อย่างไรเสีย สำนักเราเป็นสำนักอย่างเป็นทางการ จะไม่มีแท่นบูชาได้อย่างไร”

ธิดาเทพสงสัย “แล้วเจ้าสร้างแท่นบูชาเป็นหรือ”

………………………………………….