เหมือนเฝิงจิ้งซูจะรู้ว่าการได้ดื่มน้ำเย็นลงไปจะทำให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง จึงอ้าปากดื่มน้ำเย็นเข้าไปหลายอึกอย่างให้ความร่วมมือ

 

 

ดื่มน้ำเข้ากาหนึ่ง เฝิงจิ้งซูจึงค่อยประพฤติตัวดีขึ้นบ้าง นอนนิ่งอยู่บนเตียง ไม่บิดตัวอีก และไม่ได้ส่งเสียงขึ้นมาอีก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการของนางแล้วก็รู้ทันทีว่ามีคนแอบวางยาใส่ลงไปในปริมาณมาก แม้จะดื่มน้ำเข้าไปกาหนึ่งก็ทานไว้ได้ไม่นาน วิธีที่เห็นผลเร็วที่สุดก็คือให้เฝิงจิ้งซูนอนแช่อยู่ในน้ำเย็น เพียงแต่ตอนนี้อากาศเย็นมาก หากแช่ในน้ำเย็นในยามที่อากาศเย็นเช่นนี้เกรงว่ากว่าจะสลายยาไปได้ เฝิงจิ้งซูกลับต้องเสี่ยงที่จะหนาวตายก่อน ยังมีอีกวิธีหนึ่งก็คือการใช้ยาช่วยบรรเทา แต่ตอนนี้หวงฝู่อี้เซวียนกลับชักช้าไม่ยอมมาถึงเสียที ในจวนก็ไม่มีคนให้ใช้ ถ้าปล่อยให้เฝิงจิ้งซูอยู่คนเดียวแล้วตัวเองก็ไปหาคนให้ไปซื้อยา แล้วเกิดหวงฝู่อี้เซวียนกลับมาตอนนี้ก็จะยุ่งเอา แต่ถ้าขืนยังรีรอไม่ไปเอายา และไม่มีคนช่วยรักษาให้นาง เกรงว่าเฝิงจิ้งซูอาจจะอกแตกตาย 

 

 

ชั่งน้ำหนักครั้งแล้วครั้งแล้ว เหลือบมองบนเตียงที่เฝิงจิ้งซูนอนอยู่อย่างถือได้ว่าเรียบร้อยดี เมิ่งเชี่ยนโยวกัดฟันแล้วผุดลุกขึ้น รีบก้าวเท้าวิ่งออกจากประตูไป รีบวิ่งไปตามหาหวงฝู่อี้เซวียนตามทิศทางในความทรงจำ

 

 

นางออกไปไม่นาน คนที่แต่งตัวเหมือนกับเด็กรับใช้คนหนึ่งได้พาฉู่เหวินเจี๋ยมาถึงหน้าประตูเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ ซื่อจื่อเราบอกไว้แล้ว ว่าให้ท่านเข้าไปรอในห้องสักครู่ เขามีเรื่องสำคัญจะปรึกษาท่าน บ่าวไม่เข้าไปกับท่านแล้วขอรับ ซื่อจื่อเคยสั่งไว้ ไม่อนุญาตให้บ่าวคนใดก็ตามเข้าไปในเรือนของเขา มิเช่นนั้นต้องตายสถานเดียว”

 

 

ที่เด็กรับใช้กล่าวมาก็มีเหตุผล ฉู่เหวินเจี๋ยจึงไม่ได้คิดอะไรมาก สาวเท้าเดินเข้าประตู ผลักประตูเข้าไป

 

 

มองดูเขาเดินเข้าไป เด็กรับใช้วิ่งกลับไปที่ห้องของเหล่าคนรับใช้ ดึงผ้าปูที่นอนออก หยิบตั๋วเงินที่ซ่อนไว้อย่างดีเอาซุกเข้าไปในอกเสื้อ แล้วจึงรีบเดินออกไปจากจวนอย่างรีบร้อน เดินมุ่งหน้าไปยังรถม้าคันหนึ่งที่อยู่ไกลๆ

 

 

พอได้ยินเสียงฝีเท้า ม่านหน้าต่างก็เปิดขึ้น สาวใช้โผล่หน้าออกมา “เร็วเข้า ถ้าพวกเขาเห็นเข้าจะแย่เอา”

 

 

เด็กรับใช้เข้าไปในรถม้าอย่างคล่องแคล่ว แล้วดึงม่านลง

 

 

สารถีเผยยิ้มอย่างมีเลศนัย ขับรถม้าบ่ายหน้าไปยังสุสานอนาถาที่อยู่นอกเมือง

 

 

สาวใช้กับเด็กรับใช้ที่อยู่ในรถม้าต่างกำลังฝันหวาน กลับไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขากำลังเดินทางเข้าสู่ความตาย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อนมาจนถึงนอกเรือนที่จวนอ๋องฉีใช้รับรองแขกผู้ชาย พบเข้ากับหวงฝู่อี้ที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านนอกพอดี กวักมือเรียกเขาทันที เป็นความหมายว่าให้เข้ามานี่

 

 

หวงฝู่อี้วิ่งเหยาะๆ มาถึงตรงหน้านาง “แม่นางเมิ่ง ท่านเรียกข้า”

 

 

“อี้เซวียนล่ะ” อารามรีบร้อนทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวได้ถามถึงอย่างตรงไปตรงมา

 

 

“ซื่อจื่อเพิ่งจะไปที่ด้านของพระชายาเหนียงเหนียงเพื่อไปหาท่าน ท่านไม่เจอกันกับเขาหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบ พูดขึ้นอย่างร้อนรนว่า “อี้เอ๋อร์ ข้าจอกบอกตัวยาให้ เจ้าจดจำไว้ แล้วก็รีบไปซื้อยากลับมา”

 

 

เห็นสีหน้าของนางดูกระวนกระวาย หวงฝู่อี้จึงถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “อย่าเพิ่งถามเรื่องพวกนี้ เจ้าจำให้ละเอียด”

 

 

ว่าแล้ว ก็รีบร่ายชื่อตัวยาออกมายาวเหยียด

 

 

หวงฝู่อี้ไม่รู้จักยาสมุนไพร ชื่อยาตัวสองตัวก็พอจะจำได้อยู่ พอต้องจำเยอะก็ค่อนข้างสับสนอยู่บ้าน นวดคลึงศีรษะของตัวเอง แล้วกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “แม่นางเมิ่ง มากเกินขอรับ ข้าจำไม่ได้”

 

 

“รีบไปเอาหมึกกับพู่กันมา ข้าจะเขียนให้เจ้า” เมิ่งเช่นโยวสั่งเขาอย่างฉุกละหุก

 

 

ไม่ว่าเวลาใดเมิ่งเชี่ยนโยวมักจะใจเย็นสุขุม ไม่เคยมีท่าทางเช่นนี้มาก่อน หวงฝู่อี้รู้สึกได้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ ทั้งวิ่งทั้งกระโดดใช้วิชาตัวเบารีบไปเอากระดาษกับพู่กันมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา เขียนตัวยาออกมาอย่างรวดเร็ว ส่งให้เขา “ขี่ม้าเร็วไปซื้อยามา ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” พูดจบก็กำชับเขาอีกประโยคหนึ่งว่า “อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”

 

 

หวงฝู่อี้รับเอารายชื่อตัวยามา แล้วก็ทั้งวิ่งทั้งกระโดดใช้วิชาตัวเบาไปยังโรงเลี้ยงม้า จูงม้าเร็วออกมา ควบตะบึงออกไปซื้อยา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไปที่เรือนของพระชายาฉีอย่างเร่งรีบ ประจวบเหมาะกับพระพระชายารองกำลังเดินออกไปส่งฮูหยินราชเลขากับหลินหันเยียนพอดี เห็นสีหน้านางดูรีบร้อน พระชายาฉีจึงถามขึ้นว่า “โยวเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นหรือ เหตุใดแม่นางเฝิงถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันกับเจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจพิธีรีตองแล้ว เอ่ยถามขึ้นทันควันว่า “พระชายาเพคะ อี้เซวียนอยู่ข้างในไหม”

 

 

“เซวียนเอ๋อร์มาแล้ว ข้าบอกเขาว่าเจ้าพาแม่นางเฝิงออกไปเดินเล่น คิดว่าเขาน่าจะออกไปหาพวกเจ้าแล้ว”

 

 

ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี หมุนตัวกลับคิดจะวิ่งไปที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ครั้นแล้วเสียงกรีดร้องเล็กแหลมของสตรีเพศก็ดังขึ้นมา ดังออกไปทั่วจวนอ๋องภายในพริบตา ดังเข้ามาในโสตประสาทของทุกคน ณ ที่นี้

 

 

ได้ยินเสียงดังออกมาจากเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยวร้อนใจ รีบก้าวเท้าวิ่งมุ่งไปทางด้านนั้นทันที

 

 

พระชายาฉีก็ได้ยินเสียงนี้เช่นกัน ตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ต้องเป็นเด็กคนใดคนหนึ่งที่ร้องตกอกตกใจขึ้นอย่างไรมารยาทเป็นแน่ ไม่มีอะไร ให้ข้าออกไปส่งพวกเจ้าเถอะ”

 

 

ได้ยินเสียงก็รู้แน่ว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฮูหยินราชเลขาเข้าใจเป็นอย่างดี แต่ว่านี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของคนอื่นเขา ตัวเองจะไปยุ่งไม่ได้ ฮูหยินราชเลขาจึงยิ้มพลางพยักหน้า “ขอบคุณซู่อิงแล้ว เดี๋ยวนี้ร่างกายของเจ้าดีขึ้นมาก อยู่เป็นเพื่อนพวกเราตั้งนานสีหน้าก็ไม่ได้ดูเหนื่อยล้าลงไปเลย”

 

 

พระชายาฉีโบกมือ แสร้งสุภาพว่า “คนเราแข็งแรงในยามที่มีความสุข เหวินเจี๋ยอยู่ดีๆ ก็ได้ลูกสาวที่ดีเช่นนี้ ข้าดีใจแทนเขาจริงๆ ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าแข็งแรงขึ้นอยู่บ้าง หากเป็นวันอื่นทั่วไป ข้าก็คงจะเหนื่อยขอตัวออกไปพักนานแล้ว”

 

 

คำพูดนี้ทำให้ฮูหยินราชเลขายิ้มแกล้มปริ จับมือนางขึ้น กล่าวว่า “ถึงต่อไปพวกเราจะไม่ได้มีความสัมพันธ์เป็นลูกเขยลูกสะใภ้ แต่ก็ยังมีความสัมพันธ์ทางด้านแม่ทัพฉู่กับความสัมพันธ์ตั้งแต่เด็กของเรา พวกเราจะยังเป็นครอบครัวเดียวกันเหมือนเดิมถ้ามีสิ่งใดที่ต้องการให้จวนราชเลขาช่วยเหลือก็บอกมาได้เสมอ”

 

 

พระชายาฉีก็แสดงท่าทางดีใจจนออกนอกหน้า “เตี๋ยชิงพูดถูกแล้ว พวกเรายังคงเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อไปต้องสนับสนุนช่วยเหลือเกื้อกูลกัน”

 

 

สิ่งที่ฮูหยินราชเลขาต้องการก็คือประโยคนี้ ได้ยินดังนั้น ใบหน้าที่ได้รับการบำรุงมาอย่างดีก็ยิ้มจนแก้มแทบแตก “ใช่ๆ ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน”

 

 

ในระหว่างที่คุยกัน ก็มาถึงประตูเรือนที่รับรองผู้ชายทางด้านนี้พอดี

 

 

อ๋องฉีกับทุกคนก็ได้ยินเสียงกรีดร้องขึ้นเช่นกัน แต่ว่าทุกคนต่างก็เป็นขุนนางในท้องพระโรงที่รู้เรื่องอะไรดีอยู่แล้ว เห็นชัดว่าเกิดเรื่องขึ้น แต่ก็ไม่มีใครพูดถึง ราชเลขาหลินยิ่งรีบเดินอย่างไม่ติดใจสงสัย เดินออกมาจากเรือน เห็นฮูหยินราชเลขาก็มาแล้ว จึงรีบประกบมือคำนับกล่าวลา “ลูกหญิงร่างกายไม่แข็งแรง พวกเราขอตัวกลับก่อน อีกสักครู่ถ้าท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว หวังว่าจะช่วยกล่าวขออภัยเขาแทนข้าด้วย”

 

 

อ๋องฉีกับพระชายาฉีไปส่งพวกเขาที่ประตูจวน เสร็จแล้วมองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วจึงเดินบ่ายหน้าไปที่จวนของหวงฝู่อี้เซวียนพร้อมกัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยววิ่งเร็วประหนึ่งสายลมมุ่งหน้าไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน มองเห็นว่ามีทั้งสาวใช้และคนรับใช้ยืนออกันอยู่เต็มหน้าเรือนจากที่ไกลๆ ขณะเดียวกันก็ยังชี้ไม้ชี้มือเข้าไปด้านใน หัวใจหายแวบ เร่งฝีเท้ามากขึ้น วิ่งไปจนถึงประตูจวน แหวกทางฝูงชนให้หลีกทางแล้วก็วิ่งเข้าไป

 

 

เสียงโกลาหลวุ่นวายดังออกมาจากในห้อง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตัวแข็งทื่อยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ข้างในเรือน สายตาจับจ้องอยู่ภายในห้อง

 

 

หวงฝู่อวี้เบิกตากว้างมองเหตุการณ์ภายในห้องอย่างตกตะลึง

 

 

พระชายารองยืนข้างอย่างยินดีกับความทุกข์ของคนอื่น “ซื่อจื่อ ข้าว่า เจ้าสั่งให้คนบุกเข้าไปดูเลยว่าใครกันที่บังอาจเช่นนี้ กล้ามาทำเรื่องบัดสีอยู่ในห้องของเจ้า”

 

 

“อี้เซวียน!” เมิ่งเชี่ยนโยวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตะโกนขึ้น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตัวสั่นเทิ้ม หันกลับไปอย่างไม่อยากเชื่อ เห็นว่านางยืนอยู่ต่อหน้าของตัวเองจริงๆ ริมฝีปากสั่นระริกพูดไม่ออก

 

 

พระชายารองมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา ถามด้วยน้ำเสียงเล็กแหลมว่า “ทำไมเจ้าถึงอยู่นี่” พูดจบก็รู้ตัวว่าตัวเองเผลอปากหลุดพูดออกไป จึงหุบปากทันที

 

 

หวงฝู่อวี้ก็ไม่อยากจะเชื่อ “สาวใช้บอกว่าเจ้าอยู่ในห้องพี่ใหญ่ไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ ถ้าเช่นนั้นคนที่อยู่ในห้องคือใคร”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองนางนิ่งๆ แล้วยิ้มสดใสออกมาน้อยๆ พร่ำพูดขึ้นไม่หยุดว่า “โชคดี โชคดี…”

 

 

ฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาเจือความหวาดกลัวอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ใช้มือที่สั่นน้อยๆ ของตัวเองจับมืออันสั่นเทาของเขาขึ้นมา ส่งยิ้มปลอบใจให้กับเขา “ใช่แล้ว โชคดีเหลือเกิน”

 

 

โชคดีอะไรหรือ สาวใช้กับคนรับใช้ที่ล้อมรอบเรือนอยู่ต่างก็ไม่เข้าใจ หวงฝู่อวี้ก็ไม่รู้ ส่วนพระชายารองนั้นเข้าใจดี หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้าใจ โชคดีที่คนในห้องนั้นไม่ใช่หนึ่งในพวกเขาทั้งสองคน มิเช่นนั้นชีวิตนี้ของพวกเขาก็ไม่มีทางอยู่ด้วยกันแล้ว

 

 

เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวปรากฏตัวออกมาอย่างปลอดภัย พระชายารองก็รู้แล้วว่าแผนการที่ตัวเองวางเอาไว้นั้นได้มีความผิดพลาดเกิดขึ้น พลันบังเกิดความไม่พอใจออกมา กรีดร้องชี้นิ้วสั่งคนรับใช้ทั้งหลาย “พวกเจ้าทั้งหลาย ไปเปิดประตูออก ดูสิว่าใครกันที่หน้าไม่อายเช่นนี้ กล้ามาทำเรื่องบัดสีในห้องของซื่อจื่อ”

 

 

คนรับใช้รับคำ เดินเข้าไปในเรือน

 

 

“ช้าก่อน!” เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนหยุดพวกเขาไว้

 

 

มีหรือที่พระชายารองจะยอมให้นางได้ดั่งใจ ตวาดชี้หน้าคนพวกนั้น “ยืนเหม่ออะไร ยังไม่รีบเปิดประตูออกอีก!”

 

 

คนรับใช้ไม่กล้าชักช้า รีบเดินเข้าไปในห้อง

 

 

น้ำเสียงเยือกเย็นของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “พวกเจ้าทุกคนลืมคำสั่งของข้าแล้วหรืออย่างไร”

 

 

คนรับใช้ที่กำลังเดินเข้าไปพลันหยุดชะงัก พลันในสมองก็นึกถึงคำพูดที่หวงฝู่อี้เซวียนเคยสั่งไว้ “ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้า แอบเข้าไปในเรือนของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ประหาร!” ต่างก็พากันตัวสั่นเทิ้ม คุกเข่าขอร้อง “ซื่อจื่อได้โปรดไว้ชีวิตด้วย! ซื่อจื่อโปรดไว้ชีวิตด้วย!”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่แม้จะมองหน้าพวกเขา

 

 

ตัวเองที่ไม่สามารถสั่งการคนรับใช้ได้ พระชายารองโมโหจนหน้าเปลี่ยนสี โพล่งขึ้นโดนไม่ได้ผ่านการกรองจากสมองว่า “ไอ้หยา คนที่อยู่ในห้องคงไม่ใช่คุณหนูเฝิงกับฉู่เหวินเจี๋ยกระมัง ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ช่างน่าขันยิ่งนัก อายุอานามขนาดนี้แล้ว ยังไม่สนแม้แต่หน้าตาของตัวเอง ขนาดห้องของหลานตัวเองยังเข้ามาโดยไม่สนใจอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตา จ้องนางเขม็งพร้อมทั้งถามขึ้นว่า “ทำไมท่านรู้ว่าในห้องนั้นเป็นใคร”

 

 

พระชายารองจึงรู้ตัวว่าตัวเองพูดผิดไป รีบพูดขึ้นอีกว่า “ย่อมต้องคาดเดาอยู่แล้ว ห้องของซื่อจื่อไม่ใช่ว่าใครคิดจะเข้ามาก็เข้ามาได้ ถ้าไม่ใช่พวกเขาทั้งสองคนแล้วจะเป็นใครได้”

 

 

“ท่านโกหก!” เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยมือของหวงฝู่อี้เซวียน ขยับเข้าไปใกล้นาง “เป็นฝีมือของท่านใช่หรือไม่”

 

 

“เจ้าอย่ามาใส่ความข้า!” พระชายารองปฏิเสธ “วันนี้ข้าอยู่ในเรือนตัวเองทั้งวันยังไม่ได้ออกมาเลย แล้วข้าจะไปมีปัญญาทำเรื่องพวกนี้หรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเค้นเสียงพูดออกมาทีละคำ “อย่าให้ข้าสืบได้ว่าใครที่ลงมือลับหลัง ไม่เช่นนั้นข้าจะเฉือนเนื้อมันทีละชิ้นทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่”

 

 

—————————-