พระชายารองตัวสั่นสะท้านขึ้นทันที

 

 

ข้างนอกเสียงดังออกปานนี้ แต่ผู้ที่อยู่ในห้องกลับไม่ได้รับผลกระทบเลย เสียงแปลกๆ ยังคงดังออกมาจากในห้อง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ส่งสายตาเป็นเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกระซิบบอกว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่กับน้องซูเอ๋อร์ น้องซูเอ๋อร์โดนคนวางยา ข้าเป็นคนประคองนางมาที่ห้องของเจ้า ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพใหญ่มาได้อย่างไร ฟังจากเสียงแล้วก็น่าจะโดนวางยาเช่นกัน”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยเป็นผู้ที่รู้จักควบคุมตัวเอง ปกติต่อให้มีผู้หญิงที่ตัวเปล่าล่อนจ้อนยืนอยู่ต่อหน้าเขา เขาก็จะไม่มีวันทำเรื่องที่ไม่มีความยับยั้งชั่งใจเป็นอันขาด ได้ยินเสียงอันบ้าคลั่งดังออกมาจากในห้อง น่าจะเป็นอย่างที่เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว คือโดนวางยาเสน่ห์ ถึงได้ทำเรื่องน่าอับอายขึ้นในห้องของเขาเช่นนี้

 

 

อ๋องฉีกับพระชายาอ๋องยังเดินมาไม่ถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ก็เห็นว่าคนรับใช้ทุกคนภายในจวนต่างก็มามุงอยู่ที่หน้าประตู มองแวบหนึ่ง ก็รู้แล้วว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิด ต่างก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าไป

 

 

“มามุงดูอะไรกัน ยังไม่รีบไปทำงานอีก” อ๋องฉีตวาดเหล่าคนรับใช้ที่ยืนมุงอยู่หน้าประตูอย่างสอดรู้สอดเห็น

 

 

พอคนรับใช้ได้ยินเสียงของเขาดังขึ้น ต่างก็พากันวิ่งหนีกระเจิงไปอย่างตกใจ หน้าประตูเรือนเงียบสนิท และเสียงที่ดังออกมาจากข้างในห้องกลับดังขึ้นอย่างชัดเจนในโสตประสาทของเขาทั้งสอง

 

 

พระชายาฉีหน้าถอดสี ตอนที่เห็นหวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่ในเรือนอย่างไม่ได้เป็นอะไร ก็ถอนหายใจโล่งอกเบาๆ

 

 

กล้ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในเรือนของตัวเอง กลางวันแสกๆ ยังกล้ามั่วโลกีย์ อีกทั้งยังวิ่งมาทำอะไรกันถึงในห้องของหวงฝู่อี้เซวียนอีก ไม่บอกก็รู้ว่าอ๋องฉีเกรี้ยวกราดขนาดไหน ตะเบ็งเสียงดังขึ้นว่า “มานี่!”

 

 

แล้วก็มีคนสองคนใช้วิชาตัวเบากระโดดเข้ามาอย่างเงียบเชียบ กล่าวอย่างสุภาพว่า “ขอรับท่านอ๋อง!”

 

 

“ไปลากตัวชายโฉดหญิงชั่วคู่นั้นออกมาให้ข้า ดูสิว่าใครกันที่ช่างบังอาจเช่นนี้ กล้าเมินต่อกฎเกณฑ์ของจวนอ๋อง!” อ๋องฉีสั่งทั้งสองคนนั้นด้วยเสียงเย็น

 

 

ไม่รอให้ทั้งสองคนนั้นรับคำ หวงฝู่อี้เซวียนก็รีบร้อนเข้ามายั้งเขาไว้ “เสด็จพ่อ ไม่ได้นะ!”

 

 

เสียงข้างในห้องดังขึ้นจนทนไม่ได้

 

 

สีหน้าของอ๋องฉีดำคล้ำจนเกือบจะดำเท้าก้นหม้อก็มิปาน รอบตัวแผ่กลิ่นอายอำมหิตออกมา เหมือนกับว่าจะไม่ได้ยินคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียน สั่งทั้งสองคนนั้นอย่างดุดันว่า “ไปลากตัวมันออกมาให้ข้า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเคลื่อนกายเข้าไปขวางหน้าคนทั้งสองไว้

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ อ๋องฉี แล้วกระซิบข้างหูว่า “เป็นท่านน้ากับแม่นางเฝิง”

 

 

อ๋องฉีตะลึงงัน

 

 

“ใครนะ” พระชายาฉีกลับกรีดร้องขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกระซิบพูดขึ้นอีกว่า “เป็นท่านน้ากับแม่นางเฝิง”

 

 

“ทำไมเป็นพวกเขาไป” พระชายาฉีกรีดร้องถามขึ้นอีกครั้ง

 

 

หวงฝู่อี้เววียนหันไปมองหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะพูดอะไรขึ้น แต่พระชายารองกลับพูดขัดขึ้นว่า “นี่เป็นเพียงการคาดเดาจาดซื่อจื่อเท่านั้น เชื่อถือไม่ได้ ท่านอ๋ฮงให้คนไปเปิดประตูออกเถอะเพคะ ดูว่าเป็นใครกันอน่ ถ้าหากไม่ใช่แม่ทัพใหญ่กับแม่นางเฝิง พวกเราหลายคนที่ฟังการบรรเลงรักอยู่ในเรือนเช่นนี้ หากเรื่องแพร่ออกไปจะมิเป็นเรื่องขบขันหรือ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนปรายตามองนางอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง น้ำเสียงแข็งกระด้าง “การตัดสินของข้ากับเสด็จพ่อ เมื่อใดกันที่ให้ท่านสงสัยได้”

 

 

พระชายารองแสดงท่าทางอ่อนลง พูดอะไรไม่ออก ก้มหน้าก้มตาอย่างขลาดกลัว ทว่าแววตากลับปรากฏเพลิงอาฆาตแค้น ขยำผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือจนแน่น เส้นเลือดปรากฏออกมาจากเรียวมือขาวผ่อง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้ได้ว่าท่าทางของนางเปลี่ยนไป รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีเวลาไปสนใจนาง พูดกับอ๋องฉีว่า “ท่านน้ากับแม่นางเฝิงน่าจะโดนคนวางยา จนพลาดมาอยู่ด้วยกันโดยไม่รู้ตัว และตอนนี้ก็ไม่อาจไปขัดขวางพวกเขา ไม่เช่นนั้นแล้วล่ะก็…”

 

 

ไม่เช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้น อ๋องฉีเป็นผู้ที่ผ่านอะไรมามากมาย จึงเข้าใจได้

 

 

พระชายาฉีกลับรู้สึกว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆ มืดลง ยืนโงนเงน ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “เซวียนเอ๋อร์ ที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ เรื่องมาจนถึงขนาดนี้แล้ว สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือจะไปบอกเรื่องนี้กับเถ้าแก่เหวินและฮูหยินเหวินเช่นไร”

 

 

เสียงในหัวของพระชายาฉีเสียงดังขึ้น เฝิงจิ้งซูเป็นเพียงเด็กสาวที่อายุเพียงสิบห้าเท่านั้น เพียงแต่มีความสงสัยเกิดขึ้นไปขณะหนึ่ง ติดตามพี่สาวกับพี่เขนมายังจวนอ๋อง แต่กลับเสียตัวให้กับฉู่เหวินเจี๋ยที่อายุห่างกันมาก เรื่องนี้จะไปบอกกับเหวินซื่อสองสามีภรรยาอย่างไร

 

 

สิ่งที่อ๋องฉีเป็นห่วงมิใช่ตรงนี้ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ในจวนอ๋องกลับมีคนกล้าวางยา ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรืออย่างไร”

 

 

“ไม่ว่างอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่อาจไปขัดจวางพวกเขาได้ พวกเราถอยออกไปก่อนเถิด สั่งให้คนเฝ้าอยู่ที่ลานหน้าเรือน รอให้พวกเขาได้สติแล้ว เสด็จพ่อค่อยสืบหาความอีกครั้ง ส่วนเรื่องการวางว่า จะต้องเกี่ยวกับคนภายในจวนอย่างแน่นอน เสด็จพ่อสั่งให้ตรวจสอบ เชื่อว่าไม่นานก็จะเจอตัวพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ได้ยินเสียงภายในห้อง ทั้งสองคนเสร็จสิ้นกิจกรรมกันแล้ว ถึงตอนนี้จะไปแยกพวกเขาออก ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น… พอคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าของอ๋องฉีก็เคร่งขรึมลงอย่างน่ากลัว เดินออกไปข้างนอกโดยไม่พูดอะไรสักคำ

 

 

ตอนนี้พระชายาฉีก็สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี มองดูอ๋องฉีที่หมุนตัวเดินออกไป จึงเดินตามออกไปอย่างไม่รู้ตัว

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขยับ ปรายตามองหวงฝู่อวี้แวบหนึ่ง

 

 

หวงฝู่อวี้เข้าใจ จึงเดินตามออกไป พลางเดินพลางเงี่ยหูฟังถึงความเคลื่อนไหวข้างใน

 

 

พระชายารองก้มหน้าก้มตาตลอด ได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองเข้าไปในห้องอย่างไม่พอใจ ประจวบเหมาะกับสายตาของหวงฝู่อี้เซวียนที่จับจ้องมาอยู่ แล้วก็รีบก้มหน้าลงเพื่ออำพราง เดินออกจากเรือนตามไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วจึงเดินออกจากเรือน

 

 

ทุคนต่างก็ยืนอยู่นอกประตูเรือน

 

 

รังสีอำมหิตที่แผ่ออกจากรอบกายของอ๋องฉีมีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดลง กวาดตามองทุกคนมีมามุงดูด้วยสีหน้าดำคล้ำ

 

 

พ่อบ้านที่รีบเดินเข้ามาถึงระยะห้าเมตรก็ได้รับความกดดันนี้ ร่างกายสั่นสะท้านขึ้น รีบวิ่งเข้ามาหยุดตรงหน้าของอ๋องฉี ไม่กล้าเช็ดเหงื่อบนใบหน้า รีบเรียกขึ้นอย่างนอบน้อม “ท่านอ๋องขอรับ”

 

 

น้ำเสียงของอ๋องฉีเกรี้ยวกราดราวกำว่าต้องการที่ฆ่าคนให้ได้ “ไปรวบตัวทุกคนในจวนมา ตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้ ก็สังหารทิ้งให้หมด!”

 

 

พ่อบ้านตัวสั่นสะท้านขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ เหงื่อนที่หลังไหลพรูออกมา พริบตาเดียวเสื้อผ้าก็เปียกชื้นไป เขาอยู่ในจวนอ๋องฉีมานานหลายปี มีเพียงแค่สิบปีก่อนตอนที่พระชายาถูกปล้น จนเสียซื่อจื่อไป อ๋องฉีได้ออกคำสั่งอย่างรุนแรง ให้สังหารสาวใช้กับคนรับใช้ที่อยู่กับพระชายาในตอนนั้นจนหมด เป็นจำนวนหลายสิบคน เลือดที่ไหลนองทำให้ถนนหน้าจวนอ๋องฉีกลายเป็นสีแดง ตอนนี้ยังมาได้ยินอ๋องฉีออกคำสั่งเช่นนี้อีก เห็นได้ว่าเขาโกรธจนถึงขีดสุด ถ้าหากตรวจสอบไม่ได้จริง ไม่ต้องพูดถึงแค่พวกคนรับใช้ เกรงว่าแม้แต่ชีวิตของตนก็ไม่อาจรักษาได้

 

 

รับคำสั่งทันที หันกลับไปสั่งสาวใช้ทั้งหลาย ให้คนรับใช้ทุกคนไปถ่ายทอดคำสั่งบอกให้ทุกเรือนทราบ

 

 

สาวใช้ คนรับใช้พอได้ฟังคำของอ๋องฉี ต่างก็แข้งขาอ่อนแรง ล้มลุกคลุกคลานวิ่วออกไปถ่ายทอดคำสั่ง

 

 

ไม่นานคนใช้ทุกคนในจวนอ๋องต่างก็ทราบถึงคำสั่งของอ๋องฉี ต่างก็วิ่งไปรวมกันอยู่ที่ลานโล่งกลางจวนด้วยสองขาอันสั่นเทา แม้แต่สาวใช้ที่รับใช้เหวินซื่อกับเฝิงจิ้งเหวินอยู่ก็ต้องบอกกล่าวกับทั้งสองคน แล้วจึงรีบวิ่งออกไปทันที

 

 

เหวินซื่อกับเฝิงจิ้งเหวินสบตากันแวบหนึ่ง เหวินซื่อผุดลุกขึ้นยืน คิดจะออกไปดู เฝิงจิ้งเหวินรั้งเขาไว้ “รอดูสถานการณ์ไปก่อน ภายในจวนต้องเกิดเรื่องอะไรรุนแรงขึ้นเป็นแน่ ท่านกับข้าเป็นคนนอก ไม่ต้องไปดีกว่า”

 

 

แต่ละบ้านต่างก็มีความลับด้วยกันทั้งนั้น ตัวเองเป็นคนนอกถ้าหากไปถามดูมันจะเป็นการไม่ดีแน่ เหวินซื่อได้ยินดังนั้นก็นั่งลงตามเดิม กล่าวว่า “แม่นางเมิ่งกับซูเอ๋อร์ออกไปนานแล้ว ทำไมยังไม่กลับมาเสียที”

 

 

“ซูเอ๋อร์ชอบเล่นซุกซน จะต้องรบเร้าให้แม่นางเมิ่งเดินเล่นไปทั่วจวนเป็นแน่ ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นในจวน พวกนางน่าจะรู้อะไรบ้าง เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะกลับมา”

 

 

พ่อบ้านเข้ามารายงานด้วยเม็ดเหงื่อที่อยู่เต็มใบหน้า “ท่านอ๋อง คนมาครบแล้ว”

 

 

“ตรวจสอบ ตรวจสอบทีละคน ถามดูว่าเมื่อกี้พวกเขาทำอะไรอยู่ ภายในครึ่งชั่วยามข้าต้องทราบผล” อ๋องฉีออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเ**้ยมเกรียมอีกครั้ง

 

 

พ่อบ้านรับคำอย่างหวาดกลัว แล้วก็วิ่งกลับไป

 

 

“พวกเจ้าทั้งสองก็ไปด้วย” อ๋องฉีสั่งสาวใช้ติดตามทั้งสองคนของตัวเอง

 

 

หลิงหลง ซุ่ยเซียงรับคำสั่ง แล้วรีบเดินเข้าไปทางด้านนั้นอย่างเป็นปกติ

 

 

พระชายาทำเช่นนี้แล้ว พระชายารองจึงต้องทำตาม สั่งให้สาวใช้ติดตามของตัวเองไปเช่นกัน

 

 

พระชายาทำท่าราวกับเพิ่งจะมองเห็นนาง คำพูดแฝงไปด้วยการถากถาง “มิฝช่ว่าน้องสาวไม่สบาย นอนพักอยู่ในเรือนของตัวเองมิใช่หรือ ทำไมถึงได้ปรากฏตัวอยู่ในเรือนของเซวียนเอ๋อร์เล่า”

 

 

พระชายารองยังไม่ได้ตอบ หวงฝู่อวี้ก็เอ่ยพูดขึ้นก่อนว่า “เป็นหม่อมฉันเรียกท่านแม่ไปเอง หลังจากกินข้าวเสร็จก็ว่างไม่ได้ทำอะไร หม่อมฉันจึงไปหาพี่ใหญ่ในเรือนของเขา พบว่าพี่ใหญ่ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ในเรือน ในห้องกลับมีเสียงการเคลื่อนไหวที่ไม่อาจทนได้ ข้าคิดว่าจะไปบอกกับเสด็จแม่ แต่ก็คิดว่าท่านกำลังต้อนรับแขกอยู่ จึงไม่ได้ไปหาท่าน รีบไปเรียกท่านแม่มา”

 

 

ตามหลักแล้วหวงฝู่อวี้ไม่กล้าเรียกพระชายารองว่า “ท่านแม่” แต่ที่จวนอ๋องฉีกรุณา ถึงได้อนุญาตให้เขาเรียกเช่นนี้ได้ แต่ก่อนไม่เคยรู้สึกติดขัดอะไร วันนี้พอได้ยินอ๋องฉีกลับรู้สึกขัดหูเป็นพิเศษ ขมวดคิ้วมุ่น ฝืนทนไว้ไม่ให้สั่งสอนเขา

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ที่นี่ก็ไม่มีอะไรแล้ว น้องสาวกลับเรือนไปพักก่อนเถิด” พระชายาฉีกล่าว จากนั้นพูดเสริมขึ้นอีกว่า “อวี้เอ๋อร์ก็ไปด้วยเถอะ”

 

 

แผนการก็เกิดความผิดพลาด ความวุ่นวายก็ไม่ได้เห็น ถึงแม้พระชายารองจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ทำเรื่องไว้เยอะ กลัวว่าจะมีพิรุธ ย่อตัวลงแล้วพูดอย่างง่ายๆ ว่า “ถ้าเช่นนั้นน้องก็ต้องขอตัวกลับก่อน ยืนในเรือนแค่เพียงไม่นาน ก็รู้สึกว่าร่างกายเหนื่อยล้าเหลือเกิน”

 

 

พระชายาฉีไม่ได้พูดอะไร

 

 

อ๋องฉีก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

 

 

พระชายารองยืดตัวขึ้น หวงฝู่อวี้ประคองพานางกลับเรือนของนาง

 

 

ภายในเรือนนั้นว่างเปล่า ขนาดโมโม่ก็ถูกเรียกตัวไป หวงฝู่อวี้ประคองให้นางนั่งลง แล้วเทน้ำชามายื่นให้นางอย่างเอาใจใส่ “ท่านแม่ ถ้าสิ่งที่พี่ใหญ่พูดเป็นจริงว่าท่านแม่ทัพใหญ่กับแม่นางเฝิงโดนคนวางยา ถ้าเช่นนั้นควรจะเป็นใครที่ทำเรื่องบัดสีร้ายกาจเช่นนี้ได้”

 

 

พระชายารองที่กำลังจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มหยุดชะงัก ทำหน้าแปลกๆ เล็กน้อย

 

 

หวงฝู่อวี้นั่งเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง แล้วก็ฉวยมือเทน้ำชาให้ตัวเอง ดื่มคำหนึ่ง แน่นอนว่าไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของนาง กล่าวว่า “ในจวนวันนี้แขกน้อย คนติดตามรับใช้ก็มีแค่ไม่กี่คน คาดว่าอีกไม่เกินครึ่งชั่วยามก็จะตรวจสอบได้ว่าใครเป็นคนทำ เห็นอาการโกรธของเสด็จพ่อกับพี่ใหญ่แล้ว เกรงว่าคนที่วางยาคงมีจุดจบที่ไม่ดีเป็นแน่”

 

 

“เพล้ง!” ถ้วยน้ำชาที่อยู่ในมือของพระชายารองหล่นลงบนพื้น หลังจากเกิดเสียงดังขึ้น ก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

 

 

หวงฝู่อวี้ตกใจ รีบถามขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไปหรือ”

 

 

ดูเหมือนว่าพระชายารองเองก็ตกใจจากเสียงนี้เช่นกัน ก้มหน้าเหม่อมองดูเศษถ้วยน้ำชาที่แตกอยู่บนพื้น ได้ยินหวงฝู่อวี้ถามนางขึ้น จึงรู้สึกตัวในทันที เงยหน้าขึ้นมองเขา ฝืนส่งยิ้มให้เขา กล่าวขึ้นด้วยริมฝีปากสั่นระริกว่า “แม่ เมื่อครู่นี้ยืนอยู่ในเรือนนานเกินไป มือจึงไม่ค่อยมีแรง”

 

 

หวงฝู่อวี้มองมือของนาง เห็นมือของนางยังสั่นไม่หยุด ก็ตื่นตระหนก ผุดลุกขึ้น ถามอย่างร้อนรนว่า “ท่านแม่ ข้าจะไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้”

 

 

“ไม่ต้องหรอก เจ้าพาแม่ไปนอนพักอยู่ที่เตียงสักครู่ก็จะดีขึ้นเอง”

 

 

“ท่านไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่ไหม” พยุงนางขึ้นไปนอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว หวงฝู่อวี้ถามขึ้นอย่างไม่วางใจ

 

 

“อวี้เอ๋อร์วางใจ แม่ไม่เป็นอะไรจริงๆ”

 

 

แม้จะพูดเช่นนั้น ทว่ามือกลับสั่นอย่างแรง ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่ร่างกายยังสั่นเช่นกัน

 

 

หวงฝู่อวี้ตกใจ “ไม่ได้ ข้าจะไปหาเสด็จพ่อ ให้เขาส่งคนไปตามหมอหลวงจากในวังมา” ว่าแล้วก็หมุนตัวกำลังจะวิ่งออกไป

 

 

“อวี้เอ๋อร์” พระชายารองหยุดเขาไว้ “ในจวนเกิดเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ขึ้น เสด็จพ่อของเจ้ากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ เรื่องเล็กแค่นี้เจ้าไม่จำเป็นต้องไปรบกวนเขา แม่ไม่เป็นอะไรจริงๆ พักสักครู่ก็หายแล้ว”

 

 

พูดจบก็สูดลมหายใจเข้า พยายามฝืนร่างกายตัวเองไว้ไม่ให้สั่น

 

 

หวงฝู่อวี้เห็นว่าอาการของนางดีขึ้นบ้างแล้ว เอี้ยวตัวไปดึงผ้าห่มมาห่มให้นาง “ถ้าเช่นนั้นท่านพักผ่อนสักครู่ ข้าจะคอยนั่งเฝ้าท่านอยู่ที่นี่ ถ้าท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหน ก็บอกข้า”

 

 

พระชายารองพยักหน้า หลับตาลง

 

 

หวงฝู้อวี้หมุนตัว คิดจะเก็บเศษถ้วยน้ำชาที่แตกกระจาย

 

 

พระชายารองลืมตาขึ้นพลัน ถามอย่างหวาดหวั่นว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าไปไหน”

 

 

หวงฝู่อวี้ชะงักฝีเท้า หันกลับมา “ข้าจะเก็บเศษถ้วยน้ำชาบนพื้น ท่านจะได้ไม่โดนบาด”

 

 

“ไม่ต้องหรอก รอให้พวกนางกลับมาเก็บกวาดเถอะ เจ้ามานั่งข้างๆ แม่เถอะ”

 

 

หวงฝู่อวี้รู้สึกว่าวันนี้พระชายารองค่อนข้างแปลกพิกล อ้าปากกำลังจะถามว่านางเป็นอะไร ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ จึงกลืนคำพูดลงคอไป นั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ขอรับ ข้าจะอยู่กับท่าน ท่านพักผ่อนเถอะ”

 

 

—————————-