พระชายารองจ้องมองเขาโดยไม่ละสายตาครู่หนึ่งแล้วจึงหลับตาลง ทว่าเปลือกตาที่ขยับอยู่ตลอดกับร่างที่อยู่ใต้ผ้าห่มกลับสั่นขึ้นไม่หยุด แสดงได้ชัดว่านางไม่ได้หลับไป
หลังจากพระชายารองกับหวงฝู่อวี้เดินออกไป หน้าประตูเรือนจึงเหลือแค่อ๋องฉี พระชายาฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนรวมถึงเมิ่งเชี่ยนโยวสี่คน ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้องดังขึ้นมา สีหน้าของอ๋องฉีก็ยิ่งมืดครึ้มลง
กลับเป็นพระชายาฉีที่สงบเยือกเย็น “ท่านอ๋องเพคะ ท่านให้คนเฝ้าอยู่ที่ประตูเรือนก่อน พวกเราไปหาสถานที่อื่นปรึกษากันสักครู่ จะได้ช่วยกันคิดว่าจะบอกกับเถ้าแก่เหวินเช่นไร”
นี่ก็คือภาระอันเร่งด่วน ร้านยาเต๋อเหรินมีความสำคัญมากในเมืองหลวง ตระกูลเฝิงก็เป็นตระกูลคหบดีที่ทำการค้ามาหลายชั่วอายุคนภายในเมืองหลวง มิอาจดูแคลนฐานะได้เช่นกัน ถ้าหากจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดี ไม่เพียงแต่จะไม่สารถรักษาตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของฉู่เหวินเจี๋ยไม่ได้แล้ว แม้แต่ชื่อเสียงของจวนอ๋องฉียังต้องแปดเปื้อนไปด้วย
อ๋องฉีพยักหน้า ตะโกนบอกกับความว่างเปล่าว่า “เฝ้าเรือนไว้ให้ดี ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไป ถ้าเหตุการณ์ภายในห้องสงบลงแล้ว รีบไปรายงานข้าทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” มีเสียงตอบดังมาจากความว่างเปล่า
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปประคองพระชายาฉี ทุกคนหาเรือนที่อยู่ใกล้ๆ ละแวกนั้น แล้วก็เดินเข้าไป ดีที่คนรับใช้ในจวนอ๋องไม่กล้าขี้เกียจ เรือนหลังนี้ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ได้ถูกทำความสะอาดไว้อย่างเรียบร้อย
ทุกคนผลักประตูเข้าไปด้านใน พระชายาทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง เอ่ยปากถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โยวเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าแม่นางเฝิงอยู่กับเจ้าหรือ ทำไมถึงมาปรากฏในเรือนของเซวียนเอ๋อร์ได้”
อ๋องฉีก็นั่งลงเช่นกัน มองนางด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จนหมดเปลือก
พระชายาฉีได้ฟังเรื่องราวที่สำคัญ กล่าวว่า “ข้าไม่ได้ส่งคนไปเรียกพวกเจ้าเลย ดูเหมือนว่าจะมีคนมาถ่ายทอดคำสั่งของข้าอย่างผิดๆ จะได้วางยากับพวกเจ้าได้ง่ายๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ยาน่าจะใส่ไว้ในแก้วน้ำสองใบนั้น ตอนนั้นมันฉุกละหุกเหลือเกิน หม่อมฉันไม่ได้ตรวจดูให้ละเอียด แต่ก็ฉวยถ้วยน้ำสองใบนั้นติดมือไปวางไว้ในห้องของอี้เซวียน อีกสักครู่พวกเราไปตรวจสอบก็รู้แล้ว คนที่วางยาช่างร้ายกาจนัก หม่อมฉันคิดว่าเขาต้องการที่จะทำลายชื่อเสียงของเราทั้งสองคน เพียงแต่ว่าน้องซูเอ๋อร์คอแห้ง หม่อมฉันจึงส่งถ้วยชาของตัวเองให้นางดื่มด้วย ถึงได้เกิดเรื่องหลังจากนั้น หากว่าหม่อมฉันก็ดื่มน้ำชาถ้วยนั้นไปเช่นกัน บางทีอาจจะตรวจพบอะไรได้ทันท่วงที จะได้ไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น”
พระชายาฉีโบกมือ “เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว จะมาเสียใจตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ คนที่วางยาช่างมีจิตใจโหดเ**้ยม กล้าคิดที่จะทำลายชื่อเสียงของพวกเจ้าทั้งสองไปพร้อมกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น…”
พอพูดถึงตรงนี้พระชายาฉีตัวสั่นสะท้านขึ้น ถ้าหากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริง เมิ่งเชี่ยนโยวถูกทำลาย หวงฝู่อี้เซวียนจะต้องบ้าคลั่งอย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็จะกลายเป็นศัตรูกับฉู่เหวินเจี๋ย ไม่แน่ว่า ฉู่เหวินเจี๋ยที่มีนิสัยซื่อตรงอาจจะทำลายชีวิตตัวเองจากเหตุผลนั้น ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ พระชายาฉีจะได้ทนรับผลกระทบนั้นไม่ได้อย่างแน่นอน ถึงแม้จะไม่ตามฉู่เหวินเจี๋ยไป แต่คงจะป่วยขึ้นมาอีก แล้วต่อมายังจะมีอะไรเกิดอะไรขึ้นอีก…
ยิ่งคิดก็ยังกลัว พระชายาฉีเหงื่อไหวออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ “ท่านอ๋องเพคะ วันนี้จะต้องตรวจสอบความจริงให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด”
อ๋องฉีก็นึกถึงผลสุดท้ายนี้ได้เช่นกัน ใบหน้าอึมครึมจนแทบจะมีหยดน้ำไหลออกมา โมโหจนตบโต๊ะฉาดใหญ่ “ช่างมีจิตใจโหดเ**้ยมจริงๆ นี่มันยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว ทั้งคิดที่จะทำลายเหวินเจี๋ย อีกทั้งยังคิดทำลายจวนอ๋องฉีข้า อีกสักพักตรวจสอบมาไม่ว่าใครที่ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ ข้าจะไม่มีวันปล่อยมันไปแน่นอน”
พอได้ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนก็มีเหงื่อผุดซึมออกมาเต็มหลัง ไม่สนว่าจะมีอ๋องฉีกับพระชายาฉีอยู่ตรงนั้นด้วย ใช้มือข้างหนึ่งรั้งตัวเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา แล้วกอดนางไว้ในอ้อมแขนของตัวเองแน่น
เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ว่าตัวเขานั้นสั่นระริก ยื่นมือออกไปลูบหลังเขาเบาๆ “เจ้าลืมแล้วหรือ ข้ารู้วิชาแพทย์ ถ้าหากข้าจะดื่มน้ำชาถ้วยนั้นจริง ข้าก็จะรู้ตัวก่อน เรื่องหลังจากนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด แต่ว่าตอนนี้…น้องซูเอ๋อร์ยังเด็กนัก ถ้านางรู้สึกตัว ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับทั้งหมดนี้อย่างไร”
พอได้ยินคำพูดของนาง พระชายาฉีก็เกิดหน้ามืดขึ้นอีก จนถึงเดี๋ยวนี้ฉู่เหวินเจี๋ยก็ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่เคยสัมผัสความใกล้ชิดแบบชายหญิงเลย วันนี้ก็โดนวางยาเสน่ห์อีก โดนกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยังไม่รู้ว่าแม่นางตระกูลเฝิงผู้นั้นจะมีสภาพเช่นไรบ้าง ถ้าหากแม่นางผู้นั้นทนไม่ไหว…
พระชายาฉีไม่กล้าคิดต่อ อยู่ดีๆ ร่างกายก็สั่นเทิ้มขึ้นมาหลายครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยมีประสบการณ์ความใกล้ชิดของชายหญิงเลย จึงไม่ได้คำนึงถึงข้อนี้ ตั้งแต่ที่นางรู้ว่าคนที่กำลังทำอะไรอยู่ในห้องนั้นเป็นใคร ก็คิดเพียงแต่ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี ฉู่เหวินเจี๋ยกับเหวินซื่อเป็นเพื่อนรักกัน เหวินซื่อก็เป็นผู้จัดหายาให้กับกองทัพ ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ดี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเลย เกรงว่าเหวินซื่อจะโกรธจนเลิกจัดหายาให้กับกองทัพ อีกอย่าง เฝิงจิ้งซูออกมาพร้อมกับตัวเอง ตอนนี้เรื่องที่โดนฉู่เหวินเจี๋ยทำชำเรานั้นตัวเองก็ไม่อาจบอกว่าไม่เกี่ยวข้องได้ ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะถูกลดทอนความสัมพันธ์กับเหวินซื่อรวมถึงเฝิงจิ้งเหวินลงไป จนอาจจะถึงขั้นกลายเป็นศัตรูต่อกัน
นึกถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวกัดริมฝีปากครุ่นคิดอยู่นาน ถึงเพิ่งจะรู้สึกว่าหวงฝู่อี้เซวียนปล่อยตัวเองแล้ว นางเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของพระชายาฉี สบตากับนางอย่างแน่วแน่ กล่าวว่า “พระชายาเพคะ ตอนนี้มีเพียงวิธีเดียวที่จะจัดการเรื่องนี้ได้”
พระชายาฉีที่กำลังทำใจให้สงบอยู่ ตอนนี้คิดอะไรไม่ออก พอได้ฟังคำของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “วิธีอะไรหรือ เจ้ารีบพูดมา”
“ให้ท่านแม่ทัพใหญ่ไปสู่ขอซูเอ๋อร์เป็นภรรยาเพคะ”
พระชายาฉีตกใจตาแทบถลนออกมานอกเบ้า “นี่ นี่ นี่…”
“เรื่องในวันนี้ ถ้าหากถูกแพร่ออกไป ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงของท่านแม่ทัพใหญ่จะย่อยยับ ต่อไปน้องซูเอ๋อร์ก็จะออกไปพบผู้คนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นจะจะจบชีวิตตัวเองลงเพราะเรื่องนี้ โชคดีที่ท่านแม่ทัพใหญ่ยังไม่มีภรรยา อย่างไรเสียให้ท่านออกหน้าจัดการดีกว่า จัดการกับเรื่องนี้ได้ เช่นนี้แล้วก็จะปิดปากผู้คนได้ เรื่องซุบซิบนินทาก็จะน้อยลง ถือว่าเราให้คำตอบที่ดีกับจวนตระกูลเฝิงได้” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
พูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนก็พยักหน้าเห็นด้วย “ข้าก็คิดว่าความคิดนี้ของโยวเอ๋อร์ดีที่สุดแล้ว ไม่ใช่ว่าท่านกำลังคิดที่จะเข้าวังไปขอพระราชทานการแต่งงานจากเสด็จย่าให้กับท่านน้าหรือ แม่นางเฝิงก็ประจวบเหมาะพอดี”
อ๋องฉีก็พยักหน้าเป็นความหมายว่าเห็นด้วย “นี่เป็นวิธีการจัดการที่ดีที่สุดแล้ว”
ในที่สุดพระชายาฉีก็พูดขึ้นได้ “แต่ว่า แต่ว่า แต่ว่า…”
“เสด็จแม่กังวลเรื่องอะไรหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถาม
พระชายาฉีโบกมือ “แม่หรือจะกังวลอะไร เพียงแต่ว่าแม่นางตระกูลเฝิงผู้นี้อายุยังน้อยนัก พวกเขาจะเห็นชอบให้นางแต่งงานกับน้าของเจ้าหรือ”
“น้องซูเอ๋อร์มีอายุพอที่จะแต่งงานได้แล้วเพคะ เพียงแต่เป็นเพราะว่าตระกูลเฝิงนั้นรักทะนุถนอมนางมาก จึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานให้กับนางจนถึงเดี๋ยวนี้ ท่านแม่ทัพใหญ่อายุค่อนข้างมากไปบ้าง แต่ว่าฐานะนั้นเหมาะสมกับนางมากจนล้นเหลือ อีกทั้งแม่นางเฝิงก็เสียตัวให้กับท่านแม่ทัพใหญ่แล้ว เชื่อว่าพวกเขาจะต้องยอมรับการแต่งงานนี้ดด้วยความเต็มใจเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
คิ้วของพระชายาฉีที่ขมวดคิ้วปมอยู่ก็คลายออก “ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ประเสริฐอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เพียงแค่คนตระกูลเฝิงตกลง แม้จะให้ข้าละทิ้งตำแหน่งพระพระชายารองก็ยินดี”
“ไม่หรอกเพคะ ข้ารู้จักคุ้นเคยกับคนตระกูลเฝิงดี พวกเขาต่างก็เป็นคนตรงไปตรงมาเปิดเผยมีไมตรีจิต ได้ยินครั้งแรก อาจจะรับไม่ได้ แต่ถ้าได้ไตร่ตรองดู ก็จะตกลงเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
พระชายาฉีกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นจะรออะไร ข้าจะไปสู่ขอก็ฮูหยินเหวินเดี๋ยวนี้” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืน
“พระชายาอย่าเพิ่งใจร้อนเพคะ แม้จะบอกว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด พวกเราก็ต้องรอให้ท่านแม่ทัพใหญ่กับซูเอ๋อร์ได้สติก่อน ถามความเห็นจากพวกเขาก่อนค่อยตัดสินใจอีกครั้ง ถ้าหากให้ตายอย่างไรน้องซูเอ๋อร์ก็ไม่ตกลง ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่าพวกเราจะบีบให้นางตายหรอกหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
พระชายาอ๋องกระวนกระวายใจจนเหงื่อผุดซึมออกมาเต็มหน้า มองออกไปข้างนอกตลอดเวลา
กว่าจะได้ยินเสียงองครักษ์เงาเข้ามารายงาน “นายท่าน ความเคลื่อนไหวภายในห้องได้สงบลงแล้ว มีเสียงร้องไห้ของแม่นางดังออกมา”
พระชายาฉีโล่งอก “มีเสียงร้องไห้ แสดงว่าคนไม่เป็นอะไร นี่ก็นีบว่าเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดแล้ว”
“ข้าจะออกไปดูหน่อย” จากนั้นก็ผุดลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลัง
อ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนก็เดินตามออกไป
พระชายาฉีได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลัง เห็นว่าทุกคนต่างก็เดินตามหลังนางไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ชะงักฝีเท้าลง พูดกับอ๋องฉีแล้วหวงฝู่อี้เซวียนว่า “โยวเอ๋อร์ตามข้าเข้าไปด้วยเถอะ ส่วนท่านอ๋องกับเซวียนเอ๋อร์ไม่ต้องตามเข้าไป”
เรื่องเช่นนี้หากทั้งสองคนตามเข้าไปด้วยก็ไม่เหมาะจริงๆ พยักหน้า อ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนจึงเดินไปดูที่เหล่าคนรับใช้รวมกลุ่มกันอยู่
พระชายาฉีกับเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ประตูห้องยังปิดสนิทอยู่ ได้ยินเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดของเฝิงจิ้งซูดังออกมา
“เหวินเจี๋ย! พวกเจ้าจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ข้ากับแม่นางเมิ่งจะเข้าไปเดี๋ยวนี้” พระชายาฉีพูดเสียงดัง
พลันประตูห้องถูกเปิดออกทันที เกิดความเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง ฉู่เหวินเจี๋ยที่เผชิญหน้ากับกองกำลังของศัตรูนับพันก็ไม่เคยหวาดหวั่นกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู ตะโกนขึ้นอย่างตื่นตระหนกว่า “ท่านพี่”
ฉู่เหวินเจี๋ยอารามตื่นตระหนก แม้แต่เสื้อคลุมด้านนอกยังติดกระดุมผิด เสื้อผ้าทั้ถูกสวมอยู่บนตัวข้างหนึ่งสูงข้างหนึ่งต่ำ
พระชายาฉีลอบถอนหายใจ เดินเข้าประตูไป
ฉู่เหวินเจี๋ยหลีกทางให้ พระชายาฉีกับเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง
เฝิงจิ้งซูเอาผ้าห่มคลุมโปงยังนอนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดอยู่ เสื้อผ้ายังกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเข้าไปข้างในทันที ร้องเรียกขึ้นอว่างระมัดระวังว่า “ซูเอ๋อร์”
ซูเอ๋อร์พอได้ยินเสียงของนาง ก็เลิกผ้าห่มออก ลุกขึ้นนั่ง กอดเมิ่งเชี่ยนโยวแน่น เสียงร้องมห้ดังขึ้นกว่าเดิม
นางไม่ได้สวใส่เสื้อผ้า การทำเช่นนี้แทบจะเป็นการเปิดเผยร่างด้านบนของตัวเองออกมา ฉู่เหวินเจี๋ยรีบหลับตาลงทันที พระชายาฉีกลับสูดลมหายใจเข้า เห็นบนผิวตัวส่วนที่โผล่ออกมาของเฝิงจิ้งซูต่างก็มีรอยเขียวรอยม่วงเป็นจ้ำๆ เต็มไปหมด แม้แต่ข้อศอกยังไม่เว้น
เฝิงจิ้งซูร้องไห้จนแทบจะขาดใจ ไม่ได้สังเกตเห็นจุดนี้เลยด้วยซ้ำ
เมิ่งเชี่ยนโยวมือไวตาไวรีบดึงผ้าขึ้นมาคลุมร่างให้เฝิงจิ้งซูอย่างรวดเร็ว ลูบหลังของนางแผ่วเบา
พระชายาฉีถอนหายใจ ลองเรียกขึ้น “แม่นางเฝิง”
เหมือนกับว่าเฝิงจิ้งซูจะไม่ได้ยินเสียงของนาง ยังร้องไห้เสียงดังเช่นเดิม
พระชายาฉีหมดหนทาง จำต้องหันกลับไปมองฉู่เหวินเจี๋ย
ฉู่เหวินเจี๋ยรู้สึกตัวขึ้น ก็พบว่าตัวเองได้ทำเรื่องอันรับไม่ได้กับแม่นางน้อยคนหนึ่ง ตกใจจนโง่งม จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พระชายาฉีมองหน้าเขา ร้องขึ้นด้วยริมฝีปากอันสั่นเทา “ท่านพี่”
พระชายาฉีถอนหายในอย่างหนักหน่วง น้องชายคนนี้ของตน แม้จะเป็นแม่ทัพใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วสารทิศ แต่ทว่าก็ยังไม่เคยมีครอบครัวมาก่อน เมื่อประสบกับเรื่องเช่นนี้ ในใจก็ตื่นตระหนกไม่น้อยไปกว่าเฝิงจิ้งซูเลย
ครั้นแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พระชายาฉีเดินมาอยู่ตรงหน้าเขา ถามเสียงแผ่วเบาว่า “เหวินเจี๋ย เรื่องในวันนี้เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร”
ฉู่เหวินเจี๋ยสับสนจนแยกแยะไรไม่ได้แล้ว ไหนเลยจะมีความคิดอะไรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเฝิงจิ้งซูดังขึ้นตลอดเวลา ยิ่งไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เห็นท่าทางของเขา พระชายาฉีก็ทราบว่าเขาไม่รู้ว่าควรจัดการเรื่องเช่นไรดี แล้วจึงถอนหายใจอีกครั้ง กล่าวว่า “ข้ากับท่านอ๋องเพิ่งจะปรึกษากับไปเดี๋ยวนี้เอง เจ้าไม่อาจที่จะทำลายความบริสุทธิ์ของแม่นางได้โดยเปล่า ข้าจะเป็นคนไปสู่ขอกับตระกูลเฝิงให้เจ้าแต่งงานกับแม่นางซูเอ๋อร์ เจ้าจะยอมไหม”
ฉู่เหวินเจี๋ยเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ รีบร้องขึ้นว่า “ท่านพี่!”
พระชายาฉียกมือขึ้น ยับยั้งคำพูดของเขา “ข้ารู้ เจ้าจะบอกว่าแม่นางเฝิงอายุยังน้อย เราทำเช่นนี้ก็ออกจะเกินไปบ้าง แต่ถ้าหากเจ้าไม่ไปสู่ขอแต่งงานให้แม่นางเฝิงเป็นภรรยา ต่อไปนางก็จะเผชิญหน้าผู้คนไม่ได้อีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในเมื่อเจ้าทำเรื่องนี้ลงไปแล้ว ก็ควรที่จะรับผิดชอบแม่นางเค้า ยังดีที่เจ้าไม่มีภรรยา สามารถแต่งให้นางเป็นภรรยาเอกได้ สามารถชดใช้ได้ก็ชดใช้ให้เต็มที่”
ฉู่เหวินเจี๋ยอ้าปาก คิดจะพูดอะไรอีก พอได้ยินเสียงร้องไห้ของเฝิงจิ้งเหวินดังขึ้น ก็กลืนลงคอไป พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ยกให้ท่านพี่เป็นคนจัดการทุกอย่าง”
พระชายาฉีหมุนตัว เดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง
เฝิงจิ้งซูร้องไห้จนหายใจไม่ทัน เห็นอาการกระตุกได้อย่างชัดเจนแม้จะมีผ้าห่มปิดตัวไว้ก็ตาม
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่ปลอบนางโดยไม่ส่งเสียง ตบหลังนางอย่างแผ่วเบา
นางร้องไห้ต่อไปไม่หยุดเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น พระชายาฉีถอนหายใจเฮือกใหญ่ นั่งลงบนเตียง เรียกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างละอายใจ “แม่นางเฝิง”
เฝิงจิ้งซูหยุดร้องไห้ หันหน้ามองนางอย่างสะอึกสะอื้น ใบหน้าแดงเถือก ดวงตาแดงก่ำ
พระชายาฉีกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “แม่นางเฝิง เจ้ามาเป็นแขกของจวนอ๋อง แต่กลับต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ พวกเราต้องขอโทษเจ้าแล้ว”
—————————-