ทำตามหัวใจ

ครั้นโม่เทียนเกอตื่นขึ้น ก็รู้สึกค่อนข้างสับสน สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนนางจะหมดสติไปค่อยๆ คืบคลานกลับเข้ามาสู่จิตใจทีละนิดๆ ทำให้นางตกใจและต้องมองดูสภาพรอบตัวด้วยความประหม่า

 

 

ที่นี่… ดูเหมือนจะเป็นห้องในโรงเตี๊ยม… เครื่องเรือนเรียบง่ายและเก่า พื้นสกปรก และผ้านวมมีกลิ่นราอ่อนๆ

 

 

“ศิษย์น้องเยี่ย ตื่นแล้วหรือ”

 

 

โม่เทียนเกอหันหน้าไปหาเสียงนั้นก็เห็นว่าฉินซีกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะในห้องด้านนอกหันหลังให้นาง ดูเหมือนกำลังวาดเครื่องรางอยู่

 

 

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า จิตใจนางก็สงบขึ้นได้เล็กน้อย ในเมื่อฉินซีดูสบายๆ ไร้กังวล พวกเขาก็น่าจะไม่มีอันตรายแล้ว

 

 

ถึงอย่างนั้น ด้วยว่านางยังค่อนข้างงุนงงอยู่ จึงถามว่า “ศิษย์พี่ฉิน เราถูกพบตัวหรือเปล่า”

 

 

ฉินซีวางพู่กันลงและเผากระดาษเครื่องรางที่เขียนผิดก่อนจะตอบนางว่า “ไม่ ข้าทำให้เจ้าสลบไป”

 

 

“หา” นางยิ่งสับสนกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก

 

 

ฉินซีไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม เขาแค่เก็บกระดาษและพู่กันบนโต๊ะให้เรียบร้อยแล้วจึงพูดว่า “ในเมื่อเจ้าตื่นแล้ว เราควรรีบไปจากที่นี่”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า ในขณะนั้นก็สันนิษฐานไปด้วยว่าในเมื่อพวกเขาหนีออกมาได้อย่างปลอดภัยจากผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังสองคนนั้น เขาคงจะใช้วิชาลับอะไรบางอย่างที่คงไม่เหมาะจะให้นางรู้นัก

 

 

แต่นางก็มักจะรู้สึกมาตลอดว่าฉินซีนั้นแปลกประหลาด เขามักจะทำสิ่งต่างๆ สำเร็จได้เสมอทั้งที่เป็นสิ่งที่นางคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ ทัศนคติของเขาสงบนิ่งอยู่ตลอด ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองหวาดระแวงเกินไปทุกครั้งที่นางเริ่มสงสัยเกี่ยวกับเขา หรือว่าเขาสามารถบรรลุสิ่งเหล่านั้นได้ก็เพราะเขามีผู้ฝึกตนระดับสูงเป็นผู้อาวุโสและเพราะมีสมบัติมากมาย

 

 

“อ้อ! ข้าลืมไป!” ฉินซีหยิบของหลายอย่างออกมาจากกระเป๋าเอกภพของเขาและเอาให้นางพร้อมพูดว่า “นี่สำหรับเจ้า ข้าเอามันมาเมื่อวาน”

 

 

สิ่งที่ฉินซีให้นางคือเสื้อเกราะเหล็กที่ยืดหยุ่นได้และไม้วัดหยก นางพูดด้วยความสงสัยว่า “ของพวกนี้คือ…”

 

 

“มันคือเสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์และไม้หลบลี้หนีหล้า อันแรกเป็นอุปกรณ์ป้องกัน สามารถปกป้องเจ้าจากการโจมตีหลายๆ ครั้งจากผู้ฝึกตนที่อยู่ในดินแดนเดียวกับเจ้าเมื่อเจ้าใส่มันไว้ ส่วนไม้หลบลี้หนีหล้ามีประโยชน์มากเวลาเจ้าต้องการจะหนี มันสามารถช่วยให้เจ้าหลบหนีไปได้ไกลกว่าพันจั้งในชั่วพริบตา”

 

 

โม่เทียนเกอตกตะลึงขณะที่นางรับรู้ว่าของพวกนี้มีค่ามากแค่ไหน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่อาวุธวิเศษ แต่มันก็ไม่ได้ด้อยกว่าอาวุธวิเศษเลยแม้แต่น้อย นางถามว่า “ทำไมท่านให้ของพวกนี้แก่ข้าล่ะ”

 

 

ฉินซีจึงบอกว่า “ข้าไม่ต้องการมัน แต่ข้าคิดว่าคงจะน่าเสียดายถ้าข้าไม่เอามันมาด้วย ข้าทำได้เพียงแค่ให้เจ้าไว้”

 

 

“แต่…”

 

 

นางไม่สามารถพูดจนจบประโยคได้เพราะฉินซีตัดบทนาง “หยุดพูดว่าแต่เสียที ก่อนหน้านี้เจ้าเคยโผงผางตลอด เพราะฉะนั้นตอนนี้ทำไมเจ้าถึงกลายเป็นเหมือนเด็กผู้หญิงไปได้”

 

 

แหม ท่านไม่คิดหรือว่าเป็นเพราะตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าข้าเป็นผู้หญิงและข้าก็ไม่อยากจะติดหนี้บุญคุณท่านอีกน่ะ

 

 

โชคร้ายที่นางไม่สามารถพูดคำเหล่านั้นออกไปได้เพราะกลัวว่าจะทำให้ฉินซีไม่พอใจ เมื่อนางต้องทนทุกข์จากเหตุการณ์ร้ายๆ นางก็ได้รับความช่วยเหลือจากเขา อาจจะพูดได้ว่านางติดหนี้บุญคุณเขาก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังอยากที่จะรักษาระยะห่างระหว่างพวกเขาด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าเขารู้ถึงเจตนาของนาง เขาอาจจะรู้สึกได้ว่านางเป็นคนที่ไม่สำนึกบุญคุณคน

 

 

“ก็ได้ ข้าจะไม่พูดอะไรเยิ่นเย้ออีกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ได้รับความช่วยเหลือจากท่านมามากแล้ว เช่นนั้นจะเพิ่มอีกสักเรื่องก็คงไม่เสียหายอะไร…”

 

 

ฉินซียิ้มและพูดว่า “นี่ล่ะศิษย์น้องเยี่ยควรจะเป็นแบบนี้… อ้อ ข้าจะออกไปก่อนนะ เจ้าจะได้ทำอะไรให้เรียบร้อยแล้วค่อยออกมาตอนเจ้าทำเสร็จแล้ว”

 

 

“อืม เข้าใจล่ะ”

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อทั้งสองคนออกจากโรงเตี๊ยม โม่เทียนเกอถึงเพิ่งรู้ว่าพวกเขายังอยู่ที่ตีนเขาของเขาอวิ๋นอู้อยู่

 

 

นางคิดอยู่ในใจ สมกับที่เป็นคนที่มาจากกลุ่มอันทรงอิทธิพล เขากล้ามาก!

 

 

ก่อนพวกเขาจะจากไป โม่เทียนเกอหันกลับและทอดสายตาไปยังเขาอวิ๋นอู้ ยอดเขาทั้งทิศเหนือและทิศใต้ตั้งตระหง่าน สูงเสียดขึ้นไปยังหมู่เมฆพร้อมกับพลังวิญญาณที่ตกค้างอยู่รอบๆ ครั้งหนึ่งนางเคยฟันฝ่าเพื่อให้ได้เข้ามาที่สถานที่แห่งนี้ บัดนี้นางกลับต้องหนีไปด้วยการเสี่ยงชีวิตตัวเอง

 

 

“ศิษย์น้องเยี่ย มีอะไรที่เจ้ายังปล่อยวางไม่ได้อีกหรือไม่”

 

 

โม่เทียนเกอนิ่งเงียบอยู่สักพักก่อนที่นางจะส่ายหน้าและบอกว่า “ไม่ใช่เรื่องที่ข้าปล่อยวางไม่ได้ ข้าแค่คิดถึงพวกคนที่ข้ารู้จัก… น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถเจอพวกเขาได้ในตอนนี้”

 

 

ฉินซีพูดว่า “อย่ากังวลไปเลย ถึงแม้ศิษย์พี่หลิ่วยังไม่ได้สร้างฐานแห่งพลังของเขา แต่เขาก็ได้รับความดีความชอบจากผู้อาวุโสและอนาคตของเขาก็ดูดีทีเดียว สำหรับศิษย์น้องมูหรง ข้าได้ยินว่าการฝึกตนของนางก้าวหน้าไปอย่างราบรื่น อีกอย่างนางก็มีกลุ่มคอยสนับสนุนนาง ข้าคิดว่าโอกาสในการสร้างฐานแห่งพลังของนางนั้นสูงมาก”

 

 

“จริงหรือ” โม่เทียนเกอพึมพำ แล้วนางก็คิดถึงเจียงซั่งหัง สงสัยว่าเขาหนีรอดหรือไม่

 

 

ลืมมันซะ! ตอนนี้ข้ายังไม่สามารถดูแลตัวเองได้เลย ข้าต้องปล่อยให้ธรรมชาติทำหน้าที่ของมันสิ ถ้ามีโชคชะตา เราคงได้พบกันอีกครั้งในสักวันหนึ่ง

 

 

“ศิษย์พี่ฉิน ไปกันเถอะ”

 

 

หลายวันต่อมา ฉินซีและโม่เทียนเกอมาถึงยังตลาดนัดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในหุบเขาระหว่างสองยอดเขาของภูเขาหวน

 

 

หุบเขานี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเขาอวิ๋นอู้ เดิมทีพวกเขาไม่ได้จะผ่านที่นี่ แต่เนื่องจากโม่เทียนเกอต้องการจะจัดการเรื่องบางอย่างที่นี่และฉินซีก็เห็นด้วย ทั้งสองคนจึงเดินทางอ้อมมายังตลาดนัดแห่งนี้

 

 

ทั้งสองคนเข้าไปที่ร้านค้าเล็กๆ ของเทียนเฉี่ยวเป็นที่แรก ตามที่โม่เทียนเกอคาดไว้ เมื่อพวกเขาไปถึง ประตูของร้านปิดอยู่

 

 

ขณะเดียวกับที่นางกำลังจะผลักประตูเปิดและเข้าไปข้างใน ใครบางคนก็ออกมาจากร้านข้างๆ และตะโกนเรียก “ท่านผู้เป็นเซียน ห้ามเข้าไป!”

 

 

โม่เทียนเกอหันไปและเห็นมนุษย์ในชุดพนักงานร้าน นางขมวดคิ้วและถามว่า “ทำไมล่ะ”

 

 

พนักงานร้านรีบโค้งคำนับเป็นการทำความเคารพพวกเขาและพูดอย่างนอบน้อมว่า “ท่านผู้เป็นเซียน ไม่ใช่ว่าข้าไม่อนุญาตให้ท่านเข้าไป แต่เพราะร้านนี้ถูกปิดผนึกโดยโถงปกครองของตลาดนัดของเราขอรับ”

 

 

“ปิดผนึกหรือ หมายความว่าอย่างไร”

 

 

หลังจากสังเกตสีหน้าของนาง พนักงานร้านจึงบอกว่า “ท่านผู้เป็นเซียน ท่านไม่ใช่คนแถวนี้ใช่หรือไม่ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในร้านนี้ ดังนั้นโถงปกครองของเราจึงเข้าครอบครองตึกนี้ ขณะนี้มันยังไม่มีคนเช่าจึงเป็นแค่บ้านที่ว่างเปล่า”

 

 

“เช่นนั้นหรือ” โม่เทียนเกอนิ่วหน้าและถามต่อไป “แล้วเจ้าของร้านคนก่อนล่ะ”

 

 

พอได้ยินคำถามนี้ พนักงานร้านถอนใจและบอกว่า “ข้าจะพูดตามตรง คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นั้นที่ดูแลร้านนี้ตายแล้วขอรับ”

 

 

โม่เทียนเกอรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ดังนั้นครั้งนี้นางเลยแค่ถามว่า “ร่างของพวกเขาล่ะ”

 

 

คำถามของนางตรงเกินไปและทำให้พนักงานร้านเกิดความสงสัย อย่างไรก็ตาม พนักงานคนนั้นไม่กล้าที่จะพูดอะไรและแค่ตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ ข้ารู้แค่ว่าเรื่องนี้ทางโถงปกครองเป็นคนจัดการ”

 

 

“โถงปกครองอยู่ที่ไหนหรือ”

 

 

“เอ… ท่านแค่ต้องเดินตรงไปจากตรงนี้จนกว่าจะถึงตึกที่ใหญ่ที่สุด นั่นคือโถงปกครองขอรับ”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าแล้วเอาทองก้อนหนึ่งออกมาให้กับพนักงานร้าน

 

 

การได้รับทองก้อนใหญ่เช่นนี้จากการแค่ตอบคำถามนิดหน่อยทำให้พนักงานร้านคนนั้นสุขใจอย่างมาก เขาพูดซ้ำๆ ว่า “ขอบคุณท่านผู้เป็นเซียน… ขอบคุณท่านผู้เป็นเซียน…”

 

 

ทั้งสองคนหันกลับและเดินออกมา พวกเขาไม่ต้องเดินไปไกลก็เจอโถงปกครองเข้าในที่สุด

 

 

มีแค่ผู้ฝึกตนระดับสองของการหลอมรวมพลังวิญญาณคนเดียวที่เฝ้าภายในโถงปกครอง ขณะที่กำลังดื่มเหล้าองุ่น ผู้ฝึกตนคนนั้นถามอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “สหายนักพรตต้องการอะไรรึ?”

 

 

คนผู้นี้คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้าองุ่นทำให้โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว “ที่นี่คือโถงปกครองใช่หรือไม่”

 

 

ผู้ฝึกตนคนนั้นสะอึกและเหลือบมองพวกเขาด้วยหางตา เขาไม่พยายามจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแม้แต่น้อยถึงแม้เขาจะเห็นระดับการฝึกตนของพวกเขาแล้วก็ตาม เขากลับชี้ไปที่บางแห่งด้านนอกประตูขณะที่ยังคงถือขวดเหล้าและพูดพร้อมหลับตาว่า “ถ้าท่านไม่รู้ก็จงดูข้างนอกให้ดีก่อนจะเข้ามาในนี้อีกครั้ง”

 

 

โม่เทียนเกอค่อนข้างโมโห แต่นางก็ระงับอารมณ์โกรธของตัวเองเอาไว้ นางกำลังจะถามคำถามอื่นเมื่อฉินซีก้าวมาข้างหน้าและโยนศิลาวิญญาณกำมือหนึ่งไปบนโต๊ะ เขาพูดอย่างเย็นชา “เรามีบางเรื่องที่จำเป็นต้องถามเจ้า”

 

 

ดวงตาของผู้ฝึกตนสดใสขึ้นมาทันทีที่เห็นศิลาวิญญาณบนโต๊ะ ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปโดยพลัน ไม่เพียงแต่เขาจะวางขวดเหล้าลง แต่เขายังยืนขึ้นและทำความเคารพอย่างสุภาพอีกด้วย จากนั้นเขากล่าวว่า “ถ้าท่านสหายนักพรตมีคำถามอะไร ข้าจะบอกท่านสหายนักพรตทุกสิ่งที่ข้ารู้อย่างแน่นอนขอรับ”

 

 

ท่าทางสองแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงของชายคนนั้นทำให้โม่เทียนเกอพูดไม่ออก พวกผู้ฝึกตนที่จัดการตลาดนัดแห่งนี้ช่างเป็นพวกหน้าเงินเสียจริง! เขารู้ทั้งรู้ว่าระดับการฝึกตนของพวกเขาสูงกว่าของเขามาก แต่เขาก็ยังทำเฉยในตอนแรก พอเห็นเงินเข้า เขาก็กลายเป็นคนมีมารยาททันที!

 

 

นางถามตรงๆ “หลายวันก่อน คู่สามีภรรยาตายในตลาดนัดของท่าน ท่านพอจะบอกข้าได้ไหมว่าร่างของพวกเขาอยู่ที่ไหน”

 

 

เมื่อได้ยินคำถามของนาง ชายคนนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ท่านสหายนักพรตคงจะพูดถึงคู่สามีภรรยาสกุลเมิ่งใช่ไหมขอรับ”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า “ใช่ ท่านจัดการงานศพของพวกเขาอย่างไร”

 

 

“นี่…” ชายคนนั้นพินิจดูนางอย่างระมัดระวังแล้วจึงพูดว่า “ข้าขอถามได้ไหมว่าท่านสหายนักพรตเกี่ยวข้องอย่างไรกับพวกเขา”

 

 

“ข้าเป็นญาติพวกเขา”

 

 

หลังจากเขาได้ยินคำตอบ เขาก็เหลือบมองนางแบบค่อนข้างรู้สึกผิดและบอกว่า “ท่านสหายนักพรต เราไม่เคยได้ยินว่าสหายแซ่เมิ่งมีญาติที่ไหนมาก่อนเลย…”

 

 

โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว ท่าทางของเขาตอนนี้เผยให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่ามีบางอย่างไม่ปกติ “เจ้าแค่ต้องบอกเรามาว่าร่างของพวกเขาอยู่ที่ไหน!”

 

 

ชายคนนั้นเอาแต่มองศิลาวิญญาณบนโต๊ะและจึงตอบมาในที่สุด “ท่านสหายนักพรต เราไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขายังมีญาติเหลืออยู่ ดังนั้นเราจึงทำตามธรรมเนียมปกติ… เราเผาศพของพวกเขาและฝังเถ้ากระดูกไว้ที่ภูเขาด้านหลัง…”

 

 

ใจของโม่เทียนเกอหล่นวูบลง นางพูดว่า “ท่านหมายความว่าร่างของพวกเขาไม่เหลืออยู่แล้วหรือ”

 

 

“ไม่เชิง…” พอเห็นว่าสีหน้าของนางเย็นชาเพียงใด ชายคนนั้นจึงตอบตามตรงว่า “ท่านยังสามารถตามหาพวกเขาได้ถ้าต้องการ แต่เนื่องจากเถ้ากระดูกถูกฝังอยู่ในพื้นดิน คงเป็นการยากที่จะแยกดินออกจากเถ้ากระดูก… ท่านสหายนักพรต”

 

 

โม่เทียนเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ หันหลังและเดินออกไป ถ้านางอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว นางอาจจะทำร้ายคนผู้นี้และฆ่าเขาก็ได้!

 

 

ฉินซีรีบตามนางให้ทันและตะโกนเรียก “ศิษย์น้องเยี่ย!”

 

 

โม่เทียนเกอหยุดเดินและพยายามระงับความโกรธ นางแค่ต้องการจะจัดงานศพให้เทียนเฉี่ยว ถ้านางมีโอกาสในอนาคต นางตั้งใจว่าจะนำเถ้ากระดูกของพวกเขากลับไปที่หมู่บ้านตระกูลโม่ อย่างไรก็ตาม…

 

 

“ศิษย์น้องเยี่ย เจ้ากำลังตามหาใครหรือ”

 

 

โม่เทียนเกอเงียบไปอยู่พักหนึ่งก่อนที่นางจะตอบว่า “ลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงของข้าน่ะ เราโตมาด้วยกันตอนที่เรายังเด็ก และนางก็เป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่ข้ามากที่สุด”

 

 

“เช่นนั้นหรือ ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้อยู่แล้วว่าพวกเขา…”

 

 

โม่เทียนเกอส่งเสียงหัวเราะขมขื่นและพูดว่า “แน่นอนข้ารู้อยู่แล้ว ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ถูกทำร้ายเพราะข้าเอง”

 

 

“ถูกทำร้ายหรือ”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าและก้มหน้าลง ดูสลดใจเป็นที่สุด ถ้าเพียงแต่นางไม่ได้เอาสูตรยาเพิ่มพลังการก่อเกิดมา เจียงเฉิงเสียนก็คงไม่สังเกตเห็นนาง ถ้าเพียงแต่นางไม่ประมาทเกินไป นางก็คงไม่ถูกพบตัวเมื่อตอนที่นางอยู่ที่ตลาดของเผ่าหู เจียงเฉิงเสียนก็คงจะจำนางไม่ได้และเทียนเฉี่ยวก็คงไม่ต้องทนทรมานจากการเค้นจิตวิญญาณ เป็นเพราะนางเทียนเฉี่ยวถึงต้องตาย…

 

 

พอเขาเห็นสีหน้าของนาง ฉินซีจึงไม่สงสัยอะไรนางอีกต่อไป เขาแค่ถอนใจและถามว่า “เจ้ากำลังรู้สึกผิดมากอยู่ใช่ไหม”

 

 

ชั่วขณะหนึ่งโม่เทียนเกอพูดอะไรไม่ออก แต่สุดท้ายนางก็พยักหน้าและกระซิบเบาๆ ว่า “ใช่ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาเจอกับข้า ก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา…”

 

 

“บางทีเจ้าอาจจะรู้สึกดีขึ้นไหมถ้าเจ้าหาเถ้ากระดูกของพวกเขาเจอ”

 

 

“ข้า…”

 

 

“หลังจากคนเราตายไป มันสำคัญด้วยหรือว่าเถ้ากระดูกของพวกเขาถูกฝังอยู่ที่ไหน ต่อให้พวกเขามีป้ายหินหน้าหลุมศพ ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสิ่งของที่ปลอบประโลมใจคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้เจ้านำเถ้ากระดูกของพวกเขากลับไป มันจะทำให้อะไรแตกต่างไปสำหรับพวกเขาหรือ? “

 

 

โม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบ

 

 

ฉินซีจ้องนางและพูดอย่างเรียบเฉย “อย่าลืมสิว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกตน”

 

 

ถึงแม้น้ำเสียงเขาจะราบเรียบและไม่ได้ฟังดูเหมือนเขากำลังดุว่านาง แต่โม่เทียนเกอก็เข้าใจคำเตือนเบื้องหลังคำพูดของเขา

 

 

ผู้ฝึกตนจะต้องไม่ถูกจำกัดด้วยเรื่องภายนอกหรือไม่ยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก ถ้าพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ พวกเขาจะเป็นผู้ฝึกตนแบบไหนกัน? การฝึกจิตใจก็จำเป็นต่อการก้าวไปสู่การเป็นเซียนเช่นกัน ถ้าพวกเขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อเรื่องภายนอกได้ พวกเขาจะพัฒนาการฝึกตนได้อย่างไร

 

 

นางเข้าใจหลักการพวกนี้ดี แต่…

 

 

“ในสำนักอวิ๋นอู้ ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่มีข้อจำกัด เป็นผู้ที่มั่นคงต่อเส้นทางแห่งการฝึกตน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ล่ะที่ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าไม่สามารถมองข้ามอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้! ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าต้องระลึกว่าถ้าเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อย่างมากเจ้าคงจะเข้าถึงได้แค่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ส่วนดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง… คงจะสิ้นหวังแล้วสำหรับเจ้า!

 

 

จิตใจของโม่เทียนเกอจมดิ่งด้วยความผิดหวัง จริงสิ! ท่านอารองจากไปแล้ว ข้าจะทำพลาดอีกได้อย่างไร ในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว รู้สึกผิดไปก็ไร้ประโยชน์ รู้สึกเสียใจก็เช่นกัน

 

 

นางหลับตาลงและพูดอย่างจริงใจว่า “ศิษย์พี่ฉิน ขอบคุณมาก”