โรงเรียนเสวียนชิง

โม่เทียนเกอยืนขึ้นบนกระบี่บินในขณะที่มองลงไปยังทิวทัศน์เบื้องล่าง

 

 

ยอดเขาซ้อนยอดเขาสูงเสียดฟ้าทะลุผ่านทะเลของกลุ่มก้อนเมฆ

 

 

นี่คืออารามของโรงเรียนเสวียนชิงในภูเขาไท่คังทางคุนอู๋ตะวันตก

 

 

ถ้านางไม่ได้เคยไปที่สำนักเทียนเต้าและเห็นทั้งภูเขาอวี้เหิงและภูเขามาร นางคงจะต้องรู้สึกตื่นตาตื่นใจต่อภาพทิวทัศน์เบื้องล่างของนางในตอนนี้อย่างแน่นอน

 

 

เทียบกับภูเขาที่ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเต็มไปด้วยพลังวิญญาณเช่นนี้ ภูเขาอวิ๋นอู้นั้นไม่สามารถเทียบกันได้เลย แม้แต่สำนักจื่อซย่าใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้นางยกย่อง ยังดูแย่ไปเลยเมื่อเทียบกับมัน

 

 

ภูเขาไท่คังสูงกว่าหนึ่งร้อยจั้ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สูงเท่าภูเขามาร แต่ก็เป็นหนึ่งในภูเขาที่สูงที่สุดที่พวกเขาเคยเจอมาในการเดินทาง ยอดเขาหลักเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดและล้อมรอบด้วยอีกหกยอดเขาที่ไม่ได้ต่างกันในเรื่องของความสูงเท่าไรนัก กระเบื้องหลังคาและชายคาบ้านต่างๆ เห็นเป็นช่วงๆ ผ่านช่องว่างของป่าภูเขา มีศิษย์ของสำนักหลายร้อยคนอยู่บริเวณลานจัตุรัสกลางของโรงเรียน ศิษย์ทั้งหลายยืนเข้าแถวอย่างเรียบร้อย และจัดแถวเป็นระเบียบเนื่องจากกำลังเรียนทางด้านศิลปะการต่อสู้

 

 

เมื่อรู้ว่าโม่เทียนเกอกำลังจับจ้องไปในทางนั้น ฉินซีก็อธิบาย “ถึงแม้ว่าโรงเรียนเสวียนชิงจะเป็นโรงเรียนแห่งเต๋า แต่ก็ยังมีวิชาที่เจ้าสามารถฝึกได้มากมายที่นี่ ศิษย์เหล่านั้นกำลังฝึกวิชาฝึกตนสายกระบี่ ดังนั้นพวกเขาจึงเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้เหมือนกับผู้คนทั่วไปในโลกมนุษย์”

 

 

“โอ้…มันเป็นภาพที่สง่างามเหลือเกิน” จากระยะไกล นางมองผู้ฝึกตนในชุดคลุมสีฟ้าและขาวกวัดแกว่งกระบี่ด้วยความพร้อมเพรียงกัน การเคลื่อนที่พลังกระบี่ของพวกเขาอย่างรวดเร็วรวมกับความมั่นใจในตนเองของศิษย์ทั้งหลาย ช่างเป็นสิ่งที่จรรโลงตาเสียเหลือเกิน

 

 

เมื่อนางสัมผัสได้ว่าบางคนกำลังเข้ามาใกล้ โม่เทียนเกอจึงเงยหน้าขึ้น เห็นกลุ่มคนประมาณเจ็ดถึงแปดคนกำลังตรงมาทางพวกเขาบนกระบี่บิน พวกเขาดูเหมือนเป็นหน่วยลาดตระเวนรอบภูเขา คนหนึ่งในนั้นผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง

 

 

ขณะที่เห็นทั้งสองคน ทั้งกลุ่มหยุดทำความเคารพต่อฉินซีในระยะไกล

 

 

เมื่อพวกเขาเคลื่อนตัวจากไป ฉินซีจึงพูด “ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิง มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าเข้าไปด้านใน”

 

 

กระบี่บินได้พาพวกเขาร่อนลงที่ยอดเขายอดหนึ่ง

 

 

“นี่คือยอดเขาวสันต์กระจ่าง โรงเรียนเสวียนชิงมียอดเขาทั้งหมดหกยอด ศิษย์ในแต่ละยอดเขาจะฝึกตนด้านข้างยอดเขาและฟังวิชาของเต๋าที่ยอดเขาหลัก เจ้าเพียงแค่จะต้องจำลักษณะภูมิประเทศของยอดเขาวสันต์กระจ่างให้ได้ สำหรับยอดเขาหลักเจ้าจะต้องไปเพียงแค่บางโอกาสเท่านั้น”

 

 

เมื่อฉินซีพูดจบ ทั้งสองคนก็ร่อนลงที่ด้านหน้าโถงอาคารหลักของยอดเขาวสันต์กระจ่าง

 

 

โม่เทียนเกอกำลังสำรวจบริเวณรอบๆ ในขณะที่หญิงผู้ฝึกตนเดินออกมาจากโถง นางดูประหลาดใจเมื่อเห็นทั้งสองคนและกำลังจะตะโกนเรียกแต่…

 

 

“เฟิงเสวี่ยมานี่!”

 

 

หญิงผู้ฝึกตนกลืนน้ำลายตัวเองและเดินมาทางพวกเขาเพื่อทักทายอย่างลังเล

 

 

ฉินซีพูดกับโม่เทียนเกอก่อน “นี่เป็นศิษย์ผู้ควบคุมของยอดเขาวสันต์กระจ่าง นางยังเป็นศิษย์ภายใต้อาจารย์ลุงเสวียนอิน ชื่อหลัวเฟิงเสวี่ย”

 

 

หลังจากนั้นเขาจึงหันไปทางหลัวเฟิงเสวี่ยและพูดว่า “สามปีแล้วสินะ เจ้ายังไม่สร้างฐานแห่งพลังอีกหรือ”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยกะพริบตา หลังจากวิเคราะห์ถึงท่าทางของเขา นางเรียกออกมาด้วยความปราดเปรื่อง “ท่านอาจารย์ลุง”

 

 

ฉินซียิ้มเล็กน้อยพร้อมพูด “ถูกต้อง ต่อแต่นี้ไปเจ้าต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ลุง”

 

 

“โอ้…” หลัวเฟิงเสวี่ยหันมองทั้งสองคนสลับไปมา อย่างไรก็ตามสุดท้ายนางก็ยิ้มและพูดว่า “ท่านอาจารย์ลุงทำไมท่านใช้เวลาในการกลับจากเดินทางครั้งนี้นานเหลือเกิน ท่านปรมาจารย์เป็นห่วงท่านมากจริงๆ!”

 

 

แทนที่จะตอบ ฉินซีชี้ไปที่โม่เทียนเกอและพูดว่า “นี่เป็นศิษย์น้องหญิงคนใหม่ของเจ้า อันดับแรกพานางไปลงชื่อก่อน ที่เหลือค่อยจัดการทีหลัง”

 

 

“รับทราบเจ้าค่ะ!” หลัวเฟิงเสวี่ยหันไปมองที่โม่เทียนเกอพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย สุดท้ายนางก็ยิ้มและพูดว่า “ศิษย์น้องหญิง เจ้าชื่อว่าอะไรหรือ”

 

 

ถูกเรียกว่า “ศิษย์น้องหญิง” เป็นครั้งแรกถึงแม้ว่านางจะยังใส่เสื้อผ้าของผู้ชายทำให้โม่เทียนเกอสับสนว่านางควรที่จะทำความเคารพอย่างไร สุดท้ายแล้ว นางจึงตอบคำถามของหลัวเฟิงเสวี่ยก่อน “ศิษย์พี่หญิงหลัวเฟิงเสวี่ย ข้าชื่อโม่เทียนเกอ”

 

 

“เทียนเกอ” หลัวเฟิงเสวี่ยทวนชื่อของโม่เทียนเกอ หลังจากนั้นนางดึงมือของโม่เทียนเกอไปจับอย่างเป็นกันเองและพูด “เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่หญิงหรอก ทุกคนเรียกชื่อข้า เจ้าก็ควรที่จะเรียกข้าว่า เฟิงเสวี่ย!”

 

 

“นี่…”

 

 

เมื่อเห็นท่าทางเสียศูนย์ของโม่เทียนเกอเมื่อเผชิญหน้ากับความกระตือรือร้นของหลัวเฟิงเสวี่ย ฉินซีก็ทำได้เพียงแค่หัวเราะเบาๆ “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าจะไปแจ้งเรื่องของเจ้ากับท่านปรมาจารย์ก่อน ระหว่างนั้น เจ้าควรตามเฟิงเสวี่ยไปก่อน” หลังจากนั้นเขาหันไปพูดกับหลัวเฟิงเสวี่ย “เฟิงเสวี่ย ข้าฝากนางกับเจ้าด้วย จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเสียด้วยล่ะ”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยยิ้มและตอบด้วยลูกเล่น “รับทราบเจ้าค่ะ! อาจารย์ลุง! นานแล้วที่ท่านไม่ได้กลับมา ท่านน่าจะไปแสดงความเคารพต่อปรมาจารย์ก่อน วางใจได้เลยข้าจะดูแลนางอย่างดี!”

 

 

“…” เมื่อต้องเจอกับความร่าเริงของนาง ฉินซีดูทำอะไรไม่ถูกทีเดียว เขาเพียงแค่โบกมือและเดินไปโดยที่ไม่ตอบแม้แต่คำเดียว

 

 

เมื่อนางเห็นเขาเดินหายลับไป โม่เทียนเกอก็รู้สึกขัดแย้งอยู่ข้างในตัวเอง เขาจากไปโดยที่ไม่พูดกับนางสักคำและไม่แม้แต่จะหันกลับมามองด้วย

 

 

ในการที่จะเดินทางมาโรงเรียนเสวียนชิงจากเขาอวิ๋นอู้ พวกเขาต้องเดินทางข้ามผ่านขอบเขตของภูเขาคุนอู๋ทั้งหมดร่วมสองเดือนเต็ม ในระหว่างสองเดือนนั้น ทั้งสองคนใกล้ชิดกันมากขึ้นเกินกว่าที่จะพรรณนาออกมาได้

 

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะฉินซีได้รับการชี้แนะจากอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ตั้งแต่สมัยที่เขายังเด็กว่าความรู้ของเขานั้นกว้างขวาง ไม่เพียงแค่ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการฝึกตนที่เขาชี้แนะโม่เทียนเกอเท่านั้น แต่เขายังได้แบ่งปันประสบการณ์ของเขาให้กับนางด้วย ความจริงโดยธรรมชาติแล้วฉินซีไม่ได้เป็นคนที่เย็นชาอย่างที่แสดงออกตอนพวกเขาพบเจอกันครั้งแรก ในทางตรงกันข้าม เขาอ่อนโยนและมารยาทดี เมื่อเขาพูด ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะรู้สึกเคลิบเคลิ้มดังสัมผัสกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ อีกอย่างคำแนะนำของเขาก็ช่วยเหลือนางได้มากจริงๆ …

 

 

เมื่อนางรู้ตัวว่านางเริ่มที่จะพึ่งพาเขา นางเข้าใจว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมและตัดสินใจที่จะเว้นระยะห่างจากเขาในทันที

 

 

ฉินซีมาจากกลุ่มที่มีชื่อเสียงและมีผู้ฝึกตนระดับสูงเป็นผู้อาวุโส ด้วยพื้นฐานทางธรรมชาติของนาง โม่เทียนเกอไม่มีโอกาสที่จะฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับเขาได้อย่างแน่นอน ดังนั้นทำไมนางถึงจะต้องหลอกตัวเองด้วย เพราะอย่างนั้น เมื่อนางตระหนักได้ว่านางมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อเขา นางจึงหยุดมันอย่างสมเหตุสมผลและตรงไปตรงมา

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่นางมีความรู้สึกแบบนี้ต่อคนอื่น ดังนั้นนางจึงค่อนข้างแปลกใจที่นางสามารถแก้ไขได้อย่างมีเหตุผล รวมทั้งนางยังไม่มีความลังเลใดๆ ในการตัดสินใจเช่นนั้นด้วย เพราะหัวใจนางไม่เคยมั่นคงเท่ากับปัจจุบันที่นางมีความต้องการมุ่งสู่เส้นทางของการฝึกตนต่อไป

 

 

 

 

ฉินซีมุ่งหน้าไปยังถ้ำเซียนบริเวณยอดสุดของยอดเขาวสันต์กระจ่าง

 

 

ความจริงแล้วมันดูเหมือนตำหนักมากกว่าถ้ำเซียน ถึงแม้ว่ามันจะตั้งอยู่ภายในภูเขาแต่ทางเข้าก็ดูเหมือนตำหนักจริงๆ

 

 

เมื่อศิษย์ผู้คุมห้องโถงเห็นฉินซี เขาเรียกออกมาด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์ลุงโซวจิง! ท่านกลับมาแล้ว!”

 

 

ฉินซีพยักหน้า “ท่านปรมาจารย์อยู่ด้านในหรือไม่”

 

 

ศิษย์พยักหน้าพร้อมพูดว่า “อยู่ขอรับท่าน เชิญด้านใน”

 

 

ด้านในทางเข้า พื้นนั้นล้วนฝังไปด้วยหยกวิญญาณและกำแพงได้ถูกก่อขึ้นด้วยหินแปลกๆ ที่หลากหลาย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ระยิบระยับไปด้วยทอง แต่ความหรูหราของโถงนี้ก็เห็นได้อย่างเด่นชัด

 

 

ภายในห้องโถง ชายวัยกลางคนแต่งตัวหรูหราดูภูมิฐานเช่นผู้สูงศักดิ์กำลังเอนกายอยู่บนตั่งมังกร หญิงคนหนึ่งกำลังนวดขาของเขาอย่างเบามือในขณะที่อีกคนกำลังปอกองุ่นให้กับเขา อย่างไรก็ตาม ชายวัยกลางคนคนนี้ที่ดูเหมือนกับเป็นพระราชาในโลกของมนุษย์ ความจริงแล้วเป็นผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่!

 

 

มันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขากลืนองุ่นที่สาวงามป้อนให้ในขณะที่เขามองตรงไปยังฉินซี เขาพูดว่า “เจ้าไปทำอะไรมาในการเดินทางของเจ้า เจ้าไม่ได้กลับมาถึงสามปี… โอ้ เจ้าฟื้นระดับการฝึกตนของเจ้าหรือ”

 

 

ท่าทางของเขาที่ดูเหมือนผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถจากโลกแห่งมนุษย์นั้นได้ถูกเมินเฉยจากฉินซีอย่างสิ้นเชิง ฉินซีเพียงแค่หาที่นั่งและรินชาให้ตัวเองในขณะที่เขาพูด “ข้าจะทำอะไรได้อีก? ข้ากำลังมองหายาแก้สารพัดโรคเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ และในขณะนั้นข้าก็กำลังมองหาวิชากายาพิสุทธิ์เพื่อเตรียมตัวสร้างจิตวิญญาณใหม่ของข้าด้วย”

 

 

“ฮึ่ม!” ผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่เลิกคิ้วพร้อมพูด “นั่นไม่ใช่ทั้งหมดใช่ไหม เจ้าพาเด็กหญิงตัวน้อยๆ กลับมา เกิดอะไรขึ้น ในที่สุดหัวใจของเจ้าก็เต้นเหมือนคนปกติทั่วไปแล้วหรือ”

 

 

“ท่านคิดว่าข้าจะเหมือนท่านอย่างนั้นหรือ” ฉินซีโต้กลับอย่างตรงไปตรงมา หลังจากนั้นเขาขมวดคิ้วและถาม “ท่านรู้ได้อย่างไรว่านางเป็นผู้หญิง นางออกจะ…”

 

 

“เจ้าคิดว่าแค่เพราะนางใส่เสื้อผ้าผู้ชายแล้วเจ้าจะสามารถซ่อนนางจากสายตาคู่นี้ที่สังเกตผู้หญิงมานับไม่ถ้วนได้อย่างนั้นหรือ โอ้ไม่ๆ ข้าหมายถึงจิตศักดิ์สิทธิ์ของข้า…” หลังจากที่บ่นกับตัวเอง เขาก็กลืนองุ่นเพิ่มและเปลี่ยนอิริยาบถของเขา เขาจ้องมองที่ฉินซีและพูดว่า “ในเมื่อเจ้าพานางกลับมา นางก็คงจะไม่ได้เป็นเด็กหญิงทั่วๆ ไป บอกข้ามา เกิดอะไรขึ้น”

 

 

ฉินซีไม่อยากโต้เถียงกับชายผู้นี้อีกต่อไป เขาครุ่นคิดสักครู่หนึ่งก่อนที่จะเรียก “ท่านอาจารย์…”

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอได้ยินสิ่งนี้ นางจะต้องรู้ถึงตัวตนของชายผู้นี้ทันที ยอดเขาวสันต์กระจ่างเป็นพื้นที่ส่วนตัวในการฝึกตนของปรมาจารย์จิงเหอ ในเมื่อชายผู้นี้คือผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่ เขาจะต้องเป็นฉินจิ้งเหออย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันทั้งหมดทั้งมวลทั่วโรงเรียนเสวียนชิง น้อยคนนักที่จะเรียกเขาว่า “ท่านอาจารย์”

 

 

“ท่านอาจารย์ รับนางเป็นศิษย์ด้วย”

 

 

ฉินจิ้งเหอเกือบสำลักองุ่นที่เพิ่งทานเข้าไปเพราะฉินซี

 

 

เขากลืนองุ่นขณะที่คิดหลังจากนั้นเขาโบกมือไปที่ผู้หญิงสองนาง บอกให้ออกไปก่อน เขาลุกขึ้นนั่งและพูดว่า “เจ้าต้องการให้ข้ารับนางเป็นศิษย์อย่างนั้นหรือ นางเป็นคนอย่างไรกันถึงตกมาอยู่ในสายตาของเจ้าได้”

 

 

ฉินซีเมินคำถามของเขาและพูดอย่างเรียบง่าย “ข้าเพียงขอให้ท่านรับนางเป็นศิษยอย่างถูกต้อง ข้าจะจัดการที่เหลือเอง”

 

 

“เจ้าควรบอกข้าก่อนว่านางเป็นใคร…”

 

 

เมื่อไร้ซึ่งทางเลือก ฉินซีสามารถอธิบายได้เพียงแค่ “ท่านจำเมื่อยี่สิบปีก่อนที่มีใครบางคนไว้วางใจฝากลูกของเขากับข้าได้หรือไม่”

 

 

ฉินจิ้งเหอคนที่ไม่ได้ดูเหมือนผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่และดูเหมือนกับพระราชาที่ไร้ความสามารถในโลกมนุษย์ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าใจ “โอ้… นางคือคนของตระกูลนั้นเองหรอกหรือ ไอ้หยา ช่างน่าผิดหวังเสียจริง… ข้านึกว่าในที่สุดเจ้าก็ตาสว่างเสียแล้ว…” เมื่อเขาพูดจบเขาก็กลับลงไปนอนพิงบนตั่งอย่างเดิม และในเมื่อไม่มีสาวงามคอยดูแลอยู่ข้างๆ เขาจึงต้องใช้คาถาปอกองุ่นด้วยตัวเอง

 

 

เมื่อเห็นพฤติกรรมของฉินจิ้งเหอ ฉินซีรู้สึกไร้หนทางมากกว่าเดิม “ท่านอาจารย์”

 

 

ฉินจิ้งเหอพูดด้วยความขุ่นเคืองใจ “ข้าบอกว่า.. เสี่ยวซี ข้าเป็นทั้งปู่และอาจารย์ของเจ้า เจ้าปฏิบัติต่อข้าด้วยความเคารพหน่อยมิได้หรอกหรือ”

 

 

“ท่านโทษข้าที่ไม่เคารพท่านได้หรือ” ฉินซีพูดด้วยความโกรธ “ดูสิ นี่ท่านทำตัวเหมือนกับเป็นผู้อาวุโสไหม”

 

 

“เจ้าเด็กเหลือขอ!” ฉินจิ้งเหอกระโดดลุกออกจากตั่งและตำหนิเขา “เห็นอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ข้าเป็นคนเดียวที่สอนเจ้า แล้วทำไมเจ้าถึงดูเหมือนคนแก่เหลือขอนัก! ใครบอกว่าผู้ฝึกตนจะต้องมีใจที่บริสุทธิ์และความปรารถนาน้อยและจะต้องฝึกตนอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มาซึ่งบางสิ่งบางอย่าง ไม่ใช่อาจารย์เจ้าหรือตัวข้าหรอกหรือที่ยังสามารถฝึกตนจนเข้าสู่ระดับกลางของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่โดยที่ไม่ได้ใช้ชีวิตตามหลักการเหล่านั้นเลย”

 

 

“ข้าเพียงแค่ถามว่าท่านทำตัวเหมือนผู้อาวุโสหรือไม่…”

 

 

“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ในใจ ไอ้เด็กเหลือขอตัวเหม็น! เจ้าจะต้องทำให้ข้าโกรธทันทีที่กลับมาสินะ หา!”

 

 

เมื่อถูกโต้แย้งในขณะที่เขากำลังจะอธิบาย ฉินซีถูกบังคับให้กลืนคำพูดของตัวเอง ในที่สุดเขาก็ผายมือออกและพูดว่า “ตกลง ไม่ว่าท่านจะพูดอะไร ท่านคือผู้อาวุโสอยู่ดี!” อย่างไรก็ตามเขาคุ้นชินกับเรื่องเช่นนี้แล้ว

 

 

“ถูกต้องแล้ว!” ฉินจิ้งเหอทานองุ่นของเขาต่อด้วยความพอใจ หลังจากนั้นไม่นานเขาพูด “เจ้าไม่คิดว่าควรบอกแผนของเจ้าให้ข้ารู้ก่อนบ้างหรือ ข้าจำข่าวจากศิษย์ที่เจ้าส่งมาได้ว่าเด็กหญิงคนนี้ครอบครองร่างปราณหยินใช่ไหม”

 

 

ฉินซีพยักหน้า “ถูกต้อง ความจริงแล้วรากวิญญาณของนางไม่ได้ดีนัก อย่างไรก็ตาม นางเป็นคนที่ขยันและมีมุมมองความคิดที่ดี ด้วยการศึกษาที่เพียงพอ นางน่าจะประสบความสำเร็จได้”

 

 

“ประสบความสำเร็จ? นี่เจ้ากำลังพูดถึงการก่อขุมพลังอย่างนั้นหรือ” ฉินจิ้งเหอส่ายหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “เจ้าอย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม เจ้า ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้ครอบครองรากวิญญาณสองธาตุ ดังนั้นเจ้าจึงจะไม่ถูกจำกัดด้วยทุนโดยธรรมชาติของเจ้าเอง จากที่ข้าจำได้ เด็กคนนั้นมีรากวิญญาณถึงห้าธาตุมิใช่หรือ ไม่ว่านางจะขยันแค่ไหนหรือมุมมองของนางจะดีอย่างไร มันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณห้าธาตุที่จะประสบความสำเร็จในสิ่งใดก็ตาม ความจริงแล้วมันจะเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายไปมากแล้วถ้านางสามารถสร้างฐานแห่งพลังได้!”

 

 

ฉินซีไม่ได้ปฏิเสธ เขาเพียงพูด “ท่านอาจารย์ ในเมื่อท่านคิดเช่นนั้น เรามาพนันกันไหม”

 

 

“หา”

 

 

“ท่านบอกว่านางจะสามารถสร้างฐานแห่งพลังได้อย่างมากที่สุด แต่สำหรับข้านางสามารถก่อขุ่มพลังของนางได้อย่างแน่นอน!”

 

 

เมื่อฉินซีพูด ฉินจิ้งเหอหยุดขยับตัวและมองเขาอย่างครุ่นคิด “เจ้าไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหนกัน ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณห้าธาตุเลย แต่แม้กระทั่งผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณสองธาตุอย่างเจ้าก็มักจะติดอยู่กับดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง เจ้าบอกว่านางจะสามารถสร้างฐานแห่งพลังของนางได้ บางทีหรือว่าเจ้าจะค้นพบอะไรบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับนาง”

 

 

ฉินซีส่ายหน้าพร้อมพูด “สัญชาตญาณของข้าบอกเช่นนั้น”

 

 

ฉินจิ้งเหอตะลึงงัน เขาเม้มปากอย่างดูหมิ่น “ขอทีเถอะ! เจ้าอย่าลืม ไม่ว่าเจ้าจะเก่งกาจแค่ไหน เจ้าก็อยู่เพียงแค่ระดับกลางของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีความสามารถในการทำนายอนาคตได้มากกว่าข้าผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ของเจ้าอย่างนั้นหรือ”

 

 

ฉินซีจ้องเขาและยิ้มเยาะ “ท่านอาจารย์ ท่านมีความสามารถมาก? ข้าจำได้ตอนที่ท่านพูดว่าข้าต้องใช้เวลาถึงสองร้อยปีในการเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่แล้วเกิดอะไรขึ้น ข้าใช้เวลาเพียงแค่เจ็ดสิบปีในการก่อขุมพลังเท่านั้น ในสองร้อยปี… ข้าเกรงว่าข้าคงก่อจิตวิญญาณใหม่ไปแล้ว!”

 

 

ใบหน้าฉินจิ้งเหอเปลี่ยนเป็นสีแดงแต่ในเสี้ยววินาทีถัดมาเขาพูดอย่างมั่นใจในตัวเองว่าถูกต้องแน่นอน “ความไม่ถูกต้องแน่นอนมักเกิดขึ้นได้เมื่อคาดการณ์เรื่องอนาคตอยู่แล้ว รู้หรือไม่ แล้วอย่าได้ภาคภูมิใจในตนเองให้มากนัก! สองร้อยปีจะก่อจิตวิญญาณใหม่งั้นรึ? นี่กี่ปีมาแล้วตั้งแต่ที่คนแบบนั้นโผล่มาในขั้วแห่งท้องฟ้าครั้งล่าสุด ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะ อย่าคิดว่าการก่อจิตวิญญาณใหม่นั้นจะง่ายเหมือนการก่อขุมพลังของเจ้า ย้อนกลับไปในตอนนั้น ในฐานะที่เป็นหนึ่งในอัจฉริยะของขั้วแห่งท้องฟ้า ข้าก่อจิตวิญญาณใหม่ของข้าตอนที่ข้าอายุเกือบสี่ร้อยปี แล้วเจ้า…”

 

 

“เช่นนั้นท่านอาจารย์จะพนันว่านางไม่สามารถก่อขุมพลังได้เช่นนั้นหรือ”

 

 

หัวข้อการพูดคุยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ฉินจิ้งเหอหยุดชั่วครู่ก่อนที่เขาจะตอบอีกครั้งด้วยความโมโห “ใครบอกว่าข้าจะพนันกับเจ้า ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าชอบลากข้าให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับแผนของเจ้าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม… เดี๋ยวก่อน! ข้าต้องการถามเจ้าว่าเจ้าวางแผนจะทำอย่างไรกับนาง ไม่ได้คุยว่าอนาคตของนางจะเป็นอย่างไร! หยุดเปลี่ยนเรื่อง!”