“เทียนเกอ เจ้าคือ… ศิษย์ที่ท่านอาจารย์ลุงรับมาจากภายนอกหรือ”

 

 

โม่เทียนเกอคาดว่าหลัวเฟิงเสวี่ยจะต้องมีเจตนาที่ไม่ดีเมื่อถามคำถามนี้แน่นอน อย่างไรก็ตาม เจตนาของนางนั้นดูใจดีจนเกินไป หลัวเฟิงเสวี่ยวางตัวเหมือนกับว่านางไม่ได้คิดไม่ดี การวางตัวแบบนี้เป็นเรื่องตลกไร้สาระระหว่างสหายเท่านั้น

 

 

นี่ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกอึดอัดและไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร ตั้งแต่สมัยที่นางเป็นเด็ก สหายผู้หญิงเพียงคนเดียวที่นางมีคือเทียนเฉี่ยว นอกจากเทียนเฉี่ยวแล้วนางไม่มีเพื่อนสนิทอีกเลย อีกอย่างหลัวเฟิงเสวี่ยก็ร่าเริงเกินไป เป็นกันเองเกินไป พวกเขาเพิ่งเจอกันเมื่อครู่ แต่หลัวเฟิงเสวี่ยกลับคุยกับนางอย่างสนิทสนมเสียแล้ว… แม้กระทั่งคนที่ร่าเริงแบบมู่หรงเยียนยังไม่ปฏิบัติกับนางแบบนี้ตอนที่เพิ่งรู้จักกัน

 

 

“ศิษย์พี่หลัว ข้า…”

 

 

“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าให้เลิกเรียกข้าว่าศิษย์พี่หลัว เรียกแค่เฟิงเสวี่ย!”

 

 

“แต่ศิษย์ทั้งหลายเมื่อครู่ต่างเรียกท่านว่า…”

 

 

“เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้สนิทกับข้า!”

 

 

ข้าก็ด้วย เข้าใจไหม โม่เทียนเกอเพียงแต่คิดในใจ

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยขยับเข้ามาใกล้โม่เทียนเกออีกครั้งด้วยความสงสัยบนใบหน้า นางถามว่า “เหมือนข้าจะได้ยินท่านอาจารย์ลุงเรียกเจ้าว่า ‘ศิษย์น้องเยี่ย’ นั่นหมายถึงอะไรหรือ”

 

 

“…” โม่เทียนเกอจะอธิบายความสัมพันธ์แบบนี้ให้กับคนอื่นฟังได้อย่างไร กระนั้นการเผชิญหน้ากับหน้าตาช่างสงสัยแต่ไร้เดียงสาของหลัวเฟิงเสวี่ยก็ทำให้นางไม่สามารถเลี่ยงที่จะตอบได้

 

 

“มันเป็นเพราะศิษย์พี่ฉิน…”

 

 

“อา!” หลัวเฟิงเสวี่ยอุทานออกมา ทำให้โม่เทียนเกอตกใจจนเกือบทำแผ่นจารึกประจำตัวของโรงเรียนอันใหม่ตกพื้น

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยจับแขนโม่เทียนเกอในทันทีและตะโกนลั่น “ศิษย์พี่ฉิน”

 

 

เสียงตะโกนของนางดังมาก ทุกคนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นต่างหันมองมาทางพวกนาง แทนที่จะตอบหลัวเฟิงเสวี่ยดึงโม่เทียนเกอเข้าไปที่ลับตาคนและกระซิบถาม “นี่ท่านอาจารย์ลุงจากไปและไปเข้ากลุ่มผู้ฝึกตนอย่างนั้นหรือ”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า เมื่อเห็นท่าทางของหลัวเฟิงเสวี่ย นางคิดคำตอบอย่างระมัดระวัง “เดิมข้ามาจากทางฝั่งคุนอู๋ตะวันออก ข้าผ่านงานรวมพลเซียน ได้เข้าสำนัก และเจอกับศิษย์พี่ฉินที่นั่น”

 

 

“โอ้…” ในที่สุดหลัวเฟิงเสวี่ยก็ใจเย็นลง นางถามอีกครั้ง “อาจารย์ลุงเรียกเจ้าว่า ‘ศิษย์น้องชาย’ นี่เจ้าแสร้งทำเป็นผู้ชายหรอกหรือ”

 

 

“อือ” นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเก็บเป็นความลับ ในโรงเรียนเสวียนชิง อาจารย์เต๋าโส่วจิ้งรู้ความลับส่วนมากของนางอยู่แล้ว และฉินซีก็ฟังจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของนาง เรื่องแบบนี้จะถูกค้นพบจากคนอื่นไม่เร็วก็ช้า

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจว่าคำตอบของโม่เทียนเกอนับมีเหตุผลในตอนนี้ นางจึงถาม “ถ้าเป็นเช่นนั้น… ทำไมท่านอาจารย์ลุงถึงอยากพาเจ้ากลับมาด้วยล่ะ”

 

 

“เพราะ… ศิษย์พี่หลัว มันอธิบายยาก พวกเราพูดเรื่องนี้กันทีหลังได้หรือไม่”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยตกใจ แต่เมื่อเห็นท่าทางของโม่เทียนเกอนางจึงยิ้มและพูดว่า “ข้าลืมไปว่าเจ้าผ่านการเดินทางที่แสนไกล พวกเราควรจะจัดการสิ่งที่ควรทำให้เสร็จก่อนเพื่อที่เจ้าจะได้ไปพักผ่อน ในเมื่อพวกเราได้ลงทะเบียนชื่อของเจ้าไปแล้ว เราจะต้องไปรับชุดเครื่องแบบ หลังจากนั้นพวกเราค่อยไปสอบถามเกี่ยวกับการจัดที่อยู่ของเจ้า มาเถอะ!”

 

 

โม่เทียนเกอแอบถอนใจอย่างโล่งอก นางไม่สามารถใช้เวลาร่วมกับคนที่กระตือรือร้นแบบนี้ได้ อีกอย่าง… นางรู้สึกว่ามันมีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้

 

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าศิษย์พี่หลัวจะพูดมากเกินไปหน่อย แต่นางก็สามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเข้าโรงเรียนของโม่เทียนเกอจัดการได้อย่างเรียบร้อยเพราะนาง มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่นางเป็นศิษย์ผู้ควบคุม

 

 

“นี่เป็นชุดเครื่องแบบของเจ้า พวกเราศิษย์ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณจะต้องใส่มัน อย่างไรก็ตาม เจ้ากำลังจะสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าแล้วใช่ไหม หลังจากที่เจ้าสร้างฐานแห่งพลังของเจ้าได้ เจ้าจะได้เครื่องแบบที่แตกต่างไป หรือเจ้าจะทำขึ้นมาเองก็ได้เช่นกันตราบใดที่มีสัญลักษณ์ของโรงเรียนปักอยู่ และแน่นอนถ้าเจ้าเข้าสู่ระดับดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เจ้าจะแต่งตัวอย่างไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ”

 

 

โม่เทียนเกอรับเครื่องแบบในขณะที่ฟังคำอธิบายที่แสนยาวของหลัวเฟิงเสวี่ยไปด้วย

 

 

โรงเรียนเสวียนชิงเป็นโรงเรียนลัทธิเต๋าแบบดั้งเดิม ดังนั้นเครื่องแบบจึงเป็นรูปแบบชุดคลุมของลัทธิเต๋า การจับคู่ชุดคลุมสีขาวและสีน้ำเงินทำให้ดูเรียบง่ายและเรียบร้อย ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร แต่มันก็ดูแข็งแรงทนทานในขณะที่นุ่มและลื่นเมื่อสัมผัส ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีพลังวิญญาณอ่อนๆ คลุมอยู่ เทียบกับเครื่องแบบของสำนักอวิ๋นอู้ พวกมันเหมือนกับเครื่องมือวิญญาณมากกว่าที่จะเป็นเครื่องแบบ

 

 

“ชุดนักพรตเต๋าขอโรงเรียนเสวียนชิงทำจากผ้าทอใยเมฆของภูเขาไท่คังที่ไม่เหมือนใครและได้ผ่านการทำให้บริสุทธิ์ด้วยไฟแห่งธรรมชาติ การสวมใส่มันในขณะที่ต่อสู้ด้วยพลังเวทจะช่วยเจ้าได้มากทีเดียว ดังนั้นพวกมันก็สามารถจัดได้ว่าเป็นเครื่องมือวิญญาณเช่นกัน”

 

 

ใช่จริงๆ สินะ

 

 

ในขณะที่ลูบชุดคลุมอย่างเบามือนางก็ถอนใจและพูดว่า “ยอดเยี่ยมจริงๆ”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยหัวเราะและพูดว่า “นี่ไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะโรงเรียนเสวียนชิงนะ สำนักเทียนเต๋า สำนักกู่เจี้ยน และสำนักปี่ยุนก็มีสิ่งที่คล้ายเคียงกัน”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยอาจจะไม่ได้คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ แต่โม่เทียนเกอในทางกลับกันแล้วนั้นเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งของเหล่านี้หายากเพียงใด ตามที่คาดไว้จากกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่… ไม่เพียงแค่เส้นเลือดวิญญาณที่ดีอย่างเหลือเชื่อ แต่ความน่าเกรงขามของโรงเรียนก็สามารถพบเห็นได้ในทุกรายละเอียดเช่นกัน ตัวอย่างเช่น โรงเรียนมีศิษย์มากกว่าหนึ่งพันคนเป็นอย่างน้อย ศิษย์ทุกคนได้รับเครื่องแบบหลายชุดซึ่งจะต้องเปลี่ยนบ่อยๆ และเครื่องมือวิญญาณที่ได้ชำระล้างให้กับศิษย์แต่ละคน กลุ่มผู้ฝึกตนทั่วๆ ไปจะสามารถจัดหาความหรูหราแบบนี้ได้อย่างไร

 

 

หลังจากที่พวกเขาหยิบของที่จำเป็นต่างๆ เสร็จเรียบร้อย และหลัวเฟิงเสวี่ยก็กำลังจะสอบถามเกี่ยวกับที่พักของโม่เทียนเกอ ใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาเรียกพวกเขา

 

 

“เฟิงเสวี่ย อาจารย์ลุงเสวียนอินกำลังตามหาเจ้าอยู่… เขาบอกให้เจ้าพาศิษย์น้องคนใหม่ไปด้วย” คนที่ส่งข้อความเป็นชายหนุ่มอายุดูราวๆ สิบเจ็ดหรือสิบแปดปีและแน่นอนเขาเรียกเฟิงเสวี่ยด้วยชื่อของนาง

 

 

“เข้าใจแล้ว!” หลัวเฟิงเสวี่ยหันมาทางโม่เทียนเกอและพูด “ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์ลุงจะได้คุยกับท่านปรมาจารย์และตัดสินใจแล้วว่าจะให้เจ้าไปอยู่ที่ไหน ไปกันเถอะ”

 

 

“อื้อ” โม่เทียนเกอตอบ รู้สึกกังวลใจอยู่ภายใน

 

 

เมื่อเห็นท่าทางของโม่เทียนเกอ หลัวเฟิงเสวี่ยพูดปลอบใจ “อย่าได้กังวลไป ตอนนี้อาจารย์ของข้าเป็นลูกศิษย์ที่อาวุโสสุดของท่านปรมาจารย์ ในเมื่อท่านต้องการพบเจ้า พวกท่านจะต้องให้ความใส่ใจกับเจ้ามากแน่ๆ ข้าคิดว่าอย่างน้อยพวกเขาจะรับเจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัว”

 

 

สิ่งที่นางพูดก็สมเหตุสมผล โม่เทียนเกอครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะถาม “ศิษย์พี่หลัว ท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งอาศัยอยู่ที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างนี้ด้วยไหม”

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอถามคำถามนี้ออกไป ท่าทางของหลัวเฟิงเสวี่ยก็ดูแปลกๆ แต่ไม่นานนางก็ยิ้มเล็กๆ และพูด “แน่นอน! ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นญาติทางสายเลือดกับท่านปรมาจารย์และเป็นศิษย์ภายใต้ท่านอีก ปกติแล้วท่านก็พักอยู่ที่ยอดเขาวสันต์กระจ่างนี่แหละ เจ้าอยากรู้ไปทำไมหรือ”

 

 

โม่เทียนเกอตอบ “ศิษย์พี่ฉินพาข้ามาที่โรงเรียนเสวียนชิงได้เพราะท่านพ่อของข้าเป็นเพื่อนกับท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง…”

 

 

“อย่างนั้นเองหรอกหรือ…” สายตาหลัวเฟิงเสวี่ยมองไปรอบๆ ขณะที่พูด “แต่เจ้าอาจจะไม่ได้พบกับท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง จากอาจารย์ลุงทั้งหมดในยอดเขาวสันต์กระจ่างนี้ อาจารย์ลุงโส่วจิ้งเป็นผู้ที่ขยันฝึกตนมากที่สุด เขาไม่ค่อยออกมาข้างนอก แม้กระทั่งการเทศน์ ถ้าเขาไม่ได้ปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ เขาก็จะออกไปทำเรื่องไร้สาระข้างนอก เออ… คือข้าหมายถึงท่องเที่ยวไปทั่ว มันค่อนข้างยากมากที่จะได้เจอเขาแม้กระทั่งกับพวกข้าเองที่เป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง”

 

 

ไม่ได้ผิดหวังกับข้อมูลนี้เลย โม่เทียนเกอพูด “มันดีมากพอแล้วที่ท่านรับข้าเข้ามาที่โรงเรียนเสวียนชิง ไม่สำคัญว่าข้าจะได้พบท่านหรือไม่ก็ตาม ขอบคุณมากสำหรับข้อมูลนะศิษย์พี่หลัว”

 

 

“เจ้าสุภาพเกินไปแล้ว! ข้าบอกให้เรียกข้าว่าเฟิงเสวี่ยอย่างไร…”

 

 

เมื่อเห็นว่าหลัวเฟิงเสวี่ยพยายามที่จะทำให้พวกนางสนิทกันอีกครั้ง โม่เทียนเกอจึงรีบพูด “ศิษย์พี่หลัว ทำไมปรมาจารย์ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่โรงเรียนถึงเรียกด้วยชื่อตัวแต่ไม่ใช่แซ่ของท่านกันล่ะ”

 

 

“อืม” หลังจากสับสนอยู่ครู่หนึ่ง หลัวเฟิงเสวี่ยก็เข้าใจคำถามของโม่เทียนเกอในที่สุด นางยิ้มและเริ่มอธิบาย “ไม่ใช่อย่างนั้น… โรงเรียนเสวียนชิงของพวกเราเป็นโรงเรียนลัทธิเต๋าแบบดั้งเดิม พวกเรามักจะปฏิบัติตามกฎแห่งโรงเรียนเต๋า สำหรับศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณและการสร้างฐานแห่งพลัง การฝึกตนของพวกเขาถือว่ายังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ฉายาอะไร อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาก่อขุมพลังและก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เหล่าท่านอาจารย์ของพวกเขาจะตบรางวัลด้วยชื่อแห่งชาวลัทธิเต๋าซึ่งพวกเขาจะถูกเรียกเช่นนั้นต่อไป สำหรับชื่อจริงของพวกเขา คนที่สนิทเท่านั้นถึงจะเรียก อย่างเช่นท่านอาจารย์ของข้ามีชื่อแห่งเต๋าคือ เสวียนอิน ในขณะที่แซ่ดั้งเดิมของท่านคือ หม่า ดังนั้นเขาเป็นที่รู้จักว่า หม่าเสวียนอิน ชื่อจริงๆ ของท่าน คนอื่นๆ ต่างลืมกันไปหมดแล้ว”

 

 

“อย่างนั้นหรอกหรือ…”

 

 

“อีกอย่าง ตำแหน่งของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังคือ ‘อาจารย์แห่งเต๋า’ แต่เมื่อเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่พวกเขาจะเป็นที่รู้จักในนาม ‘ประมุขแห่งเต๋า’ อาจารย์ของข้าเป็นที่รู้จักภายนอกในนามท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน ในขณะที่ท่านปรมาจารย์เป็นที่รู้จักในนาม ประมุขเต๋าจิ้งเหอ”

 

 

โม่เทียนเกอไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับตำแหน่งเหล่านี้มาก่อนนางจึงถาม “นั่นหมายความว่าถ้าข้าก่อขุมพลังได้ในวันหนึ่ง ข้าก็จะไม่ถูกเรียกว่าเทียนเกออีกต่อไป?”

 

 

ความประหลาดใจปรากฏออกมาชั่วพริบตาในสายตาของหลัวเฟิงเสวี่ย นางหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “ถ้าเจ้าก่อขุมพลังของเจ้า ผู้อาวุโสในฝ่ายของเราจะเป็นคนหารือชื่อแห่งเต๋ากับเจ้า หลังจากตอนนั้นเป็นต้นไป ศิษย์ทุกคนในโรงเรียนก็จะเรียกเจ้าด้วยชื่อแห่งเต๋า อย่างไรก็ตาม เทียนเกอในเมื่อเจ้ามั่นใจในตัวเอง ความสามารถของเจ้าจะต้องเยี่ยมยอดมากเป็นแน่ ใช่ไหม”

 

 

โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ข้าแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น ข้ายังไม่ได้สร้างฐานแห่งพลังเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นการก่อขุมพลังอะไรกันแน่ที่พวกเราจะพูดถึงได้ล่ะ ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังนั้นยังห่างไกลยิ่งนัก”