พื้นที่นี้มีทิวทัศน์ที่สวยงามและแผ่ซ่านปกคลุมไปด้วยพลังวิญญาณ มันเป็นที่ที่ดีสำหรับถ้ำเซียนจริงๆ

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยใช้แผ่นจารึกประจำตัวของนางในการเปิดกำแพงอาคมที่วางไว้และนำทางโม่เทียนเกอเข้าไปในถ้ำ

 

 

พวกเขาเดินผ่านม่านพลังป้องกันและเปิดประตูหินก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องโถง หลัวเฟิงเสวี่ยตะโกนเรียกออกไป “ท่านอาจารย์!”

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอเดินตามหลัวเฟิงเสวี่ยเข้าไปในห้องโถง นางเห็นชาวลัทธิเต๋าที่สง่างาม ผู้ซึ่งภายนอกดูเหมือนคนอายุราวๆ สี่สิบปีกำลังนั่งอยู่ด้านในทันที

 

 

เมื่อเห็นหลัวเฟิงเสวี่ย ชาวลัทธิเต๋าจ้องนาง “เจ้าส่งเสียงดังเพื่ออะไร!”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยไม่ได้เกรงกลัว นางหัวเราะคิกคักและพูด “ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่าท่านให้ศิษย์มาหาหรอกหรือ ท่านจะโทษข้าได้อย่างไร”

 

 

ท่าทางที่ซุกซนของนางทำให้ชายนักพรตเต๋าทั้งรู้สึกโมโหและอยากจะหัวเราะ เขาพูด “ปากหวานนัก! อย่างนั้นก็ได้ หลบไปด้านข้าง”

 

 

ตอนนี้เมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับความตึงเครียด หลัวเฟิงเสวี่ยไม่กล้าที่จะทำตัวซุกซนอีกต่อไป นางหลบไปยืนด้านข้างอย่างเชื่อฟังและพูด “ท่านอาจารย์ นี่เป็นศิษย์ใหม่เพิ่งเข้ามาศิษย์น้องโม่ โม่เทียนเกอ ท่านบอกให้ข้าพานางมาที่นี่ เป็นเพราะท่านต้องการจะรับนางเข้าเป็นศิษย์ด้วยใช่ไหม”

 

 

แทนที่จะตอบ ชายนักพรตเต๋าหันไปมองทางโม่เทียนเกอ

 

 

โม่เทียนเกอรู้ว่าชายที่อยู่ด้านหน้าของนางคือท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน ดังนั้นนางจึงคำนับและแสดงความเคารพต่อเขา “ข้าน้อยโม่เทียนเกอ คารวะท่านผู้อาวุโสเสวียนอิน”

 

 

“ไม่ต้องเป็นทางการนัก” ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินเป็นคนที่เป็นกันเอง เขาพูดอย่างเป็นมิตร “มานี่สิ”

 

 

ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเห็นผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางต้องเผชิญหน้าโดยตรง โม่เทียนเกอประหม่าเล็กน้อยแต่นางก็เดินไปทางด้านหน้าอย่างสงบ

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินยื่นมือมาจับข้อมือนาง กระแสพลังวิญญาณเข้มข้นแต่อบอุ่นไหลเข้าสู่เส้นลมปราณของนาง

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยปรากฏในท่าทางของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน “รากวิญญาณของเจ้า…”

 

 

โม่เทียนเกอใจเต้นระส่ำ สงสัยว่าหรือเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจรับนางเข้าที่โรงเรียนเพราะรากวิญญาณของนางไม่ดี

 

 

“ห้ารากวิญญาณที่สมบูรณ์ และทั้งหมดนั้นต่างมีพลังที่เท่าเทียม…หรือนี่คือรากวิญญาณต้นกำเนิดที่เขาลือกัน”

 

 

โม่เทียนเกอหัวใจหยุดเต้นไปเสี้ยววินาทีและนางก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินผู้นี้รู้เกี่ยวกับรากวิญญาณต้นกำเนิดด้วยหรือ

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินยิ้มเล็กน้อยออกมาให้เห็นเมื่อเขาเห็นท่าทางของนาง เขาปล่อยมือในขณะที่ถาม “เห็นได้อย่างชัดเจนทีเดียว เจ้ารู้ว่ารากวิญญาณของเจ้านั้นมีลักษณะเฉพาะ บางทีเจ้าอาจจะสามารถบอกข้าได้ว่าเจ้าไปเรียนรู้มาจากไหน”

 

 

ถึงแม้ว่าทัศนคติของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินจะดูเป็นมิตร สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นถึงผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่กล้าที่จะหลอกเขา นางกล่าวว่า “หลายพันปีมาแล้ว ตระกูลของข้าน้อยให้กำเนิดผู้ฝึกตน บรรพบุรุษผู้นั้นฝึกตนจนเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ แต่เพราะอายุขัยของนางใกล้หมดลง นางยังคงไม่สามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนขั้นต่อไปได้ ดังนั้นนางจึงส่งต่อพลังวิญญาณแรกเริ่มไว้ในตระกูลก่อนที่นางจะจากไป”

 

 

“เพราะร่างกายของข้าครอบครองรากวิญญาณ กำแพงอาคมที่นางทิ้งไว้เบื้องหลังจึงได้ถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้น บรรพบุรุษผู้นี้จึงส่งต่อวิชาการฝึกตนของนางและสอนข้าว่ารากวิญญาณของข้าเป็นที่รู้จักว่ารากวิญญาณต้นกำเนิด”

 

 

“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นสินะ…” ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินพูดขณะที่ลูบเคราตัวเองและพยักหน้า หลังจากนั้นเขาจึงพูดว่า “ในเมื่อบรรพบุรุษของเจ้าอยู่มาเมื่อหลายพันปีมาแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นางจะรู้เกี่ยวกับรากวิญญาณต้นกำเนิด”

 

 

หลังจากพิจารณาท่าทางของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน โม่เทียนเกอไม่ได้คิดอะไรเพิ่มเติมและถามตรงๆ “ตั้งแต่ที่ข้าน้อยก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียน ข้าน้อยใคร่อยากรู้มาโดยตลอดเกี่ยวกับรากวิญญาณต้นกำเนิด หากท่านผู้อาวุโสรู้เกี่ยวกับรากวิญญาณต้นกำเนิดแล้วนั้น ท่านผู้อาวุโสต้องทราบเป็นแน่ว่าแท้จริงแล้วพวกมันคืออะไร”

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินจ้องนางครู่หนึ่งก่อนที่จะส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “เกี่ยวกับรากวิญญาณต้นกำเนิดนั้นเป็นสิ่งที่กล่าวขึ้นมาโดยบังเอิญจากอาจารย์ในตอนที่ข้ายังเล็กนัก ดูเหมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษเกี่ยวกับมัน แต่สุดท้ายแล้วอะไรคือสิ่งพิเศษนั้น ข้ามิเคยรู้ได้เลย” การที่ไม่สามารถหาคำตอบได้นั้นทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกผิดหวังอยู่ในที

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “อย่างเพิ่งคุยเรื่องนี้ตอนนี้จะดีกว่า โม่เทียนเกอ ข้าบอกเฟิงเสวี่ยให้พาเจ้ามาที่นี่เพราะข้าต้องการพูดกับเจ้าในบางเรื่องเกี่ยวกับที่เจ้าเข้ามาที่โรงเรียนแห่งนี้”

 

 

เมื่อได้ยินเขาพูดในสิ่งที่เขาตั้งใจแต่แรก โม่เทียนเกอปรับอารมณ์ของนาง นางพูดด้วยความเคารพ “รบกวนท่านผู้อาวุโสชี้แนะด้วย”

 

 

ท่าทางของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินดูเป็นทางการขึ้น เขามองมาทางนางและถามอย่างเอาจริงเอาจัง “โม่เทียนเกอ ในเมื่อเจ้าเข้าร่วมอยู่ในโรงเรียนเสวียนชิงของข้าแล้ว ท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอแห่งยอดเขาวสันต์กระจ่างหวังที่จะรับเจ้าเข้าเป็นศิษย์ของท่าน เจ้าเห็นด้วยไหม”

 

 

“หา” หลัวเฟิงเสวี่ยผู้ที่ยืนดูอยู่ทางด้านข้างอุทานออกมา นางมองที่โมเทียนเกออย่างประหลาดใจ นางคาดคิดมาตลอดในเมื่อโม่เทียนเกอถูกท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งพามา โม่เทียนเกอน่าจะได้ยอมรับเข้าเป็นศิษย์จากท่านอาจารย์ลุงสักคนเป็นอย่างมาก นางไม่เคยคาดคิดว่าคนที่จะมาเป็นอาจารย์ของโม่เทียนเกอจะเป็นท่านปรมาจารย์เอง!

 

 

โม่เทียนเกอยิ่งตะลึงงันมากกว่านาง นางไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากแค่ผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้สำคัญอะไร ไม่ต้องพูดถึงการที่จะได้เป็นศิษย์โดยตรงต่อผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ แค่จะเป็นศิษย์เอกยังไม่เคยเข้ามาอยู่ในหัวของนางเลย มันดีมากพอแล้วที่โรงเรียนเสวียนชิงยอมพิจารณาท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งและยอมรับนางเข้ามา นางไม่เคยคาดคิดถึงสิ่งนี้มาก่อน… จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าโรงเรียนเสวียนชิงจะมีเจตนาที่ซ่อนเอาไว้ต่อนางอยู่!

 

 

“โม่เทียนเกอ!”

 

 

“ข้าน้อยอยู่นี่” โม่เทียนเกอพยายามที่จะสงบจิตสงบใจแต่นางยังไม่สามารถซ่อนความประหม่าเอาไว้ได้

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของนาง เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นขึ้น “เจ้าอย่าได้คิดมากไป ท่านอาจารย์ยอมรับเจ้าเข้าเป็นศิษย์เพราะเห็นแก่ศิษย์น้องโส่วจิ้ง ก่อนที่เจ้าจะก่อขุมพลัง เจ้าจะได้รับการสอนจากข้า และตำแหน่งของเจ้าก็จะเป็นเช่นเดียวกับศิษย์ข้า ถ้าวันหนึ่งเจ้าสามารถก่อขุมพลังของเจ้าได้แล้ว ท่านอาจารย์ก็จะรับเจ้าเข้าเป็นศิษย์ภายในของท่าน”

 

 

คำอธิบายนี้ทำให้นางสบายใจขึ้น นี่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ตัวตนของนางจะเป็นเหมือนกันกับหลัวเฟิงเสวี่ย เพียงแต่ว่านางได้รับโอกาสในอนาคตที่สดใสกว่า ถ้าวันหนึ่งนางสามารถก่อขุมพลังของนางได้จริง การได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ปกติ

 

 

อย่างไรก็ตาม นางก็รู้อีกเช่นกันว่าตอนนี้การที่ได้เป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่ในขณะที่เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณตัวเล็กๆ ไม่ได้สำคัญอย่างนางนั้นนับเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นนางจึงรีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย คุกเข่า และพูดอย่างเอาจริงเอาจัง “ท่านผู้อาวุโสรับข้าเป็นศิษย์ในฐานะของท่านอาจารย์ ข้าน้อยขอคารวะ”

 

 

ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินมองนางด้วยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า หลังจากที่นางแสดงความเคารพด้วยการคาราวะสามครั้ง เขาช่วยนางลุกขึ้นพร้อมพูด “ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจะเป็นส่วนหนึ่งของยอดเขาวสันต์กระจ่างของข้า เจ้าเรียกข้าว่าท่านอาจารย์ลุงก็พอ… ข้าหวังว่าวันหนึ่งเจ้าจะสามารถเรียกข้าได้ว่าศิษย์พี่” ​​​​​​​