บทที่ 570 ใจเดียว

บัลลังก์พญาหงส์

ในเมื่อไทเฮาเอ่ยถาม ถาวจวินหลันก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ตอบ จึงส่ายหน้า พูดว่า “คิดดูแล้วถ้าไม่หาอะไรให้ชายารองเจียงทำ ก็ควรส่งไปที่เรือนอื่นเพื่อรักษาตัวเท่านั้นเพคะ” 

 

 

ปกติแล้วเรื่องนี้มักจัดการกันเช่นนี้ ไม่ก็ส่งไปอยู่ที่วัดเพื่อชำระจิตใจ ขอพรพระ หรือส่งไปที่เรือนอื่นให้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ทำเช่นนี้ชื่อเสียงทั้งน่าฟังและไม่ถึงขั้นดูไร้เยื่อใยจนเกินไป อีกทั้งไม่ทำให้คนอื่นมาคาดเดาเรื่องภายในครอบครัวอีกด้วย 

 

 

ถาวจวินหลันรู้ว่าจุดจบของเจียงอวี้เหลียนไม่ผิดแผกไปจากสองอย่างนี้ 

 

 

แต่ไทเฮากลับขมวดคิ้ว จากนั้นน้ำเสียงก็เคร่งขึ้นอีกหลายส่วน “อย่างไรนางก็เป็นแม่แท้ๆ ของเซิ่นเอ๋อร์” 

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของไทเฮาทันที ไทเฮาไม่ยินยอมให้จัดการกับเจียงอวี้เหลียนเช่นนี้ อยากให้เจียงอวี้เหลียนเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์เหมือนเดิม หากแค่เปลี่ยนคนก็แล้วไป จะไว้หน้าไทเฮาบ้างก็ยังได้ เพียงแต่… 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจพลางเอ่ยเตือนไทเฮา “นี่เป็นความคิดของท่านอ๋องเพคะ” นางคิดว่าไทเฮากำลังเข้าใจผิด จะต้องรู้ว่านี่ไม่ใช่ความคิดของนางเองเท่านั้น ต่อให้หลี่เย่รับปากเรื่องนี้เพราะนางรู้สึกไม่เหมาะ แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หลี่เย่ก็เห็นด้วยแล้ว 

 

 

ในเมื่อหลี่เย่เห็นด้วยแล้ว นางก็ไม่ต้องแบกความรับผิดชอบคนเดียว และทำให้ไทเฮาเข้าใจผิด 

 

 

ถาวจวินหลันเตรียมใจไว้นานแล้ว ถึงได้ไม่คิดว่าความคิดและการกระทำของไทเฮาแปลกประหลาด นางอดลอบถอนหายใจไม่ได้ พูดตามจริงแล้ว ความคิดและการกระทำของไทเฮาก็น่าปวดหัว 

 

 

อาจด้วยเพราะนางจะทำเรื่องอะไรไปทั้งชาตินี้ ก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดที่ไทเฮามีต่อนางได้กระมัง? 

 

 

ยังดีที่นางไม่ค่อยสนเรื่องนี้ มิเช่นนั้นนางคงไม่อาจก้าวข้ามขวากหนามนี้ได้เป็นแน่? จากนั้นก็จะหวาดระแวงทุกเรื่อง ว่าจะทำให้ไทเฮาพอใจได้อย่างไร ถ้าเช่นนั้นชีวิตก็ไม่มีความสุขแล้ว 

 

 

แต่ถ้าจะบอกว่าไม่สนเลย ก็เห็นได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นตอนนี้สิ่งเดียวที่ถาวจวินหลันทำได้ก็คือไม่ใส่ใจปฏิกิริยาและท่าทางของไทเฮา 

 

 

ไทเฮาไม่เชื่อว่านี่เป็นความคิดของหลี่เย่ จึงพูดแค่ว่า “อย่างไรนางก็เป็นแม่แท้ๆ ของเซิ่นเอ๋อร์ ต่อจากนี้พอเซิ่นเอ๋อร์โตขึ้น พวกเราจะบอกเขาอย่างไร? แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะคิดว่าทำเพื่อเซิ่นเอ๋อร์ แต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเซิ่นเอ๋อร์จะกล่าวโทษเจ้าหรือไม่?” 

 

 

ถาวจวินหลันก้มหน้าลง ไทเฮาพูดมีเหตุผลอย่างมาก อย่างน้อยก็โน้มน้าวใจได้ หากนางเป็นเซิ่นเอ๋อร์ เกรงว่าคงต้องโกรธแค้นคนที่แยกตนเองกับแม่เป็นแน่กระมัง? 

 

 

แต่… “ไทเฮาเพคะ หากใจอ่อนตั้งแต่ตอนนี้ ก็จะยิ่งแย่ลงไปอีกนะเพคะ ในอนาคตเซิ่นเอ๋อร์จะผูกใจเจ็บหรือไม่ หม่อมฉันไม่อาจทราบได้ แต่หม่อมฉันรู้ว่าเจียงอวี้เหลียนไม่มีคุณสมบัติจะเลี้ยงเด็กเพคะ” สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็เลือกพูดความจริง “พูดจริงๆ แล้ว หากเซิ่นเอ๋อร์ได้ความเย็นชา เห็นแก่ตัว และใช้วิธีไม่เลือกหน้าเหมือนเจียงอวี้เหลียน ไม่รู้จักมองหน้ามองหลังให้ดี แล้วจะทำอย่างไรเล่าเพคะ?  

 

 

ไทเฮาอ้าปากน้อยๆ แล้วหุบลงอีกครั้ง เหมือนไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เป็นอย่างนี้หลายครั้ง สุดท้ายก็ขมวดคิ้วพูดว่า “เซิ่นเอ๋อร์โตขึ้นไปอาจไม่เป็นอย่างนั้น” 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ “มีคำพูดว่าคบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผลเพคะ แล้วยังมีแม่ย้ายบ้านเพื่อทำให้ลูกได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีอีก จุดประสงค์เพื่ออะไรเล่าเพคะ?” 

 

 

ไทเฮาไม่พูดต่อต้านอีก เป็นเช่นนั้นจริง นางโต้แย้งไม่ได้ 

 

 

“แต่ก็ไม่จำเป็นต้องส่งเจียงอวี้เหลียนออกไป” ไทเฮาถอนหายใจ ปวดหัวเล็กน้อย “เดิมตวนชินอ๋องก็มีภรรยาน้อยอยู่แล้ว ในตอนนี้ส่งไปคนหนึ่ง ก็ลดลงคนหนึ่ง คนอื่นคงได้พากันคิดว่าไม่ได้ความ” 

 

 

ฉับพลันนั้น ถาวจวินหลันก็ฉุกคิดบางอย่างได้ อาจด้วยก่อนหน้านี้ไทเฮาปูทางมาเยอะ ก็เพื่อพูดเรื่องนี้กระมัง? พูดขอความเห็นใจให้เจียงอวี้เหลียนเป็นเรื่องโกหก ให้หลี่เย่รับอนุภรรยาถึงจะเป็นเรื่องจริง  

 

 

ถาวจวินหลันมองไทเฮา รู้สึกว่าไทเฮาช่างไว้หน้าตนเองอย่างเต็มที่ หากเป็นแต่ก่อนไทเฮายัดเยียดผู้หญิงเข้าจวนไปเลยก็ย่อมได้ ไฉนเลยจะต้องมาอ้อมค้อมเช่นนี้ด้วย? 

 

 

หรือจะบอกว่าการต่อต้านของหลี่เย่เกิดผล อย่างน้อยสุดท้ายแล้วก็ทำให้ไทเฮารู้ว่าการยัดเยียดคนเข้ามาตามใจชอบนั้นไม่ได้ผล เป็นแค่เพียงการเพิ่มคนเข้ามากินข้าวในจวนตวนชินอ๋องอีกคนสองคนเท่านั้น  

 

 

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนกัน 

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกรำพึงรำพันเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มและเอ่ยปฏิเสธข้อเสนอของไทเฮาอย่างรวดเร็ว “ท่านอ๋องสุขภาพไม่ดีอยู่แล้วเพคะ หมอหลวงบอกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสตรีนั้นทางที่ดีให้ควบคุมเสียหน่อย อีกอย่างในตอนนี้องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อเพิ่งสวรรคตไป ด้วยท่านอ๋องเป็นถึงน้องชายและขุนนาง เขาย่อมต้องไว้ทุกข์ด้วย ตอนนี้ย่อมไม่อาจเข้าใกล้สตรีได้เพคะ อย่างไรเวลานี้ก็ยังไม่เหมาะสม ในจวนก็มีสตรีทั่วไปอยู่แล้ว ถ้าจะเอาคนที่มีฐานะตำแหน่งเข้าจวนมาตอนนี้ เกรงว่าจะทำให้บรรดาขุนนางเหล่านั้นคาดเดากันมั่วนะเพคะ” 

 

 

ตอนนี้ไม่ว่าหลี่เย่จะแต่งงานกับตระกูลใหญ่ใดก็ตาม ล้วนต้องถูกคนพูดว่าซื้อใจคน ลากเข้ามาเป็นพรรคพวก เรื่องนี้ถาวจวินหลันไม่ได้มีเจตนาพูดเพื่อข่มขู่หรือตกใจตื่นเป็นแน่ ข้อแรกเป็นสิ่งที่นางปั้นขึ้นมาเอง หลี่เย่อ่อนแอกว่าคนทั่วไปเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องควบคุมเรื่องผู้หญิง แต่หมอหลวงเคยกำชับเอาไว้ว่าต้องควบคุมปริมาณสุรา 

 

 

ดังนั้นที่จริงแล้วหลี่เย่จะมีชายารองหรืออนุภรรยาอีกกี่คนก็ไม่ใช่ปัญหา ปัญหามีเพียงเรื่องเดียว นางไม่ยินยอม 

 

 

ใช่แล้ว นางไม่ยินยอมให้ใครมาใช้หลี่เย่ร่วมกันอีกแล้ว นางย่อมรู้ว่านี่ผิดกฎเกณฑ์ อีกทั้งดูจากอดีตจนถึงปัจจุบันคนที่เหมือนนางก็แทบไม่มี แต่นางก็ยังยึดมั่นกับความคิดของตนเอง 

 

 

ไม่ยินยอมก็คือไม่ยินยอม ก่อนหน้านี้นางฝืนตนเอง แต่ผลลัพธ์ของการฝืนนั้นนางไม่อยากจะลิ้มรสอีก คนเราชีวิตสั้นนัก ทำไมจะต้องทำให้ตนเองไม่สบายใจไปทุกเรื่องเล่า? 

 

 

เหมือนอย่างที่หลี่เย่บอกไว้ ‘เหตุใดต้องทำตามความคิดของผู้อื่น หากไม่ทำตามแล้วจะอย่างไร? เราเป็นเจ้าของชีวิตตนเองมิใช่หรือ’ มีเพียงคิดแบบนี้ถึงจะมช้ชีวิตอย่างเป็นสุขได้ 

 

 

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าควรไปทำร้ายคนอื่นเพื่อความสุขของตนเอง แต่นางไม่อยากให้หลี่เย่รับอนุภรรยาอีก ไม่ยัดเยียดสตรีอื่นให้หลี่เย่ แล้วจะทำร้ายคนอื่นอย่างไร? ในทางตรงกันข้ามที่นางทำเช่นนี้ถือเป็นการช่วยคนด้วยกระมัง? อย่างไรเข้ามาในจวนตวนชินอ๋องก็ไม่ได้รับความโปรดปราน ทั้งยังต้องใช้ชีวิตอย่างเบื่อหน่าย สู้ให้ผู้หญิงเหล่านั้นหาสามีดีๆ เป็นภรรยาเอกที่ถูกต้องไม่ดีกว่าหรือ? 

 

 

ไทเฮาไม่อาจละเลยเหตุผลนี้ได้ สุดท้ายแล้วก็ถอนหายใจยาว “ช่างเถิด เจ้าคิดว่าไม่เหมาะสมก็แล้วไป ข้าแก่แล้ว ทำไมจะต้องมายุ่งเรื่องเหล่านี้อีก?” 

 

 

ไทเฮาพูดแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าอันแรงกล้า มากไปกว่านั้นคือความอาลัยและเย้นหยันตนเอง 

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกไม่ดีนัก เห็นไทเฮาแก่ลงทุกวัน นางก็เริ่มใจอ่อนขึ้นเล็กน้อย คิดจะรับปากให้เรื่องจบไป อย่างไรไทเฮาก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน หากทำเช่นนี้สามารถทำให้ไทเฮาสบายใจบ้างเล็กน้อย ตนเองที่เป็นคนรุ่นหลังเสียสละเสียหน่อยจะเป็นอะไรไปเล่า? 

 

 

แต่ความคิดเช่นนี้ก็แวบมาเพียงชั่วครู่ สุดท้ายแล้วนางก็ทำใจแข็งไม่หันไปมองไทเฮา พูดเสียงเบาว่า “เอาเช่นนี้แล้วกันเพคะ หม่อมฉันจะรับเจียงอวี้เหลียนกลับจวน แล้วให้เซิ่นเอ๋อร์อยู่ข้างกายพระองค์ไปก่อน ส่วนกูกูที่จะมาเลี้ยงดู หม่อมฉันให้ไทเฮาเป็นคนจัดการ เหมาะสมที่สุดแล้วเพคะ” 

 

 

ไทเฮามองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง หัวเราะสบายใจ “ไม่จำเป็น เรื่องนี้เจ้าตัดสินใจเองเถิด ข้าแก่แล้ว ออกความเห็นดีๆ ให้เจ้าไม่ได้หรอก” 

 

 

ถาวจวินหลันฟังน้ำเสียงของไทเฮาก็รู้ว่าไทเฮาหงุดหงิดตนเองแล้ว และยังแฝงคำพูดประชดประชันไว้ด้วย แต่นอกจากหัวเราะขมขื่นแล้วนางยังทำอะไรได้อีก? ตอบรับไทเฮาให้ยัดเยียดผู้หญิงให้หลี่เย่นั้นไม่มีทางเป็นไปได้ ดังนั้นนางจึงทำได้แค่ปิดปากแน่นไม่พูดจา 

 

 

ไทเฮาย่อมไม่พอใจความนิ่งสงบของถาวจวินหลัน จึงหัวเราะพูดว่า “ข้าอยากจะดูนักตอนนี้ไม่เหมาะสม วันข้างหน้าก็จะไม่เหมาะสมเหมือนกันหรือไม่” 

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายอย่างดี ไทเฮากำลังเตือนนางว่านางไม่เห็นด้วยแล้วจะทำไม? วันข้างหน้าก็อาจต้องเห็นด้วย ถึงเวลานั้นสถานะของผู้หญิงเหล่านั้นจะต้องยิ่งสูงส่ง และยิ่งรับมือได้ยาก 

 

 

ถาวจวินหลันพูดเสียงเรียบ “ปัจจุบันก็คือปัจจุบัน อนาคตก็คืออนาคตเพคะ หากถึงตอนนั้น ก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสมอีกแล้วเพคะ” ขอเพียงแค่นางขัดขวางได้ นางก็จะต้องขัดขวาง และตอนที่นางไม่สามารถขัดขวางได้ นางก็จนปัญญาจริง แต่อย่างน้อยนางก็จะไม่รู้สึกหงุดหงิดหรือรู้สึกผิด 

 

 

อย่างไรนางก็ได้พยายามเต็มที่แล้ว แต่ชะตาสวรรค์ยากจะขัด ในชีวิตนี้สิ่งที่ทำได้ยากที่สุดคือไม่มีเรื่องละอายใจ แต่ก็มีเพียงไร้ความละอายใจเท่านั้นถึงทำให้คนสบายใจมากที่สุด 

 

 

ไทเฮากลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร นางรู้สึกว่าถาวจวินหลันเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง จะสาดอะไรเข้าไปก็ไม่รู้สึกรู้สา และไม่รู้ว่าจะลงมือจากตรงไหน 

 

 

สุดท้ายแล้วไทเฮาก็ปล่อยวางเรื่องนี้ เปลี่ยนเรื่องพูดว่า “ช่วงนี้ฮองเฮามีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง?” 

 

 

“ไม่มีอะไรเลยเพคะ ด้วยฮองเฮายังไม่อาจทำใจเรื่ององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อได้ แต่พระชายาจวงอ๋องกลับเข้าวังหลวงมาทำความเคารพฮองเฮาอยู่บ่อยครั้ง” ถาวจวินหลับพอใจกับการเปลี่ยนเรื่องพูด จึงตอบอย่างง่ายดาย 

 

 

ไทเฮาขมวดคิ้ว “พระชายาจวงอ๋องคงว่างมาก” พระชายาจวงอ๋องทำตัวโจ่งแจ้งเกินไป ไม่ว่าใครก็รู้จุดประสงค์ของนางทั้งนั้น 

 

 

“หลังจากนี้สามเดือน ให้ขุนนางร่วมมือกันยื่นฎีกา แต่งตั้งองค์ชายรัชทายาทคนใหม่” หลังจากครุ่นคิดอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง ไทเฮาก็พูดหนักแน่น “ไม่อาจยื้อต่อไปได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าคงมีคนฝันเฟื่องเยอะเป็นแน่” 

 

 

ถาวจวินหลันเองก็คิดเช่นนี้ และในตอนนี้ได้รับคำยืนยันจากไทเฮา ใจของนางก็ยิ่งผ่อนคลายขึ้น ในเวลาเดียวกันก็ยินดีเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าถึงตอนนั้นไทเฮาคิดจะกดดันฮ่องเต้แล้ว 

 

 

“อีกอย่าง รีบหาทางกำจัดนักพรตกู่นั่นเสีย หากจับอะไรมาคาดโทษไม่ได้ ก็ให้จัดการเงียบๆ ก็ได้” สุดท้ายแล้วไทเฮาก็ออกคำสั่งมา ตอนที่พูดถึงนักพรตกู่ น้ำเสียงนั้นก็แฝงไว้ด้วยความรังเกียจ เห็นได้ชัดว่าไทเฮสไม่ชอบนักพรตกู่คนนี้นัก