บทที่ 571 ใจเย็น

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของไทเฮาทันที ไทเฮาอยากหาทางฆ่านักพรตกู่ 

 

 

           แน่นอนว่านักพรตกู่นั้นก็สมควรตาย ล่อลวงฮ่องเต้ให้ลุ่มหลงโอสถ แสวงหาอายุยืน และทำให้ฮ่องเต้ละเลยการว่าราชการ ย่อมต้องมีโทษสมควรตาย 

 

 

           แต่ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าคนที่พูดขึ้นมาคนแรกจะเป็นไทเฮา แม้นางจะรู้ดีว่าไทเฮาอยู่ในวังหลวงมานานหลายปี ฝีมือต่างๆ ย่อมไม่น้อยแน่นอน ตั้งแต่ต้นจนจบภาพลักษณ์ของไทเฮาในใจนางก็คือหญิงชราที่มีน้ำใจและมีเมตตา เอ็นดูรักลูกหลาน อาจลำเอียงไม่เหมือนกับคนแก่ส่วนใหญ่อยู่บ้าง 

 

 

           นางยังไม่เคยเห็นว่าไทเฮามีความคิดจะฆ่าใคร อีกทั้งยังให้คนลงมืออย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ 

 

 

           หลังจากอึ้งตะลึงแล้ว นางก็รู้สึกยินดีเล็กน้อย ที่ไทเฮาไม่เคยรังเกียจคิดแค้นนางถึงขั้นนั้น มิเช่นนั้นแล้วนางคงตายไปตั้งแต่แรกแล้วกระมัง? 

 

 

           หากตอนนี้ไทเฮาคิดจะกำจัดนาง ก็ทำไม่ได้แล้ว อย่างไรจวนตวนชินอ๋องก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไทเฮาไม่อาจสอดมือเข้ามายุ่งได้อีก อีกทั้งหลี่เย่ก็ไม่ใช่องค์ชายที่ยอมคนอื่นอีกแล้ว 

 

 

           อีกทั้งถาวจวินหลันคิดว่าตนเองยังไม่ถึงขั้นที่ทำให้ไทเฮาคิดอยากจะฆ่าได้ ต่อให้หลี่เย่โปรดปรานนางอยู่คนเดียว แต่นางก็ไม่ได้ใช้ความโปรดปรานนี้ก่อเรื่องไปทั่ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงส่งผลกระทบถึงภาพรวม 

 

 

           ในทางตรงกันข้าม ถาวจวินหลันคิดว่าตนเองควรทำประโยชน์ให้หลี่เย่ คำว่าหญิงงามนำมาซึ่งความหายนะ ไม่อาจเอามาใช้กับนางได้แน่นอน 

 

 

           “เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายนักเพคะ” ถาวจวินหลันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ส่ายหน้าพูดเสียงเบา “นักพรตกู่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ตลอดเวลา ยากที่จะหาโอกาสได้เพคะ” 

 

 

           ไทเฮายิ้ม “โอกาส? โอกาสจะรอได้อย่างไร? ในเมื่อต้องการโอกาส เช่นนั้นก็สร้างโอกาสขึ้นมาสิ นักพรตกู่ถนัดการผสมยามิใช่หรืออย่างไร? เช่นนั้นก็ให้ตายด้วยโอสถพิษ คิดว่าคงไม่มีใครสงสัย เจ้าให้ตวนชินอ๋องเตรียมยาเอาไว้ให้ดี ส่งมาให้ข้า ข้าจะลงมือเอง” 

 

 

           เมื่อพูดว่าจะลงมือเอง ไทเฮาก็สูดหายใจเข้าลึกทันที เห็นชัดว่าการตัดสินใจนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนาง 

 

 

           ถาวจวินหลันตะลึงไปเล็กน้อย รู้สึกว่าไทเฮานั้นจะต้องลงมือกระทำเรื่องนี้เป็นแน่แล้ว บางทีที่ทำเช่นนี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับประชาชน แต่เป็นแค่เพียงความคิดของแม่ที่อยากดึงลูกชายของตนเองที่ยืนอยู่ริมหน้าผากลับมาเท่านั้น 

 

 

           มีแม่คนไหนยอมให้ลูกของตนเดินเข้าบ่อโคลน จนไม่สามารถถอนตัวออกมาได้บ้าง? 

 

 

           หากมีสักวันที่ซวนเอ๋อร์เป็นเช่นนี้ นางก็คงทำเช่นเดียวกับไทเฮา นางจะลงมือกำจัดอุปสรรคนั้นด้วยตนเอง  

 

 

           ถาวจวินหลันรับปากเพราะความเลื่อมใส แต่กลับไม่ได้พูดยอมรับทันที “หม่อมฉันต้องนำเรื่องนี้ไปบอกท่านอ๋องก่อนเพคะ ส่วนจะทำอย่างไร คิดว่ายังต้องให้ท่านอ๋องมาปรึกษากับพระองค์ด้วยตนเองเพคะ” 

 

 

           ถาวจวินหลันคิดว่าหลี่เย่ไม่น่าจะยินยอมให้ไทเฮาลงมือเรื่องนี้ด้วยตนเอง 

 

 

           ไทเฮากำชับให้ดูแลหลี่เย่ให้ดี ให้ถาวจวินหลันจำและตกลงรับคำ นางถึงได้พูดว่า “เรื่องเซิ่นเอ๋อร์นั้นเจ้าคิดพิจารณาให้ดี คิดดีแล้วเจ้าก็จัดการเองเถิด ไม่จำเป็นต้องมาบอกข้า แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เจ้าก็ต้องจำเอาไว้ให้แม่นมั่น ว่าห้ามทอดทิ้งเด็กคนนั้น แม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเจ้า แต่อย่างไรเด็กก็ยังไม่รู้เรื่อง” 

 

 

           ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจละเลยเซิ่นเอ๋อร์ จึงตกปากรับคำทันที พูดอีกว่า “หากไทเฮาไม่วางใจ หม่อมฉันก็สาบานกับพระองค์ได้เพคะ” 

 

 

           ไทเฮาโบกมือ “ไม่จำเป็น หากเจ้ามีใจ ไม่ต้องสาบานก็ทำได้ดีเช่นกัน หากเจ้าไม่มีใจ สาบานไปก็ไร้ประโยชน์” 

 

 

           ถาวจวินหลันได้ยินก็พูดว่า “หม่อมฉันไม่พูดมากแล้วเพคะ ไทเฮารอดูเถิด ไม่ว่าหม่อมฉันจะจัดการเจียงอวี้เหลียนอย่างไร หม่อมฉันก็ไม่มีทางทอดทิ้งเซิ่นเอ๋อร์แน่นอนเพคะ” 

 

 

           นางยังไม่ถึงขั้นทำตัวน่ารังเกียจและโหดร้ายกบเด็กเช่นนี้ 

 

 

           ด้วยเพราะเห็นว่าไทเฮามีท่าทีเหน็ดเหนื่อย ถาวจวินหลันจึงขอตัวเตรียมกับจวน แต่คิดไม่ถึงว่าเจียงอวี้เหลียนกลับรอนางอยู่ข้างนอกนานแล้ว 

 

 

           หลังจากไม่ได้เห็นเจียงอวี้เหลียนมาช่วงหนึ่งแล้ว ท่าทีของเจียงอวี้เหลียนก็ดูดีขึ้นมาก ท่าทางอาหารการกินในวังหลวงคงรักษาคนได้  

 

 

           เจียงอวี้เหลียนยิ้มเอ่ยทักทายถาวจวินหลัน ท่าทางเหมือนว่าเรื่องไม่ดีเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

 

 

           ถาวจวินหลันตอบกลับเรียบๆ นางไม่ใช่นักบุญ ไม่ได้ใจกว้างอะไร และไม่ใช่คนแก่เลอะเลือน จนลืใเรื่องไม่น่าพอใจเหล่านั้นไปแล้ว 

 

 

           คิดไม่ถึงว่าเจียงอวี้เหลียนจะหัวเราะร่า “ชายารองถาวยังไม่พอใจข้าอยู่หรือ? เรื่องผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว อีกอย่างเด็กนั่นก็ไม่เป็นอะไรแล้วมิใช่หรือ? ตอนนั้นข้าร้อนใจไปหน่อยเท่านั้น ทำไมเจ้าต้องเก็บมาคิดเล็กคิดน้อยด้วยเล่า?” 

 

 

           เจียงหวี้เหลียนพูดเหมือนว่าหากถาวจวินหลันเอาความเรื่องนั้นต่อไป ก็แสดงว่านางใจแคบแล้งน้ำใจ 

 

 

           ถาวจวินหลันเห็นท่าทีของเจียงอวี้เหลียนก็แทบจะหลุดหัวเราะ แต่นางกลับหัวเราะไม่ออก นางไม่คิดจะสนใจเจียงอวี้เหลียน เพียงแค่พูดว่า “มีเรื่องอะไรเจ้าก็พูดออกมา ข้าต้องรีบออกจากวังหลวง” 

 

 

           รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนพลันหายไป พูดว่า “ข้าเพียงอยากถามว่าชายารองถาวคิดจะให้ข้าอยู่ในวังหลวงอีกนานเพียงใด? ตอนนี้ท่านอ๋องก็กลับมาแล้ว พวกที่คิดไม่ดีทั้งหลายภายในจวนย่อมไม่กล้าเสนอหน้าออกมาอีก คิดว่าคงจะปลอดภัยแล้วกระมัง?” 

 

 

           ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย ถามเจียงอวี้เหลียนกลับ “ทำไม ชายารองเจียงอยากกลับไปอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

           เจียงอวี้เหลียนยิ่งทำหน้าไม่น่ามองเข้าไปใหญ่ “ท่านอ๋องกลับมาแล้ว ข้าเป็นชายารองก็ควรอยู่ดูแลท่านอ๋องในจวน” เงียบไปครู่หนึ่ง นางก็เลิกคิ้วถามถาวจวินหลัน “ทำไม หรือจะบอกว่าชายารองถาวไม่อยากให้ข้ากลับจวนอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

           ถาวจวินหลันใจกระตุก แล้วก็รู้ทันทีว่าควรจัดการเจียงอวี้เหลียนอย่างไร จึงยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชายารองเจียงก็รีบเก็บของตามข้ากลับจวนเถิด” 

 

 

           เจียงอวี้เหลียนอึ้งไป ด้วยเพราะไม่คิดว่าถาวจวินหลันจะว่าง่ายเช่นนี้ พอได้สติกลับมานางก็รีบพูดว่า “เช่นนั้นข้าจะรีบไปเก็บของของข้ากับเซิ่นเอ๋อร์” 

 

 

           ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ ท่าทีปกติ “ให้เซิ่นเอ๋อร์อยู่ต่อกับไทเฮาเถิด ช่วงนี้ไทเฮาอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก มีเด็กอยู่ข้างกายคงอารมณ์ดีขึ้นบ้าง และถือว่าแสดงความกตัญญูต่อไทเฮาแทนท่านอ๋องด้วย” 

 

 

           นางพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เจียงอวี้เหลียนไม่เห็นความผิดปกติอะไร แต่เจียงอวี้เหลียนเพียงแค่คิดว่าไม่ถูกต้องและทำใจไม่ลงนัก จึงเริ่มลังเลเล็กน้อย 

 

 

           “ชายารองเจียงไม่ยินยอมหรือ?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้วถามกลับ “ในเมื่องเซิ่นเอ๋อร์จะถูกจดเอาไว้ใต้ชื่อพระชายาอยู่แล้ว เช่นนั้นก็จะกลายเป็นลูกชายของภรรยาเอก ให้ไทเฮาเลี้ยงดูเขาย่อมเป็นเรื่องดี ตอนแรกซวนเอ๋อร์ก็ให้ไทเฮาเลี้ยงดูระยะหนึ่งไม่ใช่หรือ?” 

 

 

           เจียงอวี้เหลียนยังคงไม่ยินยอมนัก เพียงแค่พูดว่า “พวกเราแม่ลูกจะแยกกันได้อย่างไร?” 

 

 

           ถาวจวินหลันยิ้มกว้าง “อย่างนั้นหรือ? แต่อย่าลืมไปว่าหลังจากเซิ่นเอ๋อร์ถูกจดเอาไว้ใต้ชื่อพระชายา นั่นก็ถือว่าเป็นลูกชายของพระชายา ความสัมพันธ์แม่ลูกของเจ้าและเซิ่นเอ๋อร์ย่อมสิ้นสุดลง ไม่ว่าจะถูกเลี้ยงไว้กับไทเฮา หรือท่านอ๋องมีความตั้งใจอื่นอีก ล้วนเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป ทำไมตอนแรกเจ้าไม่คิดถึงเรื่องนี้เล่า?” 

 

 

           เจียงอวี้เหลียนนิ่งอึ้งไปทันที นางคิดอยากให้เซิ่นเอ๋อร์ถูกจดเอาไว้ใต้ชื่อหลิวซื่อนั้น ก็เพียงเพราะอยากยืมใช้ตำแหน่งของหลิวซื่อ เพราะอย่างไรตอนนี้หลิวซื่อก็ตายไปแล้ว ต่อให้ถูกจดเอาใต้ชื่อหลิวซื่อ นางก็ยังได้เลี้ยงดูเซิ่นเอ๋อร์ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ? แต่วันนี้ถาวจวินหลันกลับพูดว่าต่อให้หลิวซื่อตายไป เซิ่นเอ๋อร์ก็ยังไม่อาจให้นางเลี้ยงได้ แบบนี้จะให้เจียงอวี้เหลียนนิ่งอยู่ได้อย่างไร? 

 

 

           พอได้สติกลับคืนมา เจียงอวี้เหลียนก็รู้สึกเสียใจ “ไม่ได้! หากต้องพรากพวกเราแม่ลูก ข้าก็ขอล้มเลิกเรื่องนี้!” 

 

 

           เจียงอวี้เหลียนรู้ดีแก่ใจ หากไม่ได้เลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์ไว้ข้างกายตน ต่อให้เซิ่นเอ๋อร์เป็นฮ่องเต้ก็ไร้ประโยชน์ และตอนนี้เซิ่นเอ๋อร์ไม่เพียงแค่เป็นลูกชายในนามของคนอื่น แต่กลายเป็นลูกชายของคนอื่นเช่นกัน! นี่ไม่ได้เท่ากับว่าแผนการที่นางวางไว้พลิกคว่ำแล้วหรืออย่างไร 

 

 

           คิดหาวิธีให้เซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกของภรรยาเอกไปเพื่ออะไร? ไม่ใช่เพราะว่าให้เซิ่นเอ๋อร์มีโอกาสและคุณสมบัติที่จะแย่งกับซวนเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ? ตอนนี้เกรงว่าไม่เพียงแค่ไม่มีข้อดี แต่ยังต้องเสียเซิ่นเอ๋อร์ลูกชายเพียงคนเดียวไปด้วย! 

 

 

           อยากหาประโยชน์จากผู้อื่น กลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียเอง! 

 

 

           หากนางยังคลอดลูกได้อีก นางก็คงตอบตกลงไปแล้ว แต่เจียงอวี้เหลียนก็รู้ดีแก่ใจ ไม่ต้องพูดถึงร่างกายอ่อนแอของตนเอง ตั้งแต่คลอดเซิ่นเอ๋อร์มาหลี่เย่ก็ไม่เคยนอนค้างที่เรือนชิวอี๋อีกเลย นี่ก็เป็นปัญหาแล้ว 

 

 

           ในชีวิตของนางนอกจากเซิ่นเอ๋อร์แล้วก็ไม่อาจมีลูกคนอื่นได้อีก! 

 

 

           พอคิดถึงเรื่องนี้ เจียงอวี้เหลียนก็ขมขื่นเต็มประดา ในใจหวาดกลัวเป็นอย่างมาก จึงรีบเอ่ยปฏิเสธในทันที 

 

 

           ถาวจวินหลันถอนหายใจ จากนั้นก็ยิ้มถามกลับ “ชายารองเจียง เรื่องเช่นนี้เอามาล้อเล่นได้อย่างไร? เจ้าจะเปลี่ยนคำสั่งเบื้องบนได้อย่างนั้นหรือ? เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นอะไร? ล้อเด็กเล่นหรืออย่างไร?” 

 

 

           เจียงอวี้เหลียนโกรธขึ้ง “เซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกชายของข้า ข้าคิดจะทำอะไรก็ได้” 

 

 

           “เซิ่นเอ๋อร์ไม่ใช่ลูกชายของเจ้า ตั้งแต่เจ้าเสนอเรื่องจดชื่อเซิ่นเอ๋อร์ไว้ใต้ชื่อพระชายาแล้ว เรื่องนี้คิดว่าข้าคงไม่ต้องเตือนเจ้าอีกครั้ง” ถาวจวินหลันมองเจียงอวี้เหลียนด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ชายารองเจียงยังจะกลับไปหรือไม่? ไม่กลับข้าจะขอตัวกลับก่อนแล้ว”  

 

 

           “เพราะเจ้า!” เจียงอวี้เหลียนตั้งสติ ชี้นิ้วตะเบ็งเสียงตำหนิ “เจ้าตั้งใจเล่นงานข้า! เจ้าจงใจแยกพวกเราแม่ลูกออกจากกัน!” 

 

 

           เจียงอวี้เหลียนพูดถูกต้อง ถาวจวินหลันจึงหัวเราะออกมา ไม่ได้ยอมรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแค่เอ่ยเตือนเจียงอวี้เหลียน “แม้ว่าข้าคิด แต่เจ้าก็ต้องให้ความร่วมมือ” 

 

 

           ทันใดนั้นเจียงอวี้เหลียนก็รู้สึกเหมือนหินหล่นมาทับเท้าตนเอง สุดท้ายนางก็คิดถึงคำเตือนครั้งที่แล้วที่ถาวจวินหลันเตือนนางตอนหลิ่วฮูหยินมาหาเรื่องในจวนได้ 

 

 

           “บางทีชายารองเจียงกลับไปขอร้องท่านอ๋องดูอาจจะได้ผลกระมัง? พูดไปแล้วนี่ก็เป็นความตั้งใจของท่านอ๋อง” ถาวจวินหลันหัวเราะ คำสุดท้ายที่หลุดออกจากปากนางก็ให้เจียงอวี้เหลียนเย็นเยียบไปทันที