บทที่ 320 เจอกันที่ร้านอาหาร

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 320
เจอกันที่ร้านอาหาร

มู่หรงเสวี่ยคอยชำเลืองมองหวังฉิงอยู่เรื่อยๆ เธออดไม่ได้ที่จะจ้องไปที่เขาด้วยความโมโห “เจ้าจะมองอะไรข้าเนี่ย?”

รอยยิ้มที่อ่อนโยนในสายตาของหวังฉิงยิ่งกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ “ก็เจ้าน่ามองที่สุดเนี่ย ถ้าไม่ให้ข้ามองเจ้าแล้วจะให้ข้าไปมองใครล่ะ?”

มู่หรงเสวี่ยพูดไม่ออกไปชั่วขณะแล้วจึงเดินไปที่ประตู

หวังฉิงอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากเผยรอยยิ้ม เขาคิดว่าเธอคงจะรู้สึกเขิน

มู่หรงที่เพิ่งเดินออกไปที่ประตูและบังเอิญชนเข้ากับคนหนึ่ง “ข้าขอโทษ” มู่หรงเสวี่ยรีบพูดขอโทษ

เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมา เธอก็เจอเข้ากับหญิงสาวสวย เธอมีความงดงามราวกับใบหน้าที่สมบูรณ์แบบนี้ถูกแกะสลักมาอย่างประณีต คิ้วและจมูกของเธอโด่งสูงและปากสีเชอร์รี่ก็แดงสดใส มือและเท้าของเธอก็ดูสูงส่งอย่างมาก

หญิงสาวแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสวยงามซึ่งเป็นความอ่อนช้อยที่หาที่ใดเปรียบไม่ได้

“เจ้ากล้าดียังไง คุกเข่าลงและกล่าวขอโทษเดี๋ยวนี้เลยนะ” สาวใช้ที่อยู่ข้างๆพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

มู่หรงเงียบไปชั่วขณะและอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วสูงแต่เมื่อดูแล้วว่าเธอเป็นคนที่ผิดจึงโค้งตัวขอโทษ “ขอโทษนะ ข้าไม่เห็น ข้าต้องขอโทษด้วย”

ใครจะรู้ว่าสาวสวยจะยังเฉยเมย นางไม่ได้มองมาที่เธอด้วยซ้ำ สาวใช้ที่อยู่ข้างๆนางส่งสัญญาณให้เหล่าผู้ชายที่อยู่ข้างหลัง “พวกเจ้าจับนางมัดแล้วส่งตัวไปที่ศาลเลย”

มู่หรงสายตาเย็นชา “ข้าบอกว่าขอโทษแล้วนะ”
สาวใช้มองมาที่เสื้อผ้าธรรมดาของมู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาดูถูกและพูดออกมาอย่างหยิ่งผยอง “แค่ชาวบ้านธรรมดา กล้าดียังไงมาเดินชนองค์หญิง แค่จับเจ้าไปส่งที่ศาลยังน้อยไปด้วยซ้ำ” เธอมองใบหน้าที่สวยงามของมู่หรงแต่อีกฝ่ายก็เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ทำไมถึงได้สวยขนาดนี้

ในตอนนี้ หวังฉิงเองก็เดินออกมาเช่นกัน “เกิดอะไรขึ้น?”

จู่ๆหญิงสาวสวยที่เมื่อกี้ยังมีท่าทางเฉยเมยก็เผยรอยยิ้มอ่อนหวานออกมาราวกับเวทมนตร์และท่าทางที่ดูเย็นชาก็ราวกับจะหายไปในทันที

สาวใช้และทหารที่อยู่ข้างหลังหญิงสาวรับคุกเข่าลงและแสดงความเคารพ “องค์ราชาฉิง”

แต่มู่หรงและองค์หญิงหวังไม่ได้พูดอะไร

“ข้าไม่คิดว่าจะได้เจอองค์ราชาฉิงที่นี่ด้วย?! นี่ก็แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องรบกวนองค์ราชาหรอกค่ะ เป็นแค่เรื่องที่ไม่เหมาะสมของข้าเอง” องค์หญิงพูดพร้อมรอยยิ้ม ร่างกายเลื่อนไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อกันร่างของมู่หรงไว้จากสายตาเล็กน้อย

มู่หรงเสวี่ยกลอกสายตาอยู่ข้างหลังซึ่งนางมองไม่เห็น

อย่างไรก็ตามหวังฉิงไม่ได้สนใจองค์หญิงเลยแต่กลับเดินอ้อมไป ตรงไปหามู่หรงที่อยู่เบื้องหน้า “มู่เทียน มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”

มู่หรงยักไหล่และกางมือออก “ไม่มีอะไร ข้าบังเอิญเดินไปชนแม่นางคนสวยนี้เข้า”

สีหน้าขององค์หญิงสะดุดเล็กน้อยพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

สาวใช้ที่ยังทำท่าเคารพอยู่ที่พื้นตัวสั่นเทิ้มและสีหน้าเริ่มที่จะซีดเผือด

“ในเมื่อไม่มีอะไรงั้นก็ไปกันเถอะ เจ้ายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้าแล้วยังแวะมาซื้อเสื้อผ้าที่นี่อีก ข้าคิดว่าตอนนี้เจ้าน่าจะหิวแล้ว” หวังฉิงพูดอย่างอ่อนโยน

มู่หรงพยักหน้า เธอหิวมากจริงๆ “ไปกันเถอะ”

พวกเธอเดินอ้อมองค์หญิงและกำลังจะเดินออกไปที่ประตู แต่องค์หญิงก็พูดขัดขึ้นมาโดยทันที “เดี๋ยวก่อน”

มู่หรงหยุดเดินพร้อมทั้งหวังฉิง องค์หญิงเดินมาหาพวกเธอทั้งสองและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม่นาง ข้าต้องขอโทษด้วย เจ้าไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม งั้นให้ข้าเลี้ยงอาหารเป็นการขอโทษได้หรือเปล่า?”

ถึงแม้นี่จะเป็นการพูดกับมู่หรงแต่สายตาขององค์หญิงกลับมองตรงไปที่หวังฉิง มีอะไรให้มู่หรงเสวี่ยไม่เข้าใจได้อีกล่ะ? เดาว่าผู้หญิงคนนี้ที่สวยราวกับเทพนิยายคงจะชอบหวังฉิงแน่ๆ

หวังฉิงไม่ได้สนใจองค์หญิง สายตาคู่ดำมองตรงมาที่ร่างของมู่หรงเสวี่ย เขาไม่ได้ตอบรับคำพูดขององค์หญิง เขาเพียงแค่มองจ้องมาที่มู่เทียนเท่านั้น

สายตาของมู่หรงหันกลับมาแล้วจึงพูดออกมา “เมื่อกี้เป็นความผิดของข้าเอง ข้าควรที่จะเป็นคนขอโทษองค์หญิงมากกว่า”

หลายคนหันมามองท่าทีของหวังฉิง องค์หญิงเองก็อยากที่จะไปกับเขาด้วย จะมีเหตุผลอะไรอีกล่ะ?!

“ข้ารู้จักร้านอาหารที่ทำอาหารเช้าอร่อย ทำไมเราไม่ไปด้วยกันล่ะ?” องค์หญิงมองไปที่มู่หรงเสวี่ยในขณะที่พูด

เดิมทีเธอคิดว่านางเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาแต่ไม่คิดเลยว่าจะมากับหวังฉิงคนที่เธอแอบชอบมาตลอด ระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรกันนะ?!

ก่อนหน้านี้เธอก็ตามสืบเรื่องของเขามาค่อนข้างที่จะมากและรู้ว่าหวังฉิงยังไม่มีความสัมพันธ์กับใคร ต่อให้เป็นคนที่มาเที่ยวเฉยๆก็ตาม ไม่มีใครในดินแดนแห่งไฟนี้ที่จะไม่รู้ว่าหวังฉิงยังไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้หญิงคนไหน แม้แต่เหล่านางสนมที่อยู่ในคฤหาสน์ก็ยังเป็นคนที่องค์จักรพรรดิมอบให้

มู่หรงพยักหน้า “ก็ได้ ไปกันเถอะ”

“อย่าวิ่งเร็วนักสิ” หวังฉิงจับมือมู่หรงเสวี่ยไว้ทันที ยังไงซะที่นี่ก็ไม่ใช่ที่วัง เขาจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร ถึงแม้เขาจะจัดทหารชุดดำให้คอยจับตาดูมู่เทียนอย่างลับๆแล้วแต่เขาก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ดี

เรื่องที่มู่เทียนสามารถหายตัวทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ถึงแม้จะแค่เพียงวันเดียวเขาก็จะไม่มีวันได้เจอร่องรอยของเธออีก

มู่หรงเสวี่ยที่ถูกเขาจับมือไว้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เธออยากที่จะสะบัดออกแต่ก็เห็นว่าหวังฉิงจับมือเธอไว้แน่นมากจนสะบัดแทบไม่หลุดเลย “มันร้อนเกินไปน่ะ เจ้าช่วยปล่อยมือข้าทีได้ไหม?” เธอพูดอย่างใจเย็น

“ข้าก็ร้อนเหมือนกัน ทนเอาหน่อย” หวังฉิงไม่เพียงแค่ไม่ปล่อยแต่กลับจับไว้แน่นกว่าเดิมอีก

องค์หญิงที่อยู่อีกข้างถึงกับกัดฟันแน่นพร้อมทั้งกำผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือแน่น สายตาของเธอมองตรงไปที่มู่หรงด้วยความเย็นชาเล็กน้อย

มู่หรงกลอกตาและเลิกสนใจเรื่องความร้อน ร้อนขนาดนี้จะจับมือแน่นขนาดนี้ได้ยังไงกัน

เมื่อหวังฉิงเห็นท่าทางน่ารักของเธอ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยกปากสูงเผยรอยยิ้มพร้อมดวงตาที่เปล่งประกายทำให้ผู้คนที่เดินอยู่ตามถนนต่างก็หันมามองกันมากมาย

ตลอดทางองค์หญิงพยายามที่จะคุยกับหวังฉิงแต่น่าเสียดายที่ความพยายามไม่เกิดผลอะไรเลย หวังฉิงไม่สนใจเธอเลยสักนิด จนสุดท้ายองค์หญิงต้องเปลี่ยนหัวข้อและหันไปคุยกับมู่หรงเสวี่ยคนที่เธอเกลียดที่สุดแทน

มู่หรงเสวี่ยคุยด้วยง่ายกว่าหน่อย เป็นเพราะหวังฉิงมักจะทำให้ผู้คนรู้สึกเขินได้ง่าย เธอจึงใช้องค์หญิงเพื่อเป็นการเลี่ยงที่จะต้องคุยกับหวังฉิง

หวังฉิงจ้องไปที่องค์หญิงอย่างไม่พอใจ นางคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?!!

“ร้านอาหารอันดับหนึ่ง” เป็นชื่อที่เยี่ยมมาก

มู่หรงมองไปที่ป้ายด้านบนและไม่มีอะไรให้บ่นเลย

“อาหารที่นี่อร่อยมากเลยนะ ตอนที่ข้ากับองค์จักรพรรดิปลอมตัวออกมาข้างนอก ท่านก็เคยเอ่ยปากชมเรื่องความอร่อยของอาหารที่นี่ด้วยเหมือนกัน” หวังฉิงอธิบาย

บรรยากาศของร้านดีมาก อาหารของที่นี่ก็อร่อยมากเช่นกัน มีหลายคนที่กำลังกินและเอ่ยปากชมไม่ขาดสาย

“ท่านสุภาพสตรี ท่านสุภาพบุรุษ จะรับอะไรดีขอรับ?” พนักงานของร้านเข้ามาต้อนรับพวกเขาทันที
“เปิดห้องหมายเลขหนึ่งที” หวังฉิงพูดเสียงเรียบ

ห้องหมายเลข 1 เป็นห้องที่ดีที่สุดของร้านอาหารและมันยังเป็นสัญลักษณ์ของสถานะความเป็นชนชั้นสูงอีกด้วย

พนักงานขมวดคิ้วได้ความอับอาย เพียงแค่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าชาวบ้านที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่คนธรรมดา ปัญหาก็คือคนที่อยู่ในห้องหมายเลขหนึ่งตอนนี้ก็ไม่ใช่คนที่ธรรมดาด้วยเหมือนกัน

“ท่านลูกค้า ข้าไม่ทราบว่าจะขอเปลี่ยนเป็นห้องหมายเลข 2 แทนได้หรือเปล่าขอรับ?! พอดีว่าตอนนี้ห้องหมายเลขหนึ่งมีลูกค้าจองไว้แล้ว” พนักงานก้มหัวลงและพูดออกมา

สำหรับมู่หรงเสวี่ยไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าจะต้องอยู่ห้องไหน ส่วนหวังฉิงเองก็ไม่มีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ ด้วยตัวตนของเขาแล้วไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องพวกนี้มาพิสูจน์อะไร
ก่อนที่อีกสองคนจะได้ตอบอะไร องค์หญิงก็ก้าวมาข้างหน้าก่อนและพูดอย่างเย็นชา “กล้าดียังไง เจ้ากล้ามาบอกให้ท่านหวังฉิงลงไปอยู่ที่ห้องหมายเลข 2 งั้นเหรอ?”

มู่หรงเสวี่ยพูดไม่ออก นี่เป็นการเอาชื่อเสียงของหวังฉิงมาทำให้เกิดความเกลียดชังชัดๆ

หวังฉิงเองก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเล็กน้อย

พูดได้เลยว่าองค์หญิงถูกเลี้ยงมาอย่างดีตั้งแต่เด็กๆ ทั้งเรื่องดนตรี, หมากรุก, การเขียนตัวอักษรและการวาดรูปก็ยังทำได้ดี แต่นางยังขาดเรื่องความฉลาดทางอารมณ์อยู่

เมื่อเห็นท่าทางอับอายของพนักงานเสิร์ฟ มู่หรงเสวี่ยจึงพูดออกไปว่า “ไปห้องหมายเลขสองกันเถอะ”

อย่างที่คิดไว้ พนักงานหันมามองที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาขอบคุณ อันที่จริงในเมื่อร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านที่มีชื่อเสียง งั้นก็ไม่แปลกที่จะมีคนมีชื่อเสียงและคนที่ทรงอำนาจมากมายมาใช้บริการแต่เขาก็รู้สึกตกใจมากเมื่อได้เห็นว่าตัวเองจัดการเรื่องทุกอย่างให้ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย แถมวันนี้เขายังได้ต้อนรับองค์ราชาอีกด้วย

สีหน้าขององค์หญิงเปลี่ยนไป เห็นได้อย่างชัดเจนว่านางรู้สึกเสียหน้า เธอก็เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆกล้าดียังไงมาทำให้องค์หญิงอย่างเธอขายหน้า ในสายตาของเธอมีร่องรอยของความอาฆาตแต่ไม่นานเธอก็รีบซ่อนมันไว้

หวังฉิงโบกมือ “ไปห้องหมายเลขสองกันเถอะ”

นี่เป็นความคิดจริงๆของหวังฉิงแต่องค์หญิงคิดว่าต้องเป็นเพราะเสน่ห์ของมู่หรงเสวี่ยแน่ๆที่ทำให้เขาสับสน

“ขอบพระคุณมากเลยนะขอรับ เชิญตามข้ามาได้เลย”

ในระหว่างที่กำลังรอเพื่อจะเดินขึ้นไปชั้นบน จู่ๆก็มีคนสองสามคนเดินเข้ามาพร้อมกับพูดว่า “เสี่ยวเอ๋อร์ ห้องหมายเลข 1 ของเราพร้อมหรือยัง?”

เสียงที่ดังมาจากห้องหมายเลข 1 ดึงดูดความสนใจของหวังฉิงที่กำลังจะขึ้นไปชั้นบนได้ในทันที

มู่หรงหันหัวไปและเห็นชายหนุ่มรูปร่างดีมากสามคน ทั้งสามเองก็เห็นมู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆด้วยเช่นกัน

“ดูเหมือนจะเป็นองค์ชายฉิงเองนะเนี่ย ช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้” หนึ่งในชายสามคนพูดออกมา

หวังฉิงเองก็หยุดเช่นกัน สายตาที่ดำเข้มแวบประกาย “ลมอะไรหอบพวกท่านทั้งสามมาถึงนี่ ดินแดนแห่งไฟไม่เห็นแจ้งข้าเลย ไม่งั้นข้าจะได้เตรียมตัวต้อนรับซะหน่อย”

มู่หรงมองไปที่เชื้อพระวงศ์ทั้งสามที่อยู่เบื้องหน้าเงียบๆ

ชายทั้งสามคนดูหน้าตาคล้ายคลึงกันเล็กน้อยและแต่ละคนต่างก็มีลักษณะเฉพาะเป็นของตัวเอง หวังฉิงไม่ได้แนะนำเธอและเธอก็ไม่ได้อ้าปากพูดอะไรด้วย

องค์หญิงยืนอยู่เงียบๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าก็ว่าจะแจ้งองค์ชายไปแต่ก็บังเอิญมาเจอกันก่อนนี่แหละ เอาเป็นว่าเราไปดื่มด้วยกันหน่อยดีไหม?”

“วันนี้คงไม่ค่อยสะดวกเท่าไร ขอเปลี่ยนเป็นพรุ่งนี้แทนแล้วกัน” หวังฉิงตอบเสียงเรียบ

สายลับหายหัวไปไหนหมดเนี่ย? ทำไมไม่มีใครรายงานเข้ามาเลยว่าองค์ชายแห่งลมจะเข้ามาในดินแดนแห่งไฟ กลับไปต้องเจอดีกันหน่อยแล้ว

องค์ชายทั้งสามเหล่มามององค์หญิงและมู่หรงเสวี่ย เมื่อพวกเขาเห็นมู่หรงเสวี่ย สายตาของพวกเขาก็แวบประกายและไม่นานก็จางหายไป “นี่ก็มีแต่ปัญญาชน งั้นไปกินข้าวด้วยกันดีกว่านะ ข้าจะเลี้ยงเอง”

หวังฉิงมองไปที่มู่หรงเสวี่ย สวนองค์หญิง เขากลับไม่สนใจนางเลยสักนิด

อันที่จริงผู้หญิงในดินแดนแห่งไฟไม่ได้เรื่องมากอะไร จึงไม่มีปัญหาเวลาที่ต้องออกไปทานอาหารหรือพบปะอะไร
มู่หรงเงียบไปชั่วขณะ “ไม่ต้องมองข้าหรอก ข้าไม่ติดอะไรหรอก”