บทที่ 321 อนาคตองค์หญิง

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 321
อนาคตองค์หญิง

“งั้นก็ไปกันเถอะ”

ถ้ามู่หรงเสวี่ยไม่ไป องค์หญิงก็ไปไม่ได้

อันที่จริงเธอไม่ใช่องค์หญิงอะไรหรอก พ่อของเธอเป็นเพียงผู้อาวุโสหลินฮานจากคณะรัฐมนตรีระดับสี่เท่านั้น และเธอก็เป็นเพียงลูกสาวตัวน้อยของเจ้าหน้าที่ระดับสี่ หลินฟางเฟย

วันหนึ่งเธอบังเอิญได้เจอกับจักรพรรดินีที่ออกมาสวดมนต์ที่วัดเข้า ในตอนแรกเธอเองก็ไม่รู้ว่านี่คือจักรพรรดินีแต่เมื่อดูจากเสื้อผ้า เธอก็พอจะเดาได้ว่านางจะต้องเป็นท่านหญิงสักคนของเจ้าหน้าที่ผู้สูงศักดิ์แน่ๆ

ตอนที่จักรพรรดินีเดินออกมาจากวัดหลังจากที่สวดมนต์เสร็จ มีผู้หญิงคนหนึ่งบังเอิญเดินเข้ามา พวกนางบังเอิญชนกัน ผู้หญิงคนนั้นไม่เพียงชนจักรพรรดินีจนล้มไปกับพื้นเท่านั้นแต่ยังเริ่มที่จะด่าทอพระองค์ด้วย

แม่นมที่อยู่ข้างๆจักรพรรดินีเองก็ไม่รอช้ารีบลุกขึ้นมาสู้กับผู้หญิงคนนั้นอยู่นาน แต่ใครจะรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มาคนเดียวแต่มีองครักษ์และคนตามมาด้วยมากมาย

เมื่อเห็นเหตุการณ์แบบนั้น เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปทันที ปกติแล้วจักรพรรดินีเวลาที่ออกมาข้างนอกจะสวมเพียงชุดเสื้อผ้าธรรมดาเพราะพระองค์กลัวว่าจะทำให้คนอื่นสงสัยมากเกินไป พระองค์ไม่ได้พาองครักษ์ออกมาด้วยมากแต่มีเพียงสามคนเท่านั้น

หลินฟางเฟยคิดอยู่นานก่อนที่จะตัดสินใจลองเสี่ยงดู เธอเข้าไปยืนขวางหน้าจักรพรรดินี ทำให้ถูกลูกหลงอยู่หลายครั้ง

โชคดีที่มีองครักษ์ชุดดำออกไปพร้อมกับจักรพรรดินีด้วยซึ่งจัดการเหล่าผู้หญิงพวกนั้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว และทำให้เหตุการณ์ที่วุ่นวายนี้สงบลงได้ แล้วหลินฟางเฟยก็ค่อยๆช่วยพยุงจักรพรรดินีอย่างระวังและเหตุการณ์ต่อมาก็เป็นเรื่องที่พอจะนึกภาพได้

หลินฟางเฟยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิงก็เพราะความดีที่เธอทำลงไป นอกจากนี้เพราะรูปร่างหน้าตาที่สวยมากของเธอจึงทำให้เธอกลายเป็นที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวง ดินแดนแห่งไฟมีสมบัติล้ำค่าอยู่ 3 อย่าง หนึ่งคือนักบุญที่คู่ควร สองคือองค์ชายฉิงและสมบัติชิ้นที่สามก็คือองค์หญิงที่แสนงดงามอย่างหลินฟางเฟย

นอกจากนี้ตอนนี้หลินฟางเฟยก็ถึงวัยที่ควรแก่การออกเรือนแล้วและหนุ่มๆจากทั่วเมืองหลวงต่างก็มีรอต่อคิวหัวกระไดไม่แห้งเลยทีเดียว

น่าเสียดายที่ผู้ชายเหล่านี้ไม่ใช่คนที่เธอหมายปอง เธอมักจะคิดว่ามีเพียงองค์ชายฉิงเท่านั้นที่คู่ควรกับเธอ อย่างไรก็ตามหวังฉิงไม่เคยแสดงท่าทีว่าสนใจเธอเลย เขาแทบไม่เคยที่จะชายตามามองเธอเลยด้วยซ้ำ

แต่จะทำยังไงได้ เธอชอบเขา มีเพียงเขาเท่านั้นที่อยู่ในสายตาของเธอ

พ่อของเธอภูมิใจในตัวเธอมาก เพราะการที่เธอช่วยจักรพรรดินีไว้ ทำให้พ่อของเธอได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาอยู่ในระดับที่สาม และเพราะแบบนี้พ่อของเธอจึงตามใจเธอทุกอย่าง รวมถึงเรื่องการถามเธอเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานด้วย

เมื่อเธอเอ่ยถึงหวังฉิงกับพ่อของเธอ เขาไม่ได้ขัดขวางแต่กลับเอ่ยปากสนับสนุนเธอด้วยความชื่นชม

คนทั้งหกต่างก็นั่งอยู่ในห้องเดียวกัน มู่หรงเสวี่ยและองค์หญิงต่างก็นั่งอยู่ทั้งสองข้างของหวังฉิง ส่วนอีกฝั่งของมู่หรงเสวี่ยคือชายที่เพิ่งคุยกับองค์ชายฉิง

“ข้าอยากที่จะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จัก ทั้งสามคนนี้คือองค์ชายฮ่าวซี, ฮ่าวหยาน และฮ่าวส่วนแห่งดินแดนลมที่นั่งถัดจากข้าก็คืออนาคตองค์หญิงของข้าเอง มู่เทียน และคนที่พวกท่านน่าจะเคยได้ยินชื่อแล้วองค์หญิงหลินฟางเฟ่ยผู้ที่เลื่องชื่อที่สุดแห่งดินแดนแห่งไฟ” หลังจากที่นั่งลงแล้ว หวังฉิงก็อธิบายเสียงเรียบ

“องค์หญิงงั้นเหรอ?” องค์ชายฮ่าวหยานที่นั่งอยู่ข้างๆ มู่หรงเสวี่ยถามพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเล็กน้อย เขาเองก็พอจะรู้เรื่องธรรมเนียมของดินแดนแห่งไฟดี ตอนที่เขาเห็นมู่เทียนในชุดชาวบ้านธรรมดาๆ ฮ่าวหยานคิดว่าเธอคงเป็นสาวใช้ของหวังฉิงหรืออะไรสักอย่าง เขายังคิดอยู่เลยว่าเขาอาจจะขอมาเป็นสนมได้ด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยว่าเมื่อหวังฉิงอ้าปากพูดออกมาจะทำให้เขาตกใจได้ขนาดนี้

มีอีกคนที่ตกใจกับเหตุการณ์นี้ไม่ต่างกัน สีหน้าของ หลินฟางเฟ่ยเปลี่ยนไป ผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ใต้โต๊ะเกือบจะถูกเธอฉีกจนขาดไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

เด็กสาวคนนี้ทำให้องค์ชายของเธอยอมรับออกมาเลยว่านางเป็นองค์หญิง นางทำได้ยังไง?! อย่างไรก็ตาม นางก็เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา แล้วนางจะคู่ควรกับองค์ชายของเธอที่เป็นดั่งเทพเจ้าได้ยังไงกัน แน่นอนว่าเธอกลัวว่ามู่หรงเสวี่ยจะได้หน้าไปกว่าตัวเอง สีหน้าของเธอซึมลงทันทีและหมองลงทันที
หวังฉิงที่ไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่าย ได้ยกตำแหน่งให้เธอไปเรียบร้อยแล้ว

“องค์หญิงขององค์ชายอย่างเป็นทางการ” หวังฉิงไม่เห็นว่ามู่เทียนจะตอบโต้อะไร รอยยิ้มในสายตาเขายิ่งกว้างมากขึ้นไปอีกพร้อมด้วยความรู้สึกพอใจที่ได้ประกาศออกไป

องค์ชายฮ่าวหยานที่กำลังถือถ้วยชามองไปที่มู่เทียนอย่างเงียบๆ “ข้าไม่ทราบว่าอนาคตองค์หญิงเป็นบุตรสาวจากตระกูลไหนงั้นเหรอ?”

สายตาของหวังฉิงแวบประกายเย็นชา “ในอนาคตเมื่อเราสมรสกัน ท่านก็จะได้รู้เองแหละ”

ในตอนนี้จานอาหารถูกนำมาเสิร์ฟจานแล้วจานเล่า ร้านอาหารหมายเลขหนึ่งนี้อร่อยสมคำล้ำลือจริงๆ แค่การจัดจานก็ทำให้รู้สึกน้ำลายสอมากแล้ว

“เอ้านี่ ข้าขอดื่มให้ก่อน ข้าหวังว่าในระหว่างที่อยู่ในดินแดนแห่งไฟพวกท่านจะเพลิดเพลินนะ” หวังฉิงยกแก้วไวน์นำขึ้นมาก่อนและดื่มเข้าไปด้วยความภาคภูมิใจ

“เร็วเข้า ดื่มเลย”

ชายหนุ่มทั้งสี่ดื่มเข้าไปหมดแก้ว มู่หรงสนใจเพียงการกินอาหารที่อยู่บนโต๊ะเงียบๆ ปล่อยให้พวกผู้ชายดื่มไป ไม่ใช่เรื่องอะไรของผู้หญิง

หลินฟางเฟ่ยจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ย โดยเฉพาะการที่ได้เห็นมู่หรงนั่งกินอย่างสบายใจก็ทำให้เธอยิ้มรู้สึกเกลียดขึ้นมาอีกมาก ตระกูลไหนกันสอนให้ลูกสาวนั่งกินได้สบายใจแบบนี้ โดยเฉพาะตอนที่มีคนนอกอยู่ด้วยแบบนี้

ไร้การศึกษาจริงๆ! หลินฟางเฟ่ยเกิดความรู้สึกเกลียดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจ

มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจว่าพวกเขาจะมองยังไง อีกอย่างถึงแม้เธอจะกินเร็วแต่เธอก็กินอย่างมีสไตล์
ถึงแม้หวังฉิงจะนั่งดื่มอยู่แต่ที่ปลายหางตาก็เฝ้ามอง มู่เทียนอยู่ตลอด เขากำลังอารมณ์ดีที่เห็นเธอกินอย่างมีความสุข

มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะฟังว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกัน พวกคนโบราณต่างก็มีเรื่องเล่ากันมากมาย

ทุกประโยคที่พูดออกมาก็มักจะเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆมากมาย หวังฉิงก็พูดเรื่องจุดมุ่งหมายกับองค์ชายทั้งสามแห่งดินแดนลมไม่หยุด

หลังจากที่ดื่มไวน์ไปกว่าครึ่ง องค์ชายฮ่าวซีก็ค่อยๆเปิดปากออกช้าๆ

“ครั้งที่แล้วองค์ชายยังไม่ได้อธิบายให้พวกเราฟังอย่างชัดเจนไม่ใช่เหรอ?” แม้แต่สายตาของเขาก็ยังคมเข้ม

“อย่างที่ข้าได้บอกไปแล้ว ภัยคุกคามของดินแดนเฮ่ยเฉินยิ่งใหญ่กว่าดินแดนแห่งหิมะ งั้นพวกเราควรที่จะพักแผนการก่อนหน้านี้ไปก่อน” หวังฉิงมองมาที่มู่เทียนและพูดออกมาเสียงเรียบ

คำว่า “ดินแดนเฮ่ยเฉิน” ปลุกมู่หรงเสวี่ยที่กำลังกินอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา เธอเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

ท่าทางเล็กน้อยของหวังฉิงแต่ก็ดึงดูดความสนใจของอีกสี่คนให้ต้องหันไปมองได้เช่นกัน จู่ๆทุกสายตาก็จับจ้องไปที่ มู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยกลืนเกี๊ยวหยกคำสุดท้ายที่เต็มปากเข้าไป แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาและมองไปที่คนที่เหลืออย่างใจเย็น “มองข้ากันทำไมงั้นเหรอ?”

หลินฟางเฟ่ยเบ้ปากและหันหัวไปเป็นคนแรก ใครอยากจะมองหน้าเธอกัน

อย่างไรก็ตามสีหน้าที่หล่อเหลาขององค์ชายฮ่าวหยานก็เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่เจ้าเล่ห์และรอยยิ้มที่ดูดูถูกอยู่เล็กน้อย “ท่านมู่นี่เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ”

มู่หรงไม่รู้สึกอะไรจึงตอบออกไปเรียบๆ “ขอบคุณ ข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจจริงๆ” แล้วคนที่เหลือก็ดูมีความสุขกันมาก

มู่หรงหันหน้ามาแล้วกระซิบที่ข้างหูของหวังฉิง “หวังฉิง ข้าจะไปห้องน้ำหน่อย”

ลมหายใจที่อ่อนบางของมู่เทียนกระทบที่หูของหวังฉิง ทำให้เขาขนลุกขึ้นมาเล็กน้อยแต่ในหัวใจกลับรู้สึกอยากที่จะดึงเธอเข้ามาแสดงความรักในอ้อมแขนมากขึ้นไปอีก เพียงแต่ว่าองค์ชายทั้งสามแห่งลมกำลังมองพวกเขาอยู่ ทำไมพวกเขาถึงได้อยากรู้อยากเห็นกันจริงนะ

“งั้นก็รีบไปรีบกลับมาล่ะ” หวังฉิงเองก็กระซิบที่ข้างหูของมู่เทียนเช่นกัน เขาชอบที่จะกระซิบแบบนี้

มู่หรงปกปิดอารมณ์ของตัวเองและพูดกับผู้คนที่ร่วมโต๊ะด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “ข้าขอตัวสักครู่” แล้วเธอก็ลุกขึ้นและเดินออกไป

ในตอนนี้หลินฟางเฟ่ยเองก็ยืนขึ้นทำความเคารพตามธรรมเนียมและพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็ต้องขอตัวสักครู่”

เธอเองก็เดินตามหลังมู่หรงออกมาด้วยเช่นกัน

หวังฉิงที่นั่งอยู่ในห้องแสดงท่าทางแล้วสายตาทั้งคู่ก็แวบประกายเงาดำมืดขึ้นมาทันที หลังจากนั้นหวังฉิงก็เริ่มที่จะคุยกับฮ่าวหยานและคนอื่นๆต่อ

ในหัวใจของหวังฉิงแวบความคิดมากมาย หวังว่ามู่เทียนจะไม่ทำให้เขาผิดหวังและเขาเองก็ไม่อยากที่จะจำกัดเธอมากเกินไปด้วย

เขารับปากไม่ได้หรอกว่าตัวเองจะทำอะไรถ้าเธอหนีไป อย่างน้อยก็คงจะไม่ปล่อยให้เธอได้ออกจากตำหนักอีก

“ท่านมู่ รอเดี๋ยว”

มู่หรงได้ยินเสียงเรียก ขมวดคิ้วเล็กน้อย ครั้งนี้นางเองก็ตามมาด้วย ตัวปัญหาจริงๆเลย
เธอเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ เธออยากที่จะกำจัดหลินฟางเฟ่ยให้พ้นทางทันที น่าเสียดายที่นางเดินตามมาได้ในไม่กี่ก้าว

หลินฟางเฟ่ยดึงมู่เทียนด้วยท่าทางหอบ “ข้าเพียงเรียกเจ้าอยู่ ไม่ได้ยินหรือไง?”

ฝืนไปก็ไร้ประโยชน์ มู่หรงเสวี่ยหันหัวกลับมาและถามออกไป “โอ้ ขอโทษที ข้าคิดว่าเป็นคนอื่นซะอีก ไม่ทราบว่าองค์หญิงอยากให้ข้าทำอะไรงั้นเหรอ?”

“เจ้าเป็นใคร? มีความสัมพันธ์อะไรกับองค์ชายของข้า?” เมื่อหลินฟางเฟ่ยเห็นว่ารอบๆข้างไม่มีใครอยู่ดังนั้นเธอจึงรีบถามออกมาทันที

มู่หรงเองก็มองไปรอบๆเพื่อดูว่ามีใครตามมาด้วยหรือเปล่าเช่นกัน “ข้าจะเป็นใครก็ดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้านะ” มู่หรงตอบเสียงเรียบ

“จะไม่เกี่ยวกับข้าได้ยังไง? เด็กสาวบ้านนอกธรรมดาอย่างเจ้าจะมาคู่ควรกับองค์ชายของข้าได้ยังไง? รีบไสหัวไปให้พ้นเลยนะ” หลินฟางเฟ่ยพูดอย่างดุดัน

มู่หรงมองไปที่สายตาริษยาของนางและจู่ๆก็แวบประกายในสายตา “ข้าเองก็อยากที่จะไปเหมือนกัน แต่หวังฉิงเองต่างหากที่ไม่ยอมปล่อยให้คนอื่นไปใช่ไหมล่ะ?”

“อย่าพูดจาไร้สาระ องค์ชายไม่ชอบเจ้าหรอก” หลินฟางเฟ่ยตอบกลับด้วยสีหน้าอิจฉา

“ทำไมเจ้าต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วย เจ้าชอบหวังฉิงงั้นเหรอ?” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้ม

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?” หลินฟางเฟ่ยรีบตอบพร้อมสีหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นมาทันที

ปากของมู่หรงบิดเบี้ยว เธอเข้าไปใกล้หูของหลินฟางเฟ่ย “ข้าเองก็อยากที่จะหนีไป เจ้าจะช่วยข้ายังไงล่ะ ได้จัดการคู่แข่งไปให้พ้นหน้า เจ้าเองก็น่าจะมีความสุขมากใช่ไหมล่ะ?”
หลังจากที่เงียบไป มู่หรงเสวี่ยก็พูดต่อ “อย่าขยับมีคนกำลังมองอยู่ ทำตัวให้ปกติ”

สีหน้าของหลินฟางเฟ่ยเปลี่ยนไปชั่วขณะ ในใจของเธอนึกถึงท่าทางอ่อนโยนของหวังฉิงที่มีต่อมู่เทียน หัวใจเธอสั่นเทอมและสุดท้ายก็กัดริมฝีปากตัวเอง แล้วเธอก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “ตกลง จะให้ข้าทำยังไง?”

เดี๋ยวนะ ถึงแม้เธอจะไม่ได้สนใจหวังฉิง แต่ก็เห็นแล้วว่าเขาทรมานเธอยังไงหลังจากที่เธอหนีไปครั้งแรก

สายตาของหลินฟางเฟ่ยแวบประกายอาฆาต ผู้หญิงแบบนี้ถ้ายังอยู่ในโลกนี้ก็มีแต่จะเป็นภัยกับเธอเปล่าๆ

ยังไงซะมู่หรงเสวี่ยก็ไม่ได้ต้องการมิตรภาพอยู่แล้ว เป้าหมายหลักของเธอก็คือการหนีไปจากหวังฉิงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ยังไงซะเฟิงจือหลิงก็ถูกช่วยไว้ได้แล้ว และตอนนี้เขาก็ไม่มีอะไรที่จะเอามาขู่เธอได้อีกแล้วด้วย