ตอนที่ 248 เสินฟาง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“นี่มันคืออะไรกัน?” เหยียนหยุนสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที พอเห็นสิ่งที่หน้าตาเหมือนเส้นเลือด เขาก็รู้สึกขนลุกทั้งร่าง

 

 

สัมผัสที่เย็นๆ หนืดๆ เหล่านี้น่าขยะแขยงอย่างที่สุด

 

 

เขาพยายามฝืนตัวเองเพื่อรักษาสติไว้ แต่ทันทีที่พวกมันบุกเข้ามาเกาะติด และแผ่ไอเย็นเข้าไปในปากแผลได้สำเร็จ เขาก็เข้าใจขึ้นมาในทันทีว่าทำไมจีเฉวียนถึงได้ยินยอมให้พวกเขาร่วมทางมาด้วย

 

 

ชัดเจนเลยว่า ตั้งใจคิดจะใช้พวกเขาเป็นหินรองเท้า

 

 

ก่อนหน้านี้ที่ทำให้ร่างกายของพวกเขามีบาดแผล ก็เพื่อจะได้คอยดึงดูดสิ่งเหล่านี้

 

 

เขารู้ว่าแต่ไหนแต่ไรจีเฉวียนก็ไม่เคยมีเจตนาดี แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะชั่วร้ายได้ขนาดนี้

 

 

สีหน้าของเหยียนเฉียวหลัวเปลี่ยนเป็นซีดขาว นางรีบดึงยันต์แผ่นหนึ่งออกมาจากในอก ติดลงไปบนหน้าต่างรถม้าของพวกเขา

 

 

บนยันต์ใช้โลหิตวาดอักขระที่ซับซ้อนเอาไว้ ทันทีที่ติดลงไป ก็บังเกิดแสงสว่างสีแดงขึ้นมาวูบหนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นมีดที่คมกริบ ตัดเส้นเลือดเหล่านั้นทิ้งไปจนหมดสิ้น

 

 

เหยียนเฉียวหลัวส่งเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง นางปิดปากแผลเอาไว้ สายตาทอประกายเหยียดหยาม ก็แค่พวกจำอวดหลังม่านเท่านั้น ยังกล้ามาสำแดงเดชต่อหน้านางอีก

 

 

จีเฉวียนคิดจะขุดหลุมพรางกับนาง? ไม่ง่ายดายนักหรอก

 

 

“ซี่ ซี่ ซี่ …..” พอเส้นเลือดพวกนั้นถูกตัดขาด ใบหน้าประหลาดที่ไม่มีองคาพยพทั้งห้านั้นก็กรีดร้องเสียงโหยหวนออกมา

 

 

แต่ละตัวพากันเกรี้ยวกราด เส้นเลือดที่ถูกตัดหล่นลงไปบนพื้นทราย ก็ดีดดิ้นไปมาอยู่บนพื้น

 

 

……………………

 

 

อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน

 

 

พอนางหันศีรษะไปมองดูฮ่องเต้ที่อยู่ข้างกาย ก็เห็นเขายังคงทำสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งดังเดิม โดยมิได้มองดูเหตุการณ์ภายนอกเลยแม้แต่แวบเดียว

 

 

ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะหันศีรษะออกไปมองดูด้านนอกอีกครั้ง ก็ถูกฝ่าพระหัตถ์ที่ใหญ่โตของจีเฉวียนบดบังการมองเห็นเอาไว้ “อย่าดูอีกเลย ของพวกนั้นดูมากไป จะทำให้กลายเป็นคนอัปลักษณ์”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…….” ก็แค่ตัวประหลาดที่ไม่มีใบหน้า พลังในการต่อสู้ของพวกมันมิได้ถือว่าแข็งแกร่งสักเท่าไร

 

 

เพียงแต่ว่าเจ้าพวกนี้มีพลังในการดึงดูด หากว่ามองมากไป บางครั้งใบหน้าของตนเองก็อาจจะถูกพวกมันฉกชิงไปได้

 

 

นางเคยบังเอิญเจอะเจอพวกมันอยู่หลายตัวในโลกเดิม

 

 

คิดถึงโลกเดิมเหลือเกิน ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะต้องหยีตามากกว่าเดิม

 

 

“หากว่าอั๊วจำไม่ผิดละก็ เจ้าพวกนี้ เป็นเพียงหุ่นเชิดของจอมมาร?” วิญญาณทมิฬหมอบอยู่ข้างกายนาง ก่อนหน้านี้ตอนที่พึ่งจะเหยียบย่างเข้ามาในทะเลทราย ก็สามารถรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายจากลมหายใจที่คุ้นเคยนั้นแล้ว

 

 

พอตอนนี้ยิ่งได้เห็นพวกปีศาจไร้หน้า มันถึงได้คิดถึงคู่ปรับเก่าขึ้นมา

 

 

จอมมารเสินฟางในโลกก่อนที่ทำให้พวกมันถึงกับต้องม้วยมรณา

 

 

พอพูดถึงจอมมาร ใบหน้าของตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง จอมมารเสินฟาง พลังในการต่อสู้อยู่ในระดับสูงสุด เป็นตัวปัญหาที่รับมือยากที่สุด

 

 

ในโลกเดิมเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้าม นางรับคำสั่งสำนักอาจารย์ออกไปลงมือ นางประมือกับเสินฟางบนเขาเทียนไถอยู่สามวันสามคืน สุดท้ายไม่รู้ว่าเขา ไปเอากระจกเงามาจากที่ใดส่องใส่นาง

 

 

เพราะแค่เสียสมาธิวอกแวกเหลือบมองดูตัวเองในกระจกไปเพียงแวบเดียว ก็เลยตกหลุมพรางของเสินฟางเข้า

 

 

ถูกเขาเหวี่ยงตกลงมาจากเขาเทียนไถที่สูงนับพันจั้ง

 

 

แต่ว่าก่อนที่นางจะตกลงมานั้น ก็ได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีลากเขาลงมาด้วย ขณะที่ตกลงมาจากยอดผาก็ยังไม่ลืมวาดยันต์สีชาดขึ้นมาแผ่นหนึ่ง กักขังเขาเอาไว้

 

 

ต่อให้เสินฟางไม่ตายก็ต้องลอกหนังออกมาชั้นหนึ่ง

 

 

เพียงแต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ว่าจะได้มาพบกลิ่นอายของเขาในโลกมิตินี้

 

 

บางทีเขาเองก็อาจจะมิได้ตาย แต่ว่าวิญญาณกลับมาติดค้างอยู่ในโลกใบนี้เหมือนกัน “นี่ต้องนับว่าคู่อริหนทางคับแคบ [1] ถึงได้เผอิญมาเจอกันในที่นี้อีก?” วิญญาณทมิฬมองออกไปที่นอกรถม้า พอเห็นเจ้าพวกตัวประหลาดไร้ใบหน้าจำนวนมากมายเหล่านั้นเริ่มโจมตีรอบใหม่ มันก็ชักจะเป็นกังวลขึ้นมา

 

 

เนื่องเพราะตอนนี้ตู๋กูซิงหลันสูญเสียหยกสรรพชีวิตไปแล้ว หากว่าบังเอิญเกิดเจอกับจอมมารเสินฟาง แล้วถ้าพลังตบะของมันมิได้ลดทอนลงไป นี่มิเท่ากับว่าพวกมันขุดหลุมฝังตนเองหรอกหรือ?

 

 

“ไม่แน่หรอก” ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ “ที่ผ่านมาเสินฟางพฤติกรรมชั่วร้าย หากว่าเขาอยู่ในโลกนี้จริงๆ ก็จะต้องออกมาล่อลวงผู้คนให้สร้างปัญหาอย่างแน่นอน

 

 

“ไม่ต้องรีบร้อน รอดูไปก่อนค่อยว่ากัน”

 

 

ตลอดการเดินทางนี้ ที่ตู๋กูซิงหลันกังวลสนใจมากที่สุดก็คือ ตกลงแล้วจีเฉวียนเป็นอะไรกันแน่

 

 

ที่จริงแล้วนับตั้งแต่ตอนที่เดินทางผ่านป่าทึบในหนานเจียงออกมานั้น ก็พบเจอตัวประหลาดมาไม่น้อย

 

 

นอกจากจะโดนไฟสีทองของติ๊งต๊องแผดเผาจนร้อนลวกกันไปแล้ว ยังมีพวกสิ่งประหลาดขนาดใหญ่ที่พยายามเข้าใกล้พวกนาง

 

 

เพียงแต่ว่าทันทีที่มันสัมผัสกับรถม้า ก็คล้ายกับว่าโดนอะไรที่ร้อนลวกมือขึ้นมา จึงตระหนกเสียจนชักมือกลับไป

 

 

ไม่ทันได้ป่ายปีนขึ้นมาก็ม้วนหนีไปแล้ว

 

 

เขาเป็นมนุษย์ที่แบกรับพลังชี่เอาไว้ ทั้งยังสามารถกำจัดสิ่งมีชีวิตที่เหนือธรรมชาติเหล่านั้นให้ดับสูญได้

 

 

ความเป็นไปได้ มีอยู่เพียงสองอย่างเท่านั้น

 

 

ทางหนึ่งเขาคือโอรสสวรรค์ไอมังกรรุนแรงเกินไป ทำให้ภูติผีไม่กล้ากล้ำกราย

 

 

ไอมังกรนั้นหากว่ามีก็คือมี แต่ไม่สมควรจะรุนแรงจนถึงขนาดที่ทำให้พวกมันไม่กล้าเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อยเช่นนี้

 

 

ทางที่สองก็คือ…..เขามีพลังที่แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าพวกภูติผีและจิตวิญญาณเหล่านี้มากมายหลายพันหลายหมื่นเท่า

 

 

ความคิดนี้ต่างหากที่ทำให้ตู๋กูซิงหลันประหลาดใจที่สุด

 

 

เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ นางก็อดใจไม่ไหวต้องไปสัมผัสหัตถ์ของจีเฉวียนสักเล็กน้อย

 

 

เพียงแค่ปลายนิ้วของนางกวาดผ่านหลังมือของเขาเพียงเบาๆ ความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งนั้นก็แทรกซึมเข้ามาสู่ร่างกาย

 

 

แท่นน้ำแข็งจะอย่างไรเสียก็ยังเป็นแท่นน้ำแข็ง

 

 

หากเปรียบเทียบกับค่ำคืนในทะเลทราย เขาต่างหากที่เป็นตัวอันตรายที่สุด

 

 

ขณะที่ตู๋กูซิงหลันกำลังจมอยู่ในความคิดนั้น ก็ได้ยินเสียงจีเฉวียนตรัสว่า “อยากลูบคลำเรา?”

 

 

ตรัสแล้วเขาก็ก้มศีรษะลงมามองดูหลังมือของตนเอง รู้สึกว่าบนหลังมือคันๆ เล็กน้อย บริเวณที่นางลูบไล้คล้ายจะมีกลิ่นอายพิเศษเฉพาะของดอกฮว๋ายจากตัวนางหลงเหลืออยู่

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “………”

 

 

“หากว่าเจ้ายอมรับความรู้สึกของเรา จะลูบจะคลำเราอย่างไรก็ทำได้ทั้งนั้น” ฮ่องเต้ตรัสอย่างเอาจริงเอาจังต่อไป “แต่ตอนนี้บุรุษสตรีอย่างไรก็มีข้อแตกต่าง พึงต้องสงวนกริยาไว้”

 

 

ต้องสงวนกริยาเป็นพิเศษเลยมั้ง!

 

 

สองคำนี้ออกจากปากของเขามาได้ ก็ต้องนับว่าเหลือเชื่อมากแล้ว

 

 

สงวนกริยาจนถึงขนาดมาสารภาพรักกับมารดาเลี้ยงน้อยๆ ของตนเอง ตลอดทางมานี้มิว่ากินดื่มนั่งนอนขับถ่ายก็อยู่ด้วยกันตลอด บุรุษสตรีมีข้อแตกต่าง พึงสงวนกริยาอันยอดเยี่ยม!

 

 

ตู๋กูซิงหลันได้แต่แอบกรอกตาขาวเงียบๆ

 

 

หลงเซียวช่างสมกับเป็นหัวหน้าองค์รักษ์ลับ เขาโผล่ออกมาคลี่คลายความอึดอัดในจังหวะที่เหมาะสมที่สุด

 

 

“ฝ่าบาท พายุทรายรุนแรงกว่าเดิมแล้ว เส้นทางเบื้องหน้าไม่ชัดเจน สมควรจะไปต่อหรือว่าหยุดพักผ่อนดีพะยะค่ะ?”

 

 

คราวนี้ ฮ่องเต้ถึงได้กวาดพระเนตรมองดูนอกหน้าต่างรอบหนึ่ง เห็นพี่น้องตระกูลเหยียนยังคงถูกพวกปีศาจไร้หน้ารายล้อมเอาไว้ พายุทรายในตอนนี้ก็แทบจะพัดพารถม้าของพวกเขาปลิวไปแล้ว

 

 

“ตั้งกระโจมพักผ่อนด้านข้างพวกเขา”

 

 

ทันทีที่ฝ่าบาทตรัส ก็เห็นหลงเซียวลงจากรถม้าไป

 

 

จากนั้นก็ไม่รู้ว่าองค์รักษ์ลับหลายคนออกมาจากที่ใด เสาะหาพื้นที่กำบังลม ติดตั้งกระโจมสีดำสองหลังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

 

ไม่รู้ว่ากระโจมเหล่านี้จัดสร้างจากวัสดุอะไร พายุทรายที่รุนแรงคลุมท้องฟ้าเช่นนี้ก็ยังไม่กระเทือนแม้แต่น้อย

 

 

ยามที่พวกเขาสร้างกระโจมนั้น พวกปีศาจไร้หน้าเหล่านั้นก็ไม่ได้สนอกสนใจพวกเขา ยิ่งเมื่อฝ่าบาทเสด็จลงจากรถม้า พวกมันก็เหมือนกันว่าได้รับความตื่นตระหนกบางอย่าง หลังชะงักอยู่ครู่หนึ่งก็พากันล่าถอยออกไป

 

 

อ้อ พวกมันลากรถม้าของพี่น้องตระกูลเหยียนออกไปด้วยกัน

 

 

ภายในรถม้า เหยียนเฉียวหลัวนำยันต์ออกมาติดหลายต่อหลายผืนแล้ว ตอนแรกยังพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ว่าตอนหลัง ยันต์พวกนี้ก็คล้ายจะเสื่อมสภาพไป เจ้าพวกปีศาจไร้หน้าเหล่านั้นไม่เพียงไม่ล่าถอยไป แต่ว่าเส้นเลือดบนร่างของพวกมันกลับยิ่งทียิ่งเพิ่มมากขึ้น รายล้อมรถม้าของพวกเขาเอาไว้จนยุบยับไปหมด

 

 

กลิ่นคาวคละคลุ้งเสียดแทงจมูกอย่างรุนแรง ทำให้คนอยากอาเจียน

 

 

ส่วนฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ใกล้ๆ กลับอุ้มคนผู้หนึ่งลงมาจากรถม้า…..

 

 

 

 

——

 

 

[1] 冤家路窄

 

 

——

 

 

คุยกันนิดนึง:

 

 

ไรท์ : ที่สุดแห่งการตัดจบนั้นมีอยู่จริง คือเนื้อเรื่องที่ไม่เพียงแค่ทำให้ไรท์และรีดค้างอยู่ในพายุทราย แต่ว่า….มันไม่จบประโยคด้วยน่ะสิ (อืม บ่นให้รีดฟัง)