ตอนที่ 249 ซิงหลันงดงามกว่า

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ส่วนฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ใกล้ๆ กลับอุ้มคนผู้หนึ่งลงมาจากรถม้า อุ้มคนลงมาพร้อมกับผ้าห่มหนาๆ และโผล่มาให้เห็นแค่ศีรษะเท่านั้น 

 

 

ศีรษะที่มีเส้นผมฟูๆ กับใบหน้ากลมดั่งซาลาเปา ย่อมสะดุดตาผู้คนอย่างที่สุด 

 

 

เป็นนังตัวแทนนั่น! 

 

 

ทั้งยังเกี่ยวโยงกับตู๋กูซิงหลัน! เขายินยอมดูแลเอาใจใส่คนที่เป็นแค่ตัวแทน แต่กลับไม่สนใจจะเหลือบแลนางแม้สักครั้ง? 

 

 

แม้แต่ในยามที่นางตกอยู่ในอันตราย ก็ไม่ใส่ใจจะยื่นมือมาช่วยเหลือเลยสักนิด 

 

 

ทั้งๆ ที่ยามอยู่ในแคว้นเหยียน พวกเราเคยจับมือผ่านช่วงเวลามาด้วยกันแท้ๆ 

 

 

ยามนี้พอกลายเป็นฮ่องเต้ ก็ถูกนางมารตนหนึ่งล่อลวงจนตาลาย แม้แต่ของปลอมก็ยังเอามายกยอเป็นสมบัติล้ำค่า? 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวกัดฟันดังกรอด ริมฝีปากของนางแทบจะถูกนางขบจนได้เลือดออกมา 

 

 

นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าตนเองสู้ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ในที่ใด 

 

 

หากเขายืนยันต้องการจะอยู่ร่วมกับตู๋กูซิงหลัน ที่ต้องพินาศไปก็คือชื่อเสียงในฐานะฮ่องเต้ต้าโจวของเขา แต่กับนางไม่เหมือนกัน นางสามารถนำสิ่งดีๆ มาให้เขาได้ไม่มีวันหมดสิ้น! 

 

 

ขณะที่มัวแต่ใจลอยอยู่นั้น เส้นเลือดเส้นหนึ่งของปีศาจไร้หน้าก็ปักเข้าไปในบาดแผลของนาง 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวเจ็บปวดจนส่งเสียงกรีดร้อง นางรีบดึงสติกลับมา ต่อสู้กับพวกมันอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

………………. 

 

 

 

 

 

 

 

 

พายุทรายโหมอยู่ครึ่งคืนจึงได้สงบลง 

 

 

ยามที่สงบแล้ว รถม้าของสองพี่น้องตระกูลเหยียนก็ไม่รู้ว่าถูกลากไปถึงที่ใดแล้ว 

 

 

ท้องฟ้ายามค่ำคืนในทะเลทรายกระจ่างใสไร้ละออง ดาวแต่ละดวงสุกสกาวราวกับผ่านการชะล้าง ทั้งยังกระจายอยู่ทั่วทั้งท้องฟ้า 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนอนอยู่ในผ้าห่มนุ่มนิ่ม ใบหน้ากลมสว่างราวกับอาบแสงอยู่ชั้นหนึ่ง ผิวที่เดิมก็ละเอียดนุ่ม ก็ยิ่งกระจ่างตากว่าเดิม 

 

 

ขาวนวลราวกับหยกมันแพะ เปล่งประกายราวเครื่องเคลือบ 

 

 

จีเฉวียนมองดูนาง พลางคิดไปว่า ต่อไปจะต้องปกป้องคุ้มครองให้ดี ผู้ที่บอบบางเช่นนี้ หากว่าไม่ระวังพลาดพลั้งไป ก็จะชอกช้ำเป็นรอย 

 

 

ประหลาดจริงๆ …..แต่ก่อนทำไมเขาถึงไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนนะ? 

 

 

ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์เช่นไรนางก็สามารถจะปกป้องตนเองได้ แต่ตอนนี้กลับเกรงว่านางจะเกิดเรื่องขึ้น ในสายพระเนตรของพระองค์นางเป็นเหมือนกับของที่แตกหักง่ายชิ้นหนึ่ง 

 

 

หากโอบเอาไว้ในอกก็กลัวจะหล่นแตก หากอมไว้ในปากก็กลัวจะละลาย 

 

 

พระองค์ทรงพบว่าการรักชอบคนผู้หนึ่งเป็นเรื่องที่ทั้งยากลำบากแต่ก็มีความสุข 

 

 

พระองค์เฝ้ามองแล้วมองอีก ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “ตู๋กูซิงหลัน ในชีวิตนี้เจ้ามีความใฝ่ฝันใด?” 

 

 

“ความใฝ่ฝัน?” ตู๋กูซิงหลันยังคงมองดูดาวบนท้องฟ้า 

 

 

นางคิดอย่างละเอียดครู่หนึ่ง มีอำนาจ ร่ำรวย เป็นฮ่องเต้ บอกแบบนี้ได้ไหม? 

 

 

 

 

 

นางฉีกยิ้มออกมา “ข้าใฝ่ฝันให้แผ่นดินสงบสุข ฝ่าบาททรงพระเจริญไปตลอดกาล” 

 

 

วิญญาณทมิฬ “…….” ปากของสตรี เชื่อก็เป็นผีแล้ว ดูเอาเถอะ ถึงกับทำให้เจ้าฮ่องเต้นั่นประทับใจเข้าแล้ว แทบจะแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮา ยกเจ้าเป็นมาดารของแผ่นดินเสียตอนนี้เลย 

 

 

จีเฉวียนชะงักไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าที่นางพูดออกมาเป็นเพียงคำพูดทั่วไปในราชสำนัก แต่ในพระทัยก็ยังอดที่จะประทับใจไม่ได้ “ความใฝ่ฝันนี้ เราจะทำให้เป็นจริงเอง” 

 

 

“ตอนนี้เราอยากรู้ความใฝ่ฝันของตัวเจ้า” 

 

 

“ร่ำรวย” ตู๋กูซิงหลันตอบอย่างไม่ต้องคิด จากนั้นก็หันศีรษะไปทางเขา ตอบอย่างจริงจังว่า “ฝ่าบาทเพคะ ที่พวกเรามาครั้งนี้ ก็ไม่ใช่เพื่อความร่ำรวยหรอกหรือ?” 

 

 

“ดังนั้น ในตอนนี้ พวกเราวางความสัมพันธ์ฉันท์มารดาและบุตรเอาไว้ด้านข้างก่อนชั่วคราว ร่วมมือกันสร้างความร่ำรวยก่อนได้หรือไม่? ช่วยกันเพื่อชัยชนะ อย่าได้ทำให้เสียเปล่าอย่าพึ่งงัดข้อกัน?” 

 

 

“ทุกสิ่งในที่นี่ล้วนลึกลับและแปลกประหลาด จากแผนที่ครึ่งใบที่ข้าได้เห็นมา ขุมทรัพย์ของแคว้นเซอปี่ซือซ่อนอยู่ในทะเลสาบบนภูเขาลูกหนึ่ง พระองค์ลองคิดดูสิเพคะ ในทะเลทรายจะมีความเป็นไปได้ที่จะเจอภูเขาสักเท่าไหร่กัน? บนยอดเขามีทะเลสาบจะเป็นไปได้สักแค่ไหน?” 

 

 

โดยทั่วไปแล้ว ในทะเลทรายย่อมไม่มีภูเขาปรากฏขึ้น 

 

 

แผนที่แผ่นนั้นวาดขึ้นมาอย่างปราณีต แต่นอกจากสร้างจากหนังมนุษย์แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษอีก 

 

 

จีเฉวียนเห็นนางอยากร่ำรวยอย่างจริงจัง ทั้งยังนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ริบสมบัติของนางไปไม่น้อย ยามนี้ในพระทัยอดที่จะเกิดความละอายขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

ทั้งยังเพิ่มพูนความชื่นชอบขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งอย่างเงียบๆ 

 

 

ดูสิ ตอนนี้พวกเขามีสิ่งที่ชื่นชอบเหมือนๆ กันเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างแล้วไม่ใช่หรือ? 

 

 

ต่างก็รักสมบัติ นี่เป็นเรื่องดี 

 

 

รอให้นางยอมรับรักเขาเมื่อไหร่ ค่อยยกท้องพระคลังให้นางคอยดูแล เท่านี้ก็เท่ากับว่าได้ช่วยให้ความใฝ่ฝันที่จะร่ำร่วยของนางสำเร็จแล้ว 

 

 

เขาตรัสพลาง ก็จัดแจงให้ตู๋กูซิงหลันนอนลง 

 

 

กระโจมที่เหล่าองครักษ์สร้างขึ้น เหนือศีรษะเว้นช่องว่างเอาไว้ ช่วงหนึ่ง ด้านบนสุดติดตั้งกระจกใส ทำให้สามารถมองเห็นดวงดาวยามค่ำคืนได้อย่างชัดเจน 

 

 

ริมพระกรรณได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆ ของตู๋กูซิงหลัน พระองค์ก็มิได้ตรัสสิ่งใดอีก เพียงแต่ชมดาวในยามค่ำคืนเป็นเพื่อนนาง 

 

 

เส้นผมของทั้งคู่กระจายอยู่ใต้ร่าง แทบจะพันเข้าด้วยกัน 

 

 

ภายใต้แสงดาวสุขสว่าง ช่างเป็นภาพที่งดงามนัก 

 

 

ครู่ต่อมา จีเฉวียนอยู่ๆ ก็คล้ายจะเข้าใจอะไรขึ้นมา ที่ในหนังสือบรรยายถึงสายลมเคล้าคลอบุปผาใต้แสงดาว วันเวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบ ดูท่าคงจะหมายถึงสถานการณ์เช่นนี้เอง 

 

 

“งดงามมาก” เขาใช้มือข้างหนึ่งรองศีรษะเอาไว้ มองดูดวงดาวและตู๋กูซิงหลัน พลางเสริมขึ้นอีกประโยค “เราหมายความว่า ดวงดาวงดงามมาก” 

 

 

ซิงหลันยิ่งงามกว่า 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “หม่อมฉันไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย ฝ่าบาท ข้าเห็นแล้ว” 

 

 

ท้องฟ้าที่มีดวงดาวพร่างพราวเช่นนี้ราวกับภาพที่โทรทัศน์ในโลกปัจจุบันเผยแพร่ออกมา ยิ่งมองก็รู้สึกว่าตัวเองใกล้ลอยขึ้นไปในอากาศแล้ว 

 

 

จีเฉวียน “…….” 

 

 

…………………… 

 

 

 

 

 

ในกระโจมอีกหลัง หยวนเฟยกับตู๋กูเจวี๋ยต่างลืมตาโตมองกันไปมา 

 

 

ไม่รู้ว่าทำไม งูเขียวน้อยของนางก็เข้าไปซุกในอ้อมอกของตู๋กูเจวี๋ยอย่างไม่ห่วงศักดิ์ศรีอีกแล้ว เอาแต่ไปพัวพันอยู่บนตัวเขา 

 

 

หยวนเฟยยิ่งรู้สึกว่าตนเองถูกหยามหมิ่นเข้าแล้ว 

 

 

ฮ่องเต้จีเฉวียนมิได้ทรงถือว่านางเป็นอิสตรีเลยแม้แต่น้อย ใต้หล้านี้ จะมีใครที่ไหนให้พระสนมและขุนนางนอนร่วมกระโจมภายใต้หนังตาของฮ่องเต้กัน? 

 

 

ที่ด้านนอกมีองค์รักษ์ลับตั้งมากมาย จะตั้งกระโจมเพิ่มขึ้นอีกหลังไม่ได้หรือไง? 

 

 

หยวนเฟยกอดข้องไม้ไผ่ใบน้อยเอาไว้ ด้วยทีท่าแม้ตายก็ไม่ยินยอม [1]  

 

 

“พระสนมหยวนเฟยพะยะค่ะ กระหม่อมเป็นขุนนางที่เที่ยงแท้ ไม่แม้แต่จะแอบมองพระองค์สักนิด ไหนเลยจะมีความคิดสกปรกขึ้นมาได้?” 

 

 

ถึงตู๋กูเจวี๋ยจะมีสมองเป็นท่อนไม้ก็ยังมิได้โง่สักเท่าไร 

 

 

เขามองความอึดอัดใจของหยวนเฟยออก จึงรีบสร้างความกลมเกลียว 

 

 

“ฝ่าบาททรงประทานอนุญาตให้พวกเราอยู่ร่วมกัน ก็เพราะทรงเข้าพระทัยในตัวกระหม่อมเป็นอย่างดี ทรงทราบว่ากระหม่อมไม่มีทางกระทำสิ่งใดที่เป็นความไม่เคารพพระสนม” 

 

 

“เอาเถอะ เอาะเถอะ ข้ารู้แล้ว” หยวนเฟยได้แต่สะบัดแขนเสื้อไปมา กลัวว่าเขาจะยังคงพูดพล่ามต่อไป 

 

 

ถึงแม้ว่าคนที่อยู่ที่นี่ในคืนนี้จะเป็นตู๋กูเจวี๋ย….สำหรับนางแล้วก็เป็นบรรยากาศที่ต่างไปอีกแบบหนึ่ง 

 

 

ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่เป่ยเจียง ยังสบายดีอยู่ไหม? 

 

 

ในใจของเขายังคงเอาแต่คิดถึงองค์หญิงใหญ่หรือไม่? 

 

 

ช่วงนี้ในแดนเป่ยเจียงมีสงครามทั้งใหญ่และเล็กอีกแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บบ้างหรือเปล่านะ? 

 

 

ประเด็นสำคัญคือ…..ขนหน้าอกหล่นหายไปบ้างหรือไม่? 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยที่ถูกรังเกียจรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนต้องมานั่งลูบศีรษะของงูเขียวน้อย อยู่ๆ เขาก็คิดถึงช่วงเวลาที่เขาถูกขังเอาไว้ในคุกใต้ดินของอารามเทพธิดาขึ้นมา 

 

 

ถึงแม้ว่าจะถูกปฏิบัติอย่างย่ำแย่ แต่ว่าชือหลีก็ยินยอมฟังเขาพูด ทั้งยังไม่กล่าวขัด 

 

 

เขาพูดอยู่นานถึงครึ่งเดือน ชือหลีก็ไม่เคยมีโมโห หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เกรงว่าคงจะเย็บปากเขาไปนานแล้ว 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยคิดๆ ดูแล้ว ก็ตัดสินใจจะลักพาตัวงูเขียวน้อยของหยวนเฟย จากนั้นก็เอาไปเลี้ยงดูให้ดี ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถกลายเป็นงูที่เป็นผู้ฟังที่ดีอย่างชือหลีก็เป็นได้นะ? 

 

 

พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาก็มองเจ้างูเขียวน้อยด้วยสองตาที่เป็นประกาย ทำเอาหวังฉายถึงกับหางแข็งค้าง เกือบจะสลบไปแล้ว 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] 誓死不屈 [shì sǐ bù qū]