บนแผนที่ของต้าถัง หลิ่งหนานเป็นดินแดนที่มีอยู่เป็นกรณีพิเศษมาโดยตลอด หลังจากฉินสื่อฮ่องเต้ส่งกองทัพไปยึดแดนหลิ่งหนานมาได้นั้น ในที่สุดดินแดนที่แห้งแล้งอันคับแคบที่ปิดตายก็ถูกเปิดออก ชาวฮั่นสามแสนคนก็หลั่งไหลเข้ามา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
เมื่อมองดูจำนวนเมืองอันน้อยนิดที่มีไม่กี่แห่งบนแผนเขตหลิ่งหนาน อวิ๋นเยี่ยมักจะลืมตัวคิดถึงสุภาษิตที่โด่งดังประโยคนั้นว่า ‘ในน้ำมีปลาในนามีข้าว[1] เมืองใหญ่ๆ ที่เจริญรุ่งเรืองเหล่านั้นตอนนี้ยังคงเป็นภูเขาสูงและแหล่งน้ำอยู่เลย พื้นที่แถบหูหนานและหูเป่ยยังถูกทางการมองว่าเป็นเส้นทางที่อันตราย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมณฑลกวางตุ้งและกว่างซีที่อยู่ห่างไกลออกไปอีก การดำรงอยู่ของราชสำนักในพื้นที่บริเวณนั้นมีแต่ในนามเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วการปกครองดินแดนแถบนั้นก็ยังคงเป็นราชาแห่งท้องถิ่นและชนกลุ่มน้อยที่ปกครองที่นั่นอยู่
ต่างที่ต่างถิ่นย่อมมีประเพณีที่แตกต่างกัน แต่ละชนเผ่าก็เป็นแคว้นเล็กๆ แคว้นหนึ่ง บรรพบุรุษของพวกเขาทุกรุ่นอาศัยอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร ตัดขาดจากโลกภายนอก ทำไร่ไถนากันเองด้วยระบบพึ่งพาตนเองและอยู่อย่างพอเพียง หากบอกว่าแดนกวนจงของต้าถังเป็นดินแดนที่ก้าวหน้าที่สุดด้านการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมแห่งยุคนี้ ในพื้นที่ที่ก้าวหน้าที่สุด เช่นนั้นเขตหลิ่งหนานในตอนนี้ก็ยังคงอยู่ในยุคสังคมดั้งเดิมทำการเกษตรแบบไร่เลื่อนลอย
ปริมาณน้ำที่อุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำฉางเจียงในยุคนี้ทำให้เกิดปริมาณน้ำจำนวนมากในบริเวณทะเลสาบทั้งสอง สามารถกล่าวได้ว่ามีแต่แหล่งน้ำอยู่ทุกหนทุกแห่ง อากาศพิษในป่าเขตร้อนกระจายตัวไปทั่วถิ่นทุรกันดาร ไม่ต้องพูดถึงว่าผู้คนไม่เหมาะที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ แม้แต่สัตว์ป่าก็เลือกที่จะไปจากที่นี่
สถานที่จำนวนไม่มากที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของมนุษย์นั้นก็ถูกพวกคนป่าแคระแกรนเหล่านี้ครอบครองไปหมดแล้ว หากอวิ๋นเยี่ยอยากจะพัฒนาหลิ่งหนานก็จำเป็นที่จะต้องหาวิธีการอื่น มีเพียงถูกเนรเทศเท่านั้นจึงจะไปที่หลิ่งหนาน คนปกติดีมีใครจะไปสถานที่ห่วยแตกเช่นนี้กัน
แดนกวนจงนั้นเดิมก็มีประชากรมากเกินไปตั้งแต่แรกแล้ว ผืนดินแห่งนี้ก็แห้งแล้งไม่อุดมสมบูรณ์เพราะผ่านการเพาะปลูกเป็นพันๆ ปี ไม่ช้าก็เร็วระบบการแบ่งที่ดินของต้าถังตามจำนวนสมาชิกครอบครัวก็จะแบ่งดินแดนในแดนกวนจงราวกับหั่นแบ่งแตงไปจนหมดสิ้น เว่ยเจิงเป็นคนแรกที่เสนอความคิดในการโยกย้ายผู้คนจากแดนกวนจงไปเพิ่มเติมที่บริเวณชายแดน ทันทีที่ความคิดนี้ถูกเสนอออกมาก็โดนล้มเลิก ทั้งยังถูกผู้คนจำนวนมากรุมเหยียบอีกด้วย
เว่ยเจิงผู้องอาจผึ่งผายหลังจากที่ไม่ได้รับการสนับสนุนแม้แต่คนเดียว ก็ต้องยอมแพ้ละทิ้งแนวคิดที่มองการณ์ไกลข้อนี้ไป
ประชากรของต้าถังนั้นน้อยเกินไป ยังมีไม่ถึงสองล้านแปดแสนครัวเรือนเลย ซึ่งทางเหนือนั้นมีประชากรสองล้านครัวเรือน ส่วนที่เหลืออีกแปดแสนครัวเรือนกระจายตัวอยู่ในทุ่งกว้างของเมืองต้าถังที่กว้างใหญ่ไพศาล
พวกราชาแห่งแดนเถื่อนเหล่านั้นน่าสนใจมาก ไม่รู้ว่าไปเรียนรู้มาจากที่ไหน ขอเพียงเรียกตนเองว่าเป็นข้าราชสำนักของฮ่องเต้แห่งจงหยวนก็จะได้รับผลประโยชน์ไม่รู้จบ ที่จริงแล้วนี่ก็เป็นเรื่องจริง ฮ่องเต้มักจะดีต่อดินแดนที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของตัวเองแล้วยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดีมากเป็นพิเศษอยู่เสมอ
เหล่าขุนนางก็จะคิดว่านี่เป็นผลงานจากการปกครองอย่างมีวัฒนธรรม ซึ่งน่ายกย่องกว่าการใช้กำลังทางทหารยึดครองได้ ที่กล่าวกันว่าหากฮ่องเต้ปกครองด้วยทศพิศราชธรรม ใต้หล้านี้ก็จะมีคนมาสวามิภักดิ์จากทั่วทุกสารทิศ เป็นคำพูดที่แปลกมาก
แม้ว่าจะไม่เข้าใจความหมายของวลีในตำราพิชัยยุทธ์ที่ว่า ‘ทหารที่ยอมแพ้โดยไร้สงคราม’ แต่อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าในสมัยราชวงศ์ศักดินา การตัดสินใจขั้นสุดท้ายก็คือสงครามอย่างแน่นอน บางทีที่ว่าทหารที่ยอมแพ้โดยไร้สงครามอาจเป็นเคล็ดลับสุดยอดของนักการทหารก็เป็นได้ แต่ก็มีตัวอย่างแห่งความสำเร็จที่มีหลักฐานให้ตรวจสอบอยู่น้อยมากจริงๆ
จะต้องไม่มีใครในราชสำนักที่จะเห็นด้วยกับความคิดที่เบาปัญญาในการส่งกองกำลังไปบุกยึดหลิ่งหนานแน่ หลังจากใช้เงินและชีวิตจำนวนมากไปแล้ว สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นเพียงพื้นที่รกร้างขนาดใหญ่ที่แม้แต่ผีก็ไม่อยากมา ยกเว้นฉินสื่อฮ่องเต้ที่มีใจอยากรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง ก็ไม่มีใครอยากจะทำสงครามเพื่ออุดมคติ
หลี่อันหลานแม้แต่ในฝันก็อยากที่จะได้เป็นเจ้าของโลกที่เป็นของตัวเอง และเพื่อที่จะแสดงออกถึงความประสงค์ของนางออกมาอย่างชัดเจนที่สุด นางจึงไม่เสียดายเลยที่จะแลกด้วยทุกอย่างของนาง
อย่างเช่นนางไม่มีอำนาจคุกคามเหมือนอวิ๋นเยี่ย ที่จริงนางก็ไม่ได้ถึงกับจะปฏิเสธเหมิงฉาเสียทีเดียว ค่ำคืนที่พายุฝนฟ้าคะนองทำให้นางหวาดกลัวจนสุดขีด ทำให้นางเข้าใจว่าแท้จริงแล้วนางไม่มีอะไรเลย ขอเพียงแค่มีคนสามารถทำให้ความฝันนางเป็นจริงได้ นางก็ไม่อยากพลาดโอกาสนั้นไป
บางทีอวิ๋นเยี่ยอาจเป็นคนฉลาด แต่กลับเป็นคนฉลาดที่ไม่มีความทะเยอทะยาน ในใจมีแต่สำนักศึกษาของเขาและยอมอยู่เลี้ยงหมูในเขาอวี้ซันมากกว่าที่จะก้าวเข้าสู่ราชสำนัก ซึ่งนี่ทำให้หลี่อันหลานผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่นางแสวงหา อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถให้นางได้
นับตั้งแต่ไหว้วานเรื่องนี้ให้กับอวิ๋นเยี่ย หลี่อันหลานก็ผ่อนคลายลงอย่างแท้จริง จึงเริ่มเตรียมพร้อมกับเสี่ยวหลิงตังสำหรับการเดินทางไกล
ขณะที่อวิ๋นเยี่ยมองดูแผนที่อย่างเหม่อลอยนั้น ถังเจี่ยนกำลังสั่นเทา เหล่าราชาแห่งแดนเถื่อนพวกนั้นกำลังขว้างปาข้าวของทุกอย่างที่สามารถทำลายได้ในห้องพักด้วยความโกรธแค้น บรรดาเครื่องปั้นดินเผาที่เมื่อวานนี้พวกเขายังชอบจนไม่ยอมวางมือทยอยแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่เต็มพื้น
เหมิงฉาเขย่าประตูห้องตะโกนเสียงดัง บอกให้ถังเจี่ยนนำหญ้าลืมทุกข์ที่เขาเอาไปมาคืนตน เหงื่อสีเหลืองจางๆ ซึมจนเสื้อผ้าเปียก ใบหน้าที่ดำเข้มเริ่มดุร้ายและบ้าคลั่ง
ถังเจี่ยนที่ยืนอยู่ในลานบ้านหลับตาลง อาการวิงเวียนที่มาเป็นระลอกทำให้เขาแทบจะยืนไม่อยู่ โงนเงนจนต้องให้เจ้าหน้าที่ช่วยพยุงไปนั่งบนแคร่เตี้ยๆ ใต้ชายคา
เสียงคำรามในห้องค่อยๆ ลดลงกลายเป็นเสียงร้องขอวิงวอน จากการแปลของล่าม ข้อมูลที่ถังเจี่ยนได้รับนั้นไม่ได้แตกต่างอะไรกับที่อวิ๋นเยี่ยอธิบายเอาไว้เลย เพื่อที่จะได้หญ้าลืมทุกข์ ราชาแห่งแดนเถื่อนเหล่านั้นเสนอเงื่อนไขแต่ละข้อที่ถังเจี่ยนแม้แต่จะฝันก็ยังไม่กล้าคิดออกมา
“การมีชีวิตอยู่อย่างตายทั้งเป็น นี่คือดอกอเวจี นี่เป็นดอกอเวจีจริงๆ มีเพียงปีศาจร้ายเท่านั้นที่สามารถเพาะเลี้ยงสิ่งที่เลวร้ายนี้ได้” แผ่นหลังของถังเจี่ยนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เมื่อเข้าห้องโถงลมพัดผ่านกลับรู้สึกหนาวไปทั้งร่าง
จึงเรียกคนรับใช้และสั่งว่า “กลับไปหาฮูหยิน บอกให้นางนำหยกจันทร์เสี้ยวออกมาและใช้กล่องที่ดีที่สุดบรรจุมันลงไป ให้ซ่านสือส่งไปที่ตระกูลอวิ๋นด้วยตนเอง พิธีรีตองต่างๆ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะต้องให้อวิ๋นโหวรับไว้ให้ได้”
คนรับใช้ประหลาดใจมาก หยกจันทร์เสี้ยวเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของนายท่านเสมอมา โดยปกติไม่ยอมให้ใครได้เห็นเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้กลับจะมอบมันให้คนอื่นด้วยความเคารพนบนอบ จึงเงยหน้ามองดูเจ้านายของตัวเอง เห็นเจ้านายหลับตาลงไม่กล่าวอะไร จึงได้แต่โค้งคำนับแล้วรีบกลับบ้านเพื่อบอกข่าวแก่แม่เฒ่า
คนรับใช้ไม่ได้สังเกตเห็นนิ้วก้อยของเจ้านายเขาที่กำลังสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา
พอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว จากนั้นถังเจี่ยนก็บรรจุฝิ่นชิ้นใหญ่ลงในกล่องไม้และสั่งให้เจ้าหน้าที่ล้อมสถานที่พักรับรองนี้ไว้ ห้ามไม่ให้นกบินออกมาแม้แต่ตัวเดียว ส่วนตนเองนั้นขึ้นรถม้ารีบมุ่งหน้าเข้าวัง
เมื่อมองไปยังฝิ่นในกล่อง หลี่ซื่อหมินก็ไม่แสดงอาการแปลกใจอะไรมากนัก บอกกับถังเจี่ยนว่า “อ้ายชิง คิดมากไปแล้ว ถ้าหากพวกเจ้ามอบให้เรา เมื่ออาการปวดศีรษะของเรากำเริบเราจะต้องใช้ยาวิเศษนี้อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าแผนการร้ายนี้จะประสบความสำเร็จ แต่พวกเขากลับใช้ลิงพื้นเมืองหลายตัวนี้มามอบยาให้เรา เจ้าคิดว่าเราจะให้พวกเขาได้สมหวังอย่างนั้นหรือ”
ครั้นเหลือบมองถังเจี่ยนที่ยังคงตัวสั่นเทาด้วยความกลัว หลี่ซื่อหมินจึงปลอบใจอย่างอ่อนโยน
“เรื่องนี้ต้องถือเป็นความผิดพลาดของหน่วยข่าวกรอง หาได้เกี่ยวกับอ้ายชิงไม่ อ้ายชิงสามารถเปิดโปงเรื่องนี้ทั้งที่ยังมีภารกิจรัดตัวได้ เห็นได้ว่าคำประเมินที่ว่าละเอียดพิถีพิถันที่มอบให้เจ้านั้น เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งแล้ว มีถังชิงอยู่ เราก็ไร้ซึ่งความกังวลแล้ว”
“ฝ่าบาททรงประเมินกระหม่อมสูงเกินไปแล้ว เรื่องนี้เป็นองค์หญิงอันหลานเปิดโปงได้เป็นคนแรก กระหม่อมเพียงแค่นั่งรอผลสำเร็จของมันเท่านั้นเอง ขอฝ่าบาททรงมีพระราชโองการเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่องค์หญิงด้วย”
ถังเจี่ยนยังคงมีความน่าเชื่อถืออยู่มาก สิ่งที่สัญญากับอวิ๋นเยี่ยไว้สามารถทำสำเร็จได้อย่างละเอียดรอบคอบ
“อันหลานเป็นคนแรกที่เปิดโปงเรื่องนี้รึ เป็นไปได้อย่างไร นางอยู่ในวังมานาน นางจะรู้จักของสิ่งนี้ได้อย่างไร แม้แต่เราก็ยังได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก แล้วนางจะรู้ได้อย่างไร ถังชิง ไม่ต้องยกความดีความชอบให้ผู้อื่น ที่แท้แล้วเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ รีบพูดมาโดยเร็ว”
“หลานเถียนโหวอวิ๋นเยี่ยมาเป็นแขกที่หงหลูซื่อแล้วพบของสิ่งนี้เข้าโดยบังเอิญ จึงได้บอกเรื่องนี้กับกระหม่อม ทั้งยังใช้เรื่องนี้มาข่มขู่และหลอกเอาหยกจันทร์เสี้ยวที่เป็นสมบัติประจำตระกูลของกระหม่อมไปด้วย สุดท้ายบอกกระหม่อมว่าเรื่องนี้องค์หญิงเป็นผู้พบเข้า ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา “
หากว่าอวิ๋นเยี่ยอยู่ที่นี่ ถังเจี่ยนจะต้องถูกบีบคอตายทั้งเป็นเพื่อระบายความโกรธของเขาอย่างแน่นอน
“หึๆ ไปที่หงหลูซื่อของเจ้าเพื่อเป็นแขกหรือ เกรงว่าจะไปฆ่าเหมิงฉาให้ตายเสียมากกว่า ลูกสาวจอมซื่อบื้อคนนั้นมีหรือจะรู้จักของสิ่งนี้ได้ ทั้งยังหาใครสักคนมารับความดีความชอบไปอย่างขอไปที เห็นว่ารางวัลของต้าถังจากข้าใครๆ ก็สามารถรับแทนกันได้หรือ ถังชิง เจ้าถอยออกมา เรื่องนี้มอบหมายให้หน่วยข่าวกรองเป็นผู้จัดการ เจ้านำตัวนักโทษทั้งหมดส่งให้หงเฉิง ระยะนี้หน่วยข่าวกรองก็หละหลวมเกินไปแล้ว”
หลังจากออกจากตำหนักไท่จี๋แล้ว ถังเจี่ยนก็ถอนหายใจออกยาวๆ คำพูดในการตะล่อมถามของหลี่ซื่อหมินทำให้เขาไม่กล้าปิดบังอะไรเลยแม้แต่น้อย ในใจก็กล่าวขอโทษอวิ๋นเยี่ย เพียงแต่เมื่อคิดถึงหยกจันทร์เสี้ยวที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ความรู้สึกผิดนั้นก็จมหายไปอยู่ใต้ความเจ็บปวดสุดขั้วหัวใจนั้นในทันที
ในฐานะวิศวกร อวิ๋นเยี่ยชอบดูสถานที่ก่อสร้างที่ร้อนแรงดุเดือดมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมงานก่อสร้างของตระกูลอวิ๋นที่ทำงานได้อย่างมีระบบ เป็นสิ่งที่ดูได้นานไม่มีวันเบื่อมากที่สุด
คนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นสวมกางเกงขายาวเสื้อแขนสั้นที่ทำจากผ้าหยาบ ทำงานยุ่งอยู่ตลอดเวลาในสถานที่ก่อสร้าง บางคนกำลังขุดบ่อน้ำซึ่งก็เพื่อเป็นการเตรียมน้ำสำหรับใช้ในสถานที่ก่อสร้าง เนื่องจากมีบางส่วนเป็นซีเมนต์ จึงจำเป็นต้องใช้น้ำในปริมาณมากในการสร้างอาคารในตอนนี้ ภูมิประเทศของฉางอันนั้นค่อนข้างสูง ไม่ง่ายเลยกับการจะเจาะบ่อน้ำสักบ่อ อีกทั้งบ่อน้ำส่วนใหญ่ที่ขุดขึ้นมาได้ก็มีรสเค็ม ไม่สามารถดื่มได้ ดังนั้นในฉางอัน บ้านที่มีบ่อน้ำดีที่ดื่มได้จะมีราคาสูงกว่าบ้านอื่นมากถึงหนึ่งเท่าตัว
แม่น้ำจินสุ่ยเหอเส้นนั้นหลังจากที่ไหลผ่านเมืองฉางอันกว่าครึ่งเมืองก็จะมีสิ่งปนเปื้อนตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาน้ำเน่าเสียของแต่ละครัวเรือนของผู้คนในฉางอันมักจะระบายลงไปในแม่น้ำก็เป็นอันหมดเรื่อง จนทำให้เมืองฉางอันกว่าครึ่งเมืองส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั่ว สามารถเทียบได้กับคูน้ำหลงซวีที่ปักกิ่งในยุคปัจจุบันเลย
สิ่งที่น่ากลัวก็คือกลับยังมีคนจำนวนมากพึ่งพาน้ำในคูน้ำเหม็นเน่านี้เพื่อนำมาซักผ้า อาบน้ำ ทำอาหาร อวิ๋นเยี่ยเห็นกับตาว่าคนที่อยู่ต้นน้ำกำลังล้างถังอุจจาระ คนที่อยู่ปลายน้ำกำลังล้างผักในแม่น้ำเพื่อทำอาหาร
จึงเอามือปิดปากและหันกลับไปมองคนรับใช้ของที่บ้าน คนรับใช้ที่รู้ใจเจ้านายจนทะลุปรุโปร่งมานานแล้วมองดูคนล้างผักในน้ำสกปรกอย่างดูถูก พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย หากว่าพวกเราก็ให้ท่านดื่มน้ำสกปรกนี้ พวกข้าน้อยก็สมควรจะถูกลากออกไปโบยจนตายทั้งเป็น น้ำที่พวกเจ้านายดื่มกันเป็นน้ำมาจากรถขนน้ำของพวกเราที่ไปตักน้ำจากตาน้ำพุทุกวันจากนอกเมือง แม้แต่น้ำที่พวกข้าน้อยดื่มก็ยังเป็นน้ำจากบ่อน้ำในบ้าน กฎของตระกูลเราคือน้ำที่ไม่ได้ต้มจะไม่ดื่ม ใครจะเหมือนพวกเขา น้ำอะไรก็นำมาดื่มได้ ข้าน้อยเคยเห็นพวกเขาดื่มน้ำฝนจากรอยกีบเท้าลาด้วย ฝูงผีโสโครก”
ตอนนี้คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นมีเหตุผลเพียงพอที่จะหัวเราะเยาะเพื่อนบ้านของพวกเขาแล้ว ชุดทำงานสามชุดต่อปี ซึ่งก็คือชุดผ้าฝ้ายที่คนรับใช้ชายใส่ มีชุดในฤดูใบไม้ผลิ ชุดในฤดูร้อนและแจ็คเก็ตหนังในฤดูหนาว ไม่ใช่อะไรที่ครอบครัวเล็กๆ ยากจนที่เสื้อผ้าหนึ่งชุดต้องใส่ตั้งหลายปีเหล่านั้นจะสามารถมาเปรียบเทียบได้
นอกจากกฎที่ค่อนข้างเยอะไปหน่อยจนทำให้ผู้คนไม่ค่อยคุ้นเคย เช่น ห้ามดื่มน้ำดิบ ห้ามถ่มน้ำลายตามพื้น ต้องอาบน้ำทุกๆ สามวัน หลังจากลงโทษไปหลายคนแล้ว คนรับใช้เพื่อที่จะไม่โดนเจ้านายริบเงินคืนก็ค่อยๆ กลายเป็นนิสัยที่เคยชิน ตอนนี้แม้ว่าจะกระหายน้ำเพียงใดก็ไม่มีใครไปดื่มน้ำดิบ ไม่ว่าจะเหนื่อยเพียงไหนก็ต้องอาบน้ำ ตอนนี้เมื่อพบคนรู้จักเก่าก่อนที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมแล้วก็ไม่อยากจะทักทายเพราะกลัวว่าจะเสียราคาตนเอง
ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่โรคระบาดในเมืองฉางอันจะไม่เคยหายขาดไปเสียที เท่าที่มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ก็มากถึงสิบหกครั้งแล้ว
ชาวบ้านของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นไม่มีนิสัยในการดื่มน้ำดิบ ที่บ้านจะส่งน้ำเย็นไปยังสถานที่ก่อสร้าง แต่ละคนจะมีกระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่ซึ่งเติมน้ำให้เต็มพอสำหรับใช้ในหนึ่งวัน ชาวบ้านในชนบทเหล่านี้ก็เริ่มที่จะเหยียดหยามผู้คนที่ก่อนหน้านี้ชอบเดินเชิดหน้าอยู่ในเมืองขึ้นมาแล้ว
——
[1] ในที่นี้ หมายถึง พื้นที่บริเวณแถบหูหนานและหูเป่ย