ในตรอกฉินเสียนฟางที่อยู่ใกล้ๆ ตลาดซีซื่อมีอยู่ครอบครัวหนึ่งที่แซ่โจว ผู้นำของครอบครัวชื่อโจวต้าฝูเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงอันโด่งดังด้านการทำชิ้นเนื้อปลาดิบในตลาดซีซื่อ เข้านอกออกในกับพวกตระกูลใหญ่ แต่ไหนแต่ไรเป็นสถานที่สำหรับจัดเลี้ยงดื่มฉลอง ทุกครั้งที่มีแขกมาเยือน เจ้าของตระกูลก็จะขอให้โจวต้าฝูเป็นผู้ออกโรงแสดงฝีมือ มีดบินเฉือนกระเพาะเป็นฝีมือที่ยอดเยี่ยม ปลาหลีฮื้อจากแม่น้ำหวงเหอแสนอร่อยที่ยังดิ้นพราดๆ อยู่ถูกส่งมาที่โต๊ะอาหาร ถูกขอดเกล็ด ควักอวัยวะภายในทิ้งในเวลาชั่วพริบตา
ปลาหลีฮื้อนั้นมีกระดูกเยอะและปลาหลีฮื้อจากแม่น้ำหวงเหอเหม็นกลิ่นดินเป็นอย่างมาก โจวต้าฝูใช้มีดคมตัดชิ้นเนื้อปลาและใช้ตะขอเกี่ยวก้างออกมา แม้แต่ก้างอ่อนเล็กบางราวกับขนสัตว์ก็ถูกดึงออกมาจนหมด นี่เป็นเคล็ดลับประจำตระกูลโจวที่ไม่ถ่ายทอดให้ใคร แม้ครอบครัวอื่นจะสามารถทำชิ้นเนื้อปลาดิบได้เช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับชิ้นเนื้อปลาดิบของตระกูลโจวแล้ว ระดับห่างกันฟ้ากับเหว ชิ้นเนื้อปลาดิบที่โจวต้าฝูหั่นออกมานั้นบางเหมือนกระดาษ ขาวดุจเมฆ ชิ้นเนื้อละเอียดประณีต เมื่อวางร่วมกับต้นหอมซอยฝอย น้ำขิงซอสเปรี้ยว เมล็ดผักกาดเขียวบดละเอียดแล้วผสมน้ำให้เป็นมัสตาร์ดเพื่อเป็นน้ำจิ้ม ทำให้ผู้ที่ทานรู้สึกซาบซ่านไปร่างราวกับว่าล่องลอยได้ดั่งเทพเซียน
วันนี้โจวต้าฝูปฏิเสธคำเชิญของทุกคนและกำลังแล่เนื้อปลาดิบให้กับชายหนุ่มคนหนึ่งในลานหลังบ้านด้วยความตั้งใจทุ่มเทมากกว่าปกติมากนัก เมื่อหั่นเนื้อปลาเสร็จ ปากของปลาก็ยังคงขยับพงาบๆ อยู่
ชายหนุ่มคีบเนื้อปลาขึ้นหนึ่งชิ้นและจิ้มมัสตาร์ด แล้วส่งเข้าปาก หลับตาและเคี้ยว สีหน้าแสดงออกถึงความพอใจเป็นอย่างมาก คีบกินไปสามคำ ดื่มเหล้าอีกหนึ่งจอกแล้วจึงวางตะเกียบลง พูดกับโจวต้าฝูว่า “ฝีมือเจ้าพัฒนาขึ้นอีกแล้ว ความสดของปลา ความเหนียวนุ่มของเนื้อ ก็ยังคงรักษาไว้ได้เหมือนเดิม ยอดฝีมือจริงๆ”
โจวต้าฝูที่ยืนอยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินคำชื่นชมของชายหนุ่ม ความเย่อหยิ่งก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมาโจวต้าฝูพออกพอใจกับฝีมือของตนเองเป็นอย่างมาก ค้อมกายแล้วเดินขึ้นมาข้างหน้าแล้วเลื่อนชิ้นเนื้อปลาดิบเข้าหาชายหนุ่มให้ชิดอีกหน่อย พูดกับเขาว่า “หากนายท่านชอบมัน ทำไมไม่ทานให้มากกว่านี้อีกสักสองสามคำ”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะและลุกขึ้นยืนเหมือนกับจะพูดกับโจวต้าฝูว่า “อาหารอร่อยมักทำให้คนผ่อนคลาย วันนี้ข้ากินไปสามคำแล้วซึ่งถือว่าไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง ความแค้นของตระกูลยังไม่ได้สะสาง ข้ากลับเคลิบเคลิ้มหลงใหลอยู่กับความสุขในการกิน แล้วภายหน้าจะกล้าไปเผชิญหน้ากับท่านปู่ของข้าในปรโลกได้อย่างไร”
“นายท่านสติปัญญาล้ำลึกสุดหยั่ง คราวนี้จะต้องให้ตระกูลหลี่ชดใช้ค่าเสียหายให้สาสมอย่างแน่นอน ทรราชผู้โหดเ**้ยมคนนั้นหากตกอยู่ภายใต้การครอบงำของหญ้าลืมทุกข์จะทำให้เขาอยู่อย่างตายทั้งเป็น”
ชายหนุ่มสีหน้าไม่ได้มีความยินดีเลย แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พูดกับโจวต้าฝูว่า “การกระทำอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า หวังว่าครั้งนี้ข้าจะประสบความสำเร็จ”
“นายท่านคิดมากไปแล้ว ชาวพื้นเมืองที่สมควรตายเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนโง่ นายท่านเพียงแค่ใช้กลยุทธ์เล็กน้อยก็ทำให้พวกเขาก็เดินเข้ามาติดกับเองแล้ว หญ้าลืมทุกข์นั้นมาจากต่างแดนอันห่างไกล บรรดาชาวหูเองก็ถือว่าเป็นสิ่งของที่หาได้ยาก ข้าไม่เชื่อว่าจะมีใครในฉางอันรู้จักของสิ่งนี้และรู้ถึงที่มาที่ไปของมันด้วย ยาทาหญ้าลืมทุกข์ก็เพิ่งจะถูกค้นพบโดยหมอแม่มดเป็นครั้งแรกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กองคาราวานตระกูลโต้วของข้าครั้งนี้เดินทางไปค่อนข้างไกล จึงได้มาจากชาวเปอร์เซียจำนวนหนึ่ง คิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะมีใครเดินทางไปได้ไกลกว่าตระกูลโต้ว”
ชายหนุ่มกำหมัดแน่นทั้งสองมือแล้วต่อยไปที่ต้นไม้อย่างสุดแรง ไม่มีใครปรารถนาว่าแผนการนี้จะประสบความสำเร็จมากไปกว่าเขาอีกแล้ว
เขาจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาโกลาหลที่ชาวบ้านบุกเข้ามาในบ้านตระกูลโต้วเป็นอันขาด ตระกูลโต้วที่สูงส่งเหนือผู้คนต้องสูญสลายหายไปภายในชั่วพริบตา ท่านปู่ผลักเขาเข้าไปในห้องลับ ใบหน้ายับย่นของชายชราเต็มไปด้วยน้ำตาพูดกับเขาว่า “โต้วเยี่ยนซัน เจ้าเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปของตระกูลโต้วเรา สายเลือดของตระกูลโต้วต้องให้เจ้าช่วยสืบทอดต่อไปแล้ว จำเอาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามออกมาอย่างเด็ดขาด”
ในรูเล็กๆ ของห้องลับนั้น โต้วเยี่ยนซันเห็นท่านปู่ของเขาถูกกองทหารม้าดูถูก เห็นเจ้าจอมวายร้ายโต้วจงที่กำเริบเสิบสานนำผ้าขาวมาผูกคอท่านปู่ที่ชราภาพแล้วก่อนจะค่อยๆ ดึงให้แน่น ท่านปู่ไม่ได้พูดอะไรเลยจนกระทั่งตาย เพียงแค่จ้องมองที่รูของห้องลับตาไม่กะพริบ ปากก็ปลอบโยนเขาอย่างเงียบๆ บอกเขาว่าอย่าออกมา
คุณชายรูปงามคนหนึ่งต้องอยู่ในห้องลับที่มืดสนิทเหมือนสุนัขเป็นเวลาสี่วัน เมื่อทุกคนออกจากตระกูลโต้วที่เหลือแต่ซากปรักหักพังจนหมดแล้ว เขาจึงปีนออกมาจากทางออกของเขาจำลอง
คฤหาสน์อันใหญ่โตหรูหราในอดีตได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว โต้วเยี่ยนซันเห็นด้วยตาตัวเอง ผู้ที่จุดไฟเผาไม่ใช่ชาวบ้านที่ก่อความโกลาหล แต่เป็นพวกเจ้าหน้าที่ทางการ ตั้งแต่วินาทีนั้น โต้วเยี่ยนซันก็รู้ดีว่าฮ่องเต้ต้องการให้ตระกูลโต้วดับสิ้น ไม่ใช่พวกชาวบ้านที่ก่อความโกลาหลโดยไม่มีความคิดเหล่านั้น
การสูญสิ้นของตระกูลโต้วเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของภูเขาน้ำแข็ง ตระกูลที่ยืนยาวนับสหัสวรรษหากไม่มีการเตรียมพร้อมไว้ ไหนเลยจะสามารถรุ่งโรจน์โชติช่วงมาทุกชั่วอายุคน โจวต้าฝูก็เป็นหมากลับตัวหนึ่งที่ตระกูลโต้วหลงเหลือเอาไว้
ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ได้จับมือกับราชาแห่งหลิ่งหนานให้ยอมจำนนต่อต้าถัง ตระกูลโต้วก็เตรียมพร้อมที่จะขยายเมล็ดพันธุ์ไปยังหลิ่งหนาน ความสัมพันธ์กับราชาแห่งหลิ่งหนานนั้นมีความสนิทสนมกลมเกลียวกันเป็นอย่างมาก อาวุธ เสบียงและผู้หญิงล้วนเป็นกุญแจไขประตูใหญ่แห่งหลิงหนานของตระกูลโต้ว ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าตระกูลโต้วแอบทำสิ่งเหล่านี้อย่างลับๆ
การพยายามอย่างหนักมาหลายปีในที่สุดก็เห็นผลแล้ว เป็นความคิดของโต้วเยี่ยนซันที่จะถวายหญ้าลืมทุกข์ให้กับฮ่องเต้ ในฐานะญาติของฮ่องเต้ เขารู้ดีว่าฮ่องเต้เป็นโรคลมชัก เมื่ออาการกำเริบขึ้นมามันจะเจ็บปวดอย่างยิ่ง หญ้าลืมทุกข์ก็คือยาชั้นเลิศไร้ที่เปรียบที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ทรมานนี้ได้ แม้ว่าจะมีผลข้างเคียงที่ไม่ให้ใครรู้ ในฐานะญาติของตระกูลหลี่ เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลข้างเคียงนี้จะรุนแรงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โต้วเยี่ยนซันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นภาพความเจ็บปวดร้องอย่างโหยหวนของหลี่ซื่อหมินเพราะขาดหญ้าลืมทุกข์ไม่ได้อยู่ในวัง นี่เป็นความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาในการมีชีวิตอยู่ต่อ ขอเพียงความปรารถนานี้เป็นจริง ชีวิตนี้ก็ไม่เสียดายอะไรอีกแล้ว
มักจะรู้สึกว่าเหมือนลืมใครบางคนไป โต้วเยี่ยนซันเอามือเขกศีรษะ ใบหน้าที่ยิ้มตาหยีก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าเขา
“พี่อวิ๋น ข้าลืมเจ้าไปได้อย่างไรกัน ไม่สมควรเลยจริงๆ เพื่อผู้หญิงชั้นต่ำคนหนึ่ง เจ้ากลับลงมือด้วยความป่าเถื่อน ทำให้ตระกูลโต้วที่อยู่ดีมีสุขต้องตกนรกขุมสิบแปด เจ้าแน่มาก ถ้าไม่เป็นเพราะกังวลว่าซุนซือเหมี่ยวจะมองความลับของหญ้าลืมทุกข์ออก ข้าจะลืมส่วนของเจ้าได้อย่างไร”
ขณะที่โต้วเยี่ยนซันซึ่งสวมชุดดำทั้งชุดกำลังยืนกัดฟันอยู่ในลานหลังบ้านของโจวต้าฝูนั้น โจวต้าฝูได้ต้อนรับแขกท่านหนึ่งที่มาสั่งชิ้นเนื้อปลาดิบ หลังจากรับแขกเสร็จ โจวต้าฝูก็มาที่ลานหลังบ้านแล้วพูดกับโต้วเยี่ยนซันว่า “นายท่าน วันนี้ประมาณเที่ยง อวิ๋นเยี่ยไปที่หงหลูซื่อ หลังจากได้ของขวัญจำนวนมากก็เดินทางกลับ ซึ่งหนึ่งในของขวัญนั้นมีหญ้าลืมทุกข์ด้วย”
“เขาไปทำอะไรที่หงหลูซื่อ ได้ยินมาว่าเขามีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไรเกี่ยวกับราชสำนักมาโดยตลอด ทำไมเขาถึงไปที่นั่น” โต้วเยี่ยนซันเป็นกังวลมาก เรื่องใดก็ตามแต่ หากเกี่ยวข้องกับอวิ๋นเยี่ยก็มักจะเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงทำให้เขาอดกระวนกระวายใจไม่ได้
“เรียนนายท่าน คราวนี้อวิ๋นเยี่ยไปที่หงหลูซื่อเพราะเรื่องขององค์หญิง ไม่รู้ว่าคราวนี้ฮ่องเต้ทรงคลุ้มคลั่งอะไรขึ้นมาจึงได้ยกองค์หญิงให้อภิเษกกับเหมิงฉา ตามที่คนในวังรายงาน ครั้งนี้อวิ๋นเยี่ยไปเพราะออกหน้าช่วยเหลือองค์หญิง ระหว่างพวกเขามีความสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก จากการวิเคราะห์นิสัยของอวิ๋นเยี่ย เขาอาจจะคิดฆ่าเหมิงฉา” โจวต้าฝูนั้นไม่ว่าอย่างไรก็จะสงบนิ่ง เยือกเย็นและคมกริบเหมือนมือที่ถือมีดของเขา แต่ไหนแต่ไรมาทำอะไรก็จะไม่รวมความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปด้วย ความแม่นยำเป็นทักษะพื้นฐานที่มือมีดที่ดีทุกคนจำเป็นต้องมี
โต้วเยี่ยนซันหัวเราะเสียงดังขึ้นมา เมื่อเขาคิดถึงเหมิงฉาที่เหมือนกับลิงดำก็ไม่ปานกำลังเบียดเสียดอยู่บนเรือนร่างสีขาวราวหิมะของหลี่อันหลานแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา ต้องบอกว่าการลงโทษลูกสาวของหลี่ซื่อหมินนั้นหนักไม่เบา การมีบิดาเช่นนี้โต้วเยี่ยนซันเองก็รู้สึกตกใจในความเลือดเย็นของเขา
อวิ๋นเยี่ยนะอวิ๋นเยี่ย เพื่อความคับแค้นใจในอกของข้านี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะต้องทำให้เหมิงฉาได้แต่งงานกับหลี่อันหลานแน่ แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วข้ามคืนก็ตาม ขอเพียงเรื่องตลกนี้แพร่กระจายออกไป แม้ว่าเหมิงฉาจะถูกเจ้าจับใช้ห้าม้าแยกร่างก็คุ้มค่าแล้ว ข้าอยากจะดูว่าเจ้าจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้อย่างไร
โต้วเยี่ยนซันนั้นลำพองใจ เขาดูถูกปีศาจร้ายอย่างอวิ๋นเยี่ยเกินไป อวิ๋นเยี่ยมีความรู้เพียงพอเกี่ยวกับฝิ่นที่ทำให้คนจีนทั้งประเทศในยุคปัจจุบันต้องเจ็บปวดรวดร้าวสุดใจ เมื่อปีศาจร้ายนี้ถูกปลดปล่อยออกมาก็จะสร้างภัยพิบัติมากมายไม่จบสิ้น
แม้ว่าอากาศจะอุ่นขึ้นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศที่หนาวเย็นก็ยังไม่จางหายเสียหมด ในสภาพอากาศที่ยังต้องสวมใส่เสื้อนอกบุสองชั้นนี้ ถังเจี่ยนก็เหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง สีหน้าซีดเผือด ถ้าหากเป็นจริงอย่างที่อวิ๋นเยี่ยพูด คนตระกูลถังสองร้อยหกสิบกว่าชีวิตอย่าได้หวังจะมีชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว
“อวิ๋นโหว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาล้อเล่น เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะนำมาล้อเล่นด้วย เป็นเรื่องจริงหรือ” ถังเจี่ยนขอหลักฐานจากอวิ๋นเยี่ยอีกครั้ง
“เจ้าเห็นไหม ข้าเริ่มเรียกเจ้าว่าเหล่าถังอย่างอวดดีอีกแล้ว เจ้ายังคิดว่าข้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอยู่หรือ จริงสิ ตอนที่ส่งหยกจันทร์เสี้ยวมาอย่าได้ให้ใครรู้เห็น อีกอย่างเรื่องนี้องค์หญิงเป็นผู้ค้นพบ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า ขณะที่เจ้าตัดศีรษะของเหมิงฉาอย่าลืมเรียกข้ามาร่วมดูด้วย” อวิ๋นเยี่ยนอนเอนและเอียงกายอยู่บนแคร่เตี้ยๆ มือหนึ่งเท้าคางพลางพูดกับถังเจี่ยน
“ข้าจะไปทูลฝ่าบาทว่าเรื่องนี้องค์หญิงเป็นผู้พบเข้า เจ้าว่าฝ่าบาทจะทรงเชื่อหรือไม่ ถ้าหากองค์หญิงมีความคิดเช่นนั้น นางก็คงไม่ทำเรื่องรนหาที่ตัดทางรอดให้ตัวเอง” ถังเจี่ยนเองก็สงสัยในมันสมองขององค์หญิงเป็นอย่างมาก
“ข้าไม่สนใจสักหน่อย เหล่าถัง เจ้าเองก็เป็นผู้มีปัญญาแห่งยุค เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้มีหรือจะทำอะไรเจ้าได้ ข้าจะบอกเจ้าไว้ว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ต้องมีใครบางคนคอยบงการอยู่เบื้องหลังแน่ๆ หญ้าลืมทุกข์นี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าดอกอเวจี จำแลงมาจากคราบน้ำตาของจอมปีศาจ ขอเพียงแค่มันแพร่กระจายออกไป ผู้คนในต้าถังก็จะถูกทำร้ายจนผอมเหลือแต่กระดูกเหมือนฟืน มนุษย์ไร้สิ้นซึ่งศีลธรรม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าชายทำนาและหญิงทอผ้า หรือการเข้าสู่สนามรบต่อสู้กับศัตรูเลย ข้าขอแนะนำว่าหากพบว่าใครมีของสิ่งนี้ในครอบครอง ต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลมในทันที จะให้ดีก็คืออย่าได้ล่าช้าแม้แต่น้อย”
อวิ๋นเยี่ยจำเป็นต้องบรรยายถึงความน่ากลัวของดอกฝิ่นให้ร้ายแรงมากกว่าเดิม เขาไม่ต้องการให้ฉายาขี้โรคเอเชียถูกตราหน้าให้กับชาวจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง
“เจ้าบรรยายของสิ่งนี้จนน่ากลัวถึงเพียงนี้ แต่ข้ากลับไม่เคยเห็นภัยอันตรายของมันเลย เจ้าก็ข่มขู่ข้าทุกๆ ถ้อยคำ นี่คือสิ่งที่สุภาพชนพึงกระทำหรือ” ถังเจี่ยนยังคงมีความหวังสุดท้ายอันน้อยนิด หวังจะได้ยินคำว่าล้อเล่น ใต้หล้านี้ไม่เคยมีของที่เลวร้ายเช่นนี้มาก่อนออกจากปากของอวิ๋นเยี่ย
“เหล่าถัง รีบลบความคิดที่ว่าโชคยังดีของเจ้าทิ้งไป ความรุนแรงของเรื่องนี้อยู่เหนือจินตนาการของเจ้ามาก หากอยากจะรู้ว่ามันเลวร้ายเพียงใด ง่ายมาก เจ้าก็แค่จับคนพื้นเมืองเหล่านั้นขังไว้ในห้อง ส่งอาหารและน้ำไปให้พวกเขาแต่อย่าให้หญ้าลืมทุกข์ อย่างมากก็รอจนถึงพรุ่งนี้ เจ้าก็จะพบว่าชาวพื้นเมืองเหล่านั้นกลายเป็นผีที่ชั่วร้าย พวกเขาจะวิงวอนขอหญ้าลืมทุกข์จากเจ้าให้ได้โดยไม่เสียดายที่จะสละทุกสิ่งเลย แม้แต่เจ้าจะให้พวกเขาฆ่าญาติสนิทตนเองก็ตามที พวกเขาจะไม่มีความลังเลเลยแม้เพียงเสี้ยวนาที ถ้าหากใช้มันได้ดี เจ้าใช้หญ้าลืมทุกข์เพียงเล็กน้อยก็จะได้ที่ดินของพวกเขามาทั้งหมดมาครอบครองได้”
ตั้งแต่วินาทีที่เขาพบว่าเป็นฝิ่น อวิ๋นเยี่ยจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษกับราชาแห่งแดนเถื่อนหลายคนนั้น ไม่มีคนไหนเลยที่ดวงตาเหม่อลอย ริมฝีปากเป็นสีม่วงคล้ำ ผอมเหลือแต่กระดูกเหมือนท่อนฟืน ได้ยินว่าก่อนหน้าพวกเขาต่างก็เป็นนักรบผู้กล้าหาญ ตั้งแต่หนึ่งปีก่อนหลังจากเริ่มกินหญ้าลืมทุกข์แล้วร่างกายก็ค่อยๆ เบาดุจนกนางแอ่น หากคนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ติดฝิ่นขั้นรุนแรง อวิ๋นเยี่ยก็คิดว่าดวงตาของเขาไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไปแล้ว