หลี่อันหลานลุกขึ้น เทน้ำหนึ่งแก้วให้อวิ๋นเยี่ยแล้วกดตัวเขาให้นั่งลง มองต้นไม้ใบเขียวด้านนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยพลางพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “แม้เจ้าอยากเห็นเรือนร่างนี้ก็คงได้เห็นอีกไม่กี่วันเท่านั้น ข้าจะต้องแต่งงานไปหลิ่งหนานแล้ว ต้องไปอยู่ในรังคนป่าเถื่อน ถือโอกาสในขณะที่เรือนร่างนี้ยังไม่แปดเปื้อนหากเจ้าอยากดูก็ดูเถอะ อีกไม่กี่วันร่างนี้ก็จะเป็นของลิงดำตัวนั้นแล้ว แทนที่จะให้เขาดู ไม่สู้ให้เจ้าคนที่รู้จักทะนุถนอมดูยังจะดีเสียกว่า”
อวิ๋นเยี่ยจัดคอเสื้อให้หลี่อันหลาน ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป เดินไปถึงประตูก็หันกลับมาพูดกับหลี่อันหลานว่า “ถ้าเจ้าเต็มใจแต่งงานกับเขา ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด ลิงดำตัวนั้นถึงกับอยากจะเข้ามาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ เขาคงอยู่จนเบื่อโลกแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่รังเกียจที่จะเป็นหม้ายกระมัง”
“ถ้าเจ้าไม่ต้องการแต่งงานกับข้า ข้าไม่รังเกียจที่จะเป็นหม้าย แม้ว่าจะต้องไปเป็นหม้ายที่หลิ่งหนานก็ไม่เป็นไร” หลี่อันหลานตอบอวิ๋นเยี่ยด้วยรอยยิ้ม
อวิ๋นเยี่ยปิดประตูห้อง งอนิ้วปาดจมูกเสี่ยวหลิงตังแล้วพูดกับนางว่า “คราวหน้าหากจะแอบดูอย่าลืมปล่อยผมลงมา จ้องด้วยดวงตากลมโตคู่นี้คนตาบอดก็มองเห็น ตอนนี้วางใจได้แล้ว แม้ว่าพวกเจ้าจะไปหลิ่งหนานก็เป็นพวกเจ้ากินคนอื่น ไม่ใช่คนอื่นกินพวกเจ้า”
เสี่ยวหลิงตังมองดูร่างที่ห่างออกไปของอวิ๋นเยี่ยแล้วรีบเข้ามาในห้อง เห็นองค์หญิงกำลังวิเคราะห์แป้งผัดหน้าแต่ละอย่างที่ปกตินางเกลียดเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นเสี่ยวหลิงตังเข้ามา หลี่อันหลานก็ถามนางว่า “เจ้าว่าทำไมข้าถึงใช้ของพวกนี้แล้วไม่ได้เรื่องล่ะ “
“องค์หญิง ท่านทรงถอดเสื้อผ้าอีกแล้ว ทั้งยังให้เขาเห็นเรือนร่างด้วย ท่านอายหรือไม่ ท่านเคยบอกว่าเรือนร่างของผู้หญิงไม่ควรแสดงให้ใครเห็นง่ายๆ ไม่ใช่หรือ”
“ชีวิตจะรักษาไม่อยู่อยู่แล้ว ใครจะไปสนใจเรื่องพวกนี้กัน ให้เขาดูเล็กน้อยก็ไม่ได้ทำให้เนื้อหลุดไปเสียหน่อย นอกจากนี้ ถ้าไม่ให้เขาดู แล้วเขาจะจัดการเรื่องที่หลิ่งหนานให้พวกเราได้อย่างไร”
“พวกเรายังต้องไปหลิ่งหนานหรือ ไม่ไปได้หรือไม่” เสี่ยวหลิงตังรู้สึกผิดหวังมาก นางไม่ชอบหลิ่งหนาน
“เด็กโง่ ฉางอันมีอะไรดี เจ้าได้แต่อาศัยอยู่ในวัง เจ้าไม่รู้สึกเบื่อหรือ เมื่อไปถึงหลิ่งหนาน ที่นั่นมีภูเขาสูง มีแม่น้ำสายใหญ่ ทั้งยังมีคนของเก้าเขาสิบแปดค่ายอีก เมื่อพวกเราไปถึงที่นั่นทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับเรา เจ้าอยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้น มีของอร่อยพวกเราก็ได้กินก่อน มีเสื้อผ้าสวยๆ พวกเราก็ได้ใส่ก่อน เจ้าว่ามีอะไรที่เมืองที่อึมครึมอย่างฉางอันสามารถเปรียบเทียบได้
เด็กโง่ เจ้าสามารถไปที่ภูเขาเพื่อเก็บดอกไม้ป่าและเห็ดป่าได้ ไปหาผีเสื้อที่สวยที่สุด ไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าตามใจชอบอีกต่อไป ไม่มีใครใช้ให้เจ้าทำอย่างนั้นอย่างนี้อีกแล้ว ตรงกันข้าม เจ้าสามารถเป็นคนออกคำสั่งกับพวกเขาได้ แม้ว่าจะสั่งให้พวกเขาตายก็ตาม”
เสี่ยวหลิงตังกำลังดื่มด่ำอยู่กับชีวิตที่มีความสุขที่หลี่อันหลานบรรยายอย่างฉุดไม่อยู่แล้ว เมื่อนางคิดว่าตนเองสามารถเก็บเห็ดบนภูเขาได้โดยไม่ต้องกังวล นางก็ตื่นเต้นจนเหงื่อออกเต็มฝ่ามือ สำหรับเรื่องการสั่งให้คนอื่นไปตายนั้น เสี่ยวหลิงตังไม่เคยแม้แต่จะคิด
“มันจะดีเพียงไหนกันถ้าคุณชายอวิ๋นไปด้วยกัน จริงไหมเพคะองค์หญิง คุณชายอวิ๋นฉลาดถึงเพียงนั้น เขาจะต้องทำให้เก้าเขาสิบแปดค่ายสวยงามมากๆ ข้าได้ยินมาว่าเขาได้ทำให้เขาอวี้ซันกลายเป็นสถานที่ที่ผู้คนอยากไปแล้ว พวกเราพาคุณชายอวิ๋นไปกับพวกเราด้วยดีหรือไม่”
เสี่ยวหลิงตังเขย่าแขนองค์หญิงของนางเพื่ออ้อนวอนอย่างเต็มที่ ไม่ได้คิดถึงว่าองค์หญิงของนางในเวลานี้เต็มไปด้วยความขมขื่นไม่มีที่ไหนให้ระบายได้ แน่นอนว่านางก็หวังว่าอวิ๋นเยี่ยจะไปหลิ่งหนานด้วย หากได้อวิ๋นเยี่ยช่วยเหลือ ไม่แน่ว่าใช้เวลาไม่นาน ที่นั่นก็จะกลายเป็นสวรรค์บนดินจริงๆ แม้ว่าจะต้องมอบกายให้เขาอย่างสมบูรณ์ก็ย่อมได้ เพียงแต่สิ่งที่เขาชอบคือร่างนี้ ไม่ใช่หลี่อันหลานที่อยู่ในร่างนี้
หลังจากออกจากวังแล้ว อวิ๋นเยี่ยไปที่หงหลูซื่อ ตอนนี้หัวหน้าของที่นั่นคือถังเจี่ยนซึ่งกลับมาเมืองหลวงแล้ว ได้ยินว่าเขากลับมาเมืองหลวงในครั้งนี้ฮ่องเต้ตั้งใจเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงภายในตำหนักไท่จี๋เป็นกรณีพิเศษ เพื่อฉลองผลงานให้กับเขาและหลี่จิ้ง ซึ่งเป็นงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ มีขุนนางมากมายมาร่วมงาน ด้วยฐานะอย่างอวิ๋นเยี่ยในตอนนี้ แม้แต่ประตูก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ฟังหนิวเจี้ยนหู่ที่เข้าเวรอยู่ในวังพูดว่าฝ่าบาททรงเต้นรำด้วยพระองค์เอง ไท่ซั่งหวงก็เล่นพิณด้วย ยกเหล้าขึ้นดื่ม ดูดีมีสง่าราศี
เพียงแต่หลังจากที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว หลี่จิ้งได้แต่ปิดประตูไม่รับแขก ไม่ว่าใครก็ไม่พบ มีเพียงถังเจี่ยนเท่านั้นที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหงหลูซื่อชิง[1] ต้าหงหลู[2]เชียวนะ เป็นหนึ่งในเก้าของขุนนางใหญ่ฝ่ายบริหารส่วนกลาง มีตำแหน่งสูงและชื่อเสียง สืบทอดสองชั่วคน ได้ฐานันดรศักดิ์เป็นอิ๋งกั๋วกง ได้ยินว่าอีกไม่นานก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้ากรมกิจการพลเรือน
ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหมิงฉารูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร แล้วจะให้วางแผนได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไรก็ควรต้องพบเขาให้ได้สักครั้งก่อน ไอ้พวกคนเลวที่สวามิภักดิ์แล้วก็ทรยศ ทรยศแล้วก็สวามิภักดิ์นั้น เป็นเนื้องอกที่เลวร้ายของต้าถังมาโดยตลอด หากตัดทิ้งไปสักหนึ่งชิ้นคงไม่ทำให้หลี่ซื่อหมินโกรธ
เมื่อถังเจี่ยนได้ยินว่าอวิ๋นเยี่ยมา ตั้งใจลดตัวลงไปต้อนรับ กรมโยธาเคยทำผิดพลาดให้ได้เห็นมาก่อน แน่นอนว่าเขาต้องปฏิบัติกับอวิ๋นเยี่ยอย่างระมัดระวัง
“อวิ๋นเยี่ยคารวะกั๋วกง มาแสดงความยินดีล่าช้า ต้องขอให้ถังกงอย่าได้ถือโทษโกรธ”
“ฮ่าๆๆ อวิ๋นโหวให้เกียรติมาเยือน หงหลูซื่อมีแต่จะมาต้อนรับไม่ทันล่ะไม่ว่า จะมีความผิดได้อย่างไร เพียงแต่รอข้าออกเวรก่อนแล้วเรามาดื่มด้วยกัน รำลึกความหลังในทุ่งหญ้าดีหรือไม่”
หลังจากเข้าไปในห้องโถง รอยยิ้มบนใบหน้าของถังเจี่ยนก็หายไปและพูดเบาๆ ว่า “เจ้าหนู เจ้าเป็นแมวดำที่นำภัยเข้าบ้าน วันนี้มาที่นี่มีความคิดพิเรนทร์อะไรอยู่อีก เราตกลงกันไว้ก่อน เจ้ามีความคิดพิเรนทร์ข้าไม่สน แต่เจ้าต้องรอให้ข้าออกจากหงหลูซื่อก่อน แล้วข้าจะไม่สนใจว่าเจ้าจะเล่นพิเรนทร์อย่างไร”
“ข้ามาที่นี่ก็เพราะได้ยินคนพูดว่าคนป่าเถื่อนที่มาจากหลิ่งหนานรนั้นน่าสนใจมาก ตั้งใจมาที่นี่เพื่อขอเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย ไม่ได้มีความคิดอื่นใด” อวิ๋นเยี่ยก็กระซิบตอบเบาๆ
ถังเจี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ราวกับกำลังปวดฟัน ยิ้มอย่างขมขื่นพลางพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “จะพบใครก็ได้ไม่มีปัญหา เว้นแต่เหมิงฉาราชบุตรเขยของฝ่าบาทที่เจ้าห้ามพบ นี่คือพระประสงค์ของฝ่าบาท ฝ่าบาทแอบรับสั่งกับข้าว่าหากให้เจ้าพบกับเหมิงฉา ลิงดำตัวนั้นจะต้องอายุไม่ยืนแน่นอน ดังนั้นเจ้าจะพบใครก็ได้ ยกเว้นเหมิงฉาเท่านั้นที่ห้ามพบ” เป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมาอย่างที่สุด
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าครั้งนี้หลี่ซื่อหมินโกรธมากจริงๆ แม้แต่ทางออกสุดท้ายของลูกสาวตัวเองก็ถูกปิดตายลงอย่างแน่นหนา ดูท่าแล้วความคิดที่เขาต้องการจะลงโทษหลี่อันหลานไม่มีทางหวั่นไหวแน่ สองพ่อลูกอยู่ด้วยกันได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าน่าทึ่งมากแล้ว
เพียงแต่เมื่อคิดถึงจุดจบของลูกชายและลูกสาวของเขา ก็ไม่มีคนไหนดีไปกว่าหลี่อันหลานสักเท่าไรหลี่ซื่อหมินนั้นเป็นพ่อคนไม่เป็นจริงๆ ทำจนลูกๆ ทรยศบ้านแตกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร นำวิถีแห่งกษัตริย์มาใช้กับลูกสาว ไม่รู้ว่าสมองบวมน้ำหรือไม่
“เหล่าถัง มีเรื่องเช่นนี้ที่ไหนกัน ข้าก็เพียงแค่อยากรู้อยากเห็นว่าฝ่าบาททรงเลือกสามีประเภทไหนให้องค์หญิง” อวิ๋นเยี่ยยังคงต้องการแก้ตัวอีก
“พอเถอะ เจ้าจ้องจะกินองค์หญิงมาโดยตลอด ใครก็ตามที่คิดจะยุ่งกับองค์หญิงล้วนแล้วแต่ไม่มีจุดจบที่ดีสักราย เจ้าอย่าบอกว่าขาของจางเลี่ยงจอมล้างผลาญคนนั้นไม่ใช่เจ้าที่เป็นคนยั่วยุให้อวี้ฉือเป่าหลินไปตีจนขาเป๋ แล้วก็อย่าบอกว่า การค้าของตระกูลจางที่มั่งคั่งในหล่งโย่วจู่ๆ ไม่ว่าทำอะไรในฉางอันก็ติดขัดไปหมดนั้นไม่ใช่ฝีมือเจ้า เจ้าหนุ่ม เจ้าจะแต่งงานอยู่แล้ว ทำไมจึงยังจะครอบครององค์หญิงไม่ยอมวางมือ เจ้ามีศีลธรรมอยู่หรือไม่ ตามความคิดข้า การที่องค์หญิงต้องลงเอยเช่นนี้ในวันนี้ เจ้าก็มีส่วนต้องรับผิดชอบครึ่งหนึ่ง “
คราวนี้อวิ๋นเยี่ยโกรธแล้วจริงๆ ทำไมของเสียแต่ละอย่างจะต้องโยนใส่หัวตนด้วย
“ลูกของจางเลี่ยงหัวเราะเยาะหนิวเจี้ยนหู่ว่าขาเป๋ต่อหน้าธารกำนัล ถ้าไม่เป็นเพราะข้าดึงเขาออกมาได้อย่างรวดเร็วป่านนี้ศีรษะก็ไม่เหลือ สำหรับเรื่องที่อวี้ฉือเป่าหลินเพียงแค่เตะที่ขาของเขาเบาๆ ไปหนึ่งครั้ง ใครจะรู้ว่าเขาบอบบางถึงเพียงนั้น กระดูกหักไปสามท่อนเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย สำหรับตระกูลจางถึงกับกล้าพูดว่ากองคารวานอูฐของหล่งโย่วสามารถเรียงได้เต็มเมืองฉางอัน สุดท้ายเป็นผลให้ชาวบ้านโกรธและถูกเหล่าพ่อค้าร่วมมือกันคว่ำบาตรไม่ทำการค้ากับครอบครัวของเขา ทำไมจึงโยงมาเกี่ยวกับข้าได้ ข่าวโคมลอยทำให้คนตายแท้ๆ ถังกงไม่ควรเชื่อถืออะไรง่ายๆ ข้าเป็นคนเช่นไรท่านย่อมรู้ดี จะไม่ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้อย่างเด็ดขาด”
“เฮ้ๆๆ เจ้าหนุ่ม เจ้าก็เสแสร้งแกล้งไปเถอะ ข้าคิดว่าคนป่าจากหลิ่งหนานคนนี้ไม่สามารถหนีพ้นเงื้อมมือของเจ้าได้ โชคดีนะเจ้าหนุ่มที่เจ้ามีโรคเล็กๆ น้อยๆ ที่เพียงคิดแต่จะกอบโกยเงินและสนใจองค์หญิง หากมีโรคอื่นๆ ด้วย เจ้ายังคิดจะให้ขุนนางคนอื่นมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่ สร้างตำหนักโทรมๆ หนึ่งตำหนักสามารถบีบคั้นจนเหล่าตู้ต้องลาป่วยพักอยู่ที่บ้านได้ เยี่ยมมาก คนเช่นเจ้าข้าไม่กล้าแหย่ ส่วนเหมิงฉาไม่ว่าเจ้าพูดอย่างไรก็ไม่ให้เจ้าพบเด็ดขาด ประเดี๋ยวข้าจะสั่งเพิ่มกำลังคนมาเฝ้าให้แน่นหนามากกว่านี้ หลังจากเขากับองค์หญิงอภิเษกสมรสกันแล้ว ต่อให้เจ้าจับเขาสับเป็นชิ้นๆ ข้าก็จะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นได้ แหะๆ”
ถังเจี่ยนเชื้อเชิญอวิ๋นเยี่ยเข้าเยี่ยมพบแขกต่างแดนที่เข้าพำนักอยู่ในที่พักของหงหลูซื่อด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ตั้งใจชี้ไปที่กลุ่มคนซึ่งไม่แตกต่างจากชาวนิโกรเสียเท่าไร ซึ่งก็คือชาวพื้นเมืองที่เดินทางมาถวายเครื่องบรรณาการ
ชาวพื้นเมืองนั้นเป็นคนเรียบง่าย เมื่อพวกเขาได้ยินเจ้าหน้าที่ของที่พำนักกล่าวแนะนำว่าเป็นขุนนางใหญ่ท่านหนึ่ง ก็มอบผลิตภัณฑ์พื้นเมืองมากมายให้แก่อวิ๋นเยี่ยด้วยความกระตือรือร้น พูดได้เพียงคำเดียวใจกว้าง เต่ากระ ไข่มุก หินปะการังและของสีดำเข้มขนาดใหญ่หนึ่งก้อน หลังจากฟังอยู่เป็นนานจึงได้รู้ว่า นี่คือน้ำสกัดของหญ้าลืมทุกข์ที่เมื่อแห้งแล้วจะจับตัวเป็นก้อน เมื่อนำมาเคี้ยวในปากจะทำให้ผู้คนลืมความโศกเศร้าทั้งหมด ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากมันแม้แต่วันเดียว
เป็นของดีนี่ ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยมีเรื่องปวดหัวจนจะบ้าตาย เมื่อมีสิ่งนี้ก็สามารถลืมความโศกเศร้าได้ เยี่ยม ใครบอกว่าพวกเขาเป็นคนพื้นเมือง เห็นได้ชัดว่าเป็นกลุ่มคนฉลาดที่มีความเห็นอกเห็นใจคน เมื่อมีมันแล้ว ความปวดหัววุ่นวายของอวิ๋นเยี่ยก็หายไปอย่างสิ้นเชิง เรื่องของหลี่อันหลานก็จะไม่เป็นปัญหาอะไรแล้ว
ก็ไม่เลว ถึงกับถวายของสิ่งนี้ให้กับฮ่องเต้ด้วย อะไรนะ หวังว่าฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ไร้พ่าย ผู้สง่างามและมีเมตตาได้ใช้ยานี้เป็นประจำ จะทำให้มีชีวิตชีวาเป็นร้อยเท่า ดุดันดั่งพยัคฆ์มีพลังดั่งมังกร
ช่างเป็นชาวพื้นเมืองที่ดีอะไรเช่นนี้ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับนำฝิ่นจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่อยู่ห่างไกลอย่างไม่กลัวความยากลำบาก
นี่คือของที่ขี้ยาอย่างพวกเจ้าสามารถหามาได้หรือ แม้ว่าสถานที่ของพวกเจ้าจะเหมาะสมมากสำหรับการปลูกฝิ่น แม้แต่พวกคนป่าที่ยังไม่เคยจะออกไปนอกหุบเขา ก็รู้วิธีสกัดฝิ่นได้อย่างไรตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ฉันจำได้ว่าเมื่อตอนที่อยู่บริษัทในยุคปัจจุบันได้เขียนกระดานโฆษณาต่อต้านยาเสพติดด้วยตัวเอง ของสิ่งนี้ยังต้องรออีกหลายสิบปีกว่าจะเผยแพร่เข้าสู่ดินแดนภาคกลาง ทั้งยังถูกปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับในตระกูลใหญ่เพื่อชื่นชมอีกด้วย ตอนนี้สิ่งนี้จู่ๆ ก็ปรากฏในมือของชาวพื้นเมือง ทั้งยังถูกใช้เป็นเครื่องบรรณาการให้กับฮ่องเต้อีกด้วย ช่างรักษาตรงโรคเสียจริง โรคไมเกรนของหลี่ซื่อหมินแม้จะกลับไปยังยุคปัจจุบันได้ก็ใช่ว่าจะมีวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ตอนนี้มียาระงับปวดชั้นเลิศเช่นนี้อยู่ในมือ จะไม่ใช้ให้เต็มที่ได้อย่างไรกัน
การฆ่าคนมากเกินไปก็มีข้อเสียอยู่ด้วย เช่น ศัตรูจะไม่มีวันลืมคุณ เมื่อมีของดีประเภทเดียวกับฝิ่นนี้ไม่นำมามอบให้คุณจะไปมอบให้ใครกันล่ะ
นับตั้งแต่ตอนที่ได้รับหญ้าลืมทุกข์ อวิ๋นเยี่ยก็ได้กลิ่นเปรี้ยวฝาดเล็กน้อย ก็รู้ได้ว่ามันเป็นฝิ่นดิบบริสุทธิ์ เมื่อคิดถึงสภาพที่น่าสังเวชของพวกขี้ยาหลังจากเลิกเสพฝิ่นแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ไม่กล้าที่จะคิดว่าหลังจากที่หลี่ซื่อหมินติดฝิ่นขนาดหนักแล้วจะมีเรื่องที่น่ากลัวอะไรเกิดขึ้นตามมา
อวิ๋นเยี่ยมีดีใจมาก ถังเจี่ยนเองก็พอใจมาก ขอเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยไม่ก่อปัญหาอะไรในถิ่นของเขา มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะแสวงหาผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ทั้งสองนั่งบนรถม้ากลับไปที่หงหลูซื่ออย่างมีความสุข ด้านหลังยังมีรถม้าอีกหนึ่งคันที่บรรจุผลประโยชน์ของอวิ๋นเยี่ยอยู่เต็มคันรถ เพียงแต่ฝิ่นดิบชิ้นใหญ่นั้นอวิ๋นเยี่ยกอดไว้ในอ้อมแขนไม่ยอมปล่อยมือ
ขณะนั่งดื่มนมเปรี้ยวอยู่ในห้องโถงใหญ่ อวิ๋นเยี่ยก็ยังคงกอดฝิ่นดิบดำๆ ก้อนนั้นไว้ไม่ปล่อยมือ ถังเจี่ยนค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น อวิ๋นเยี่ยเห็นสมบัติภายนอกเป็นของนอกกาย ทำไมวันนี้จึงได้ถือของดำๆ ที่ดูไม่มีค่าอะไรก้อนนั้นไม่ยอมปล่อยมือ ไม่ต้องรอให้เขาถาม อวิ๋นเยี่ยก็พูดกับเขาว่า “เหล่าถัง อย่าเพิ่งโกรธ ข้าเรียกเจ้าว่าเหล่าถังนั้นก็เพราะหวังดีต่อเจ้า ได้ยินมาว่าที่บ้านเจ้ามีหยกจันทร์เสี้ยวซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่เป็นสมบัติล้ำค้าหายากอยู่หนึ่งชิ้น ถ้าหากเจ้ามอบมันให้ข้าเป็นของขวัญงานแต่งงาน ข้าจะยอมเมตตา ช่วยชีวิตทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในครอบครัวของเจ้าสักครั้ง เจ้าคิดว่าอย่างไร”
——
[1] หงหลูซื่อชิง เป็นชื่อตำแหน่งหัวหน้าสูงสุดของ หงหลูซื่อ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการประชุมและพิธีการต่างๆ ของราชสำนักเป็นหลัก
[2] ต้าหงหลู เป็นชื่อของหน่วยงานหงหลูซื่อ ซึ่งในสมัยฮั่นอู่ตี้เรียกว่า ต้าหงหลู โดยตั้งแต่สมัยเป่ยฉีของราชวงศ์เหนือใต้ได้ก่อตั้งขึ้นและใช้ชื่อนี้กันเรื่อยมา ก่อนจะล้มเลิกไปตั้งแต่สมัยหนานซ่ง ต่อมาเมื่อถึงราชวงศ์หมิงและชิงก็ได้กลับมาก่อตั้งอีกครั้ง