ในยามเช้าของวันที่สาม เทียนไห่หยาเอ๋อร์กับชายผอมสูงผู้นั้นได้มาถึงหน้าประตูสำนักฝึกหลวงอย่างตรงเวลา ชาวเมืองจิงตูที่มาชมเรื่องสนุกก็มาถึงกันไม่น้อยแล้ว สองวันก่อนดวงจิตของเฉินฉางเซิงถูกบั่นทอนไปมาก ยังคงไม่สามารถเปิดทางแผ่นป้ายศิลาสีดำที่ชายฝั่งของมหาสมุทรแห่งเจตจำนงกระบี่นั้นได้ วันนี้เขาเตรียมตัวจะหยุดพักชั่วคราวหนึ่งวัน
เขานั่งอยู่ในหอตำราและเริ่มต้นอ่านหนังสือร่ำเรียน
ทันใดนั้นก็มีลมพัดขึ้นมาสายหนึ่ง หลังจากนั้นสายฝนก็ตกลงมา เสียงลมเสียงฝนเสียงอ่านหนังสือ และยังมีเสียงด่าทอจากนอกกำแพง ได้สอดประสานและไม่รบกวนซึ่งกันและกัน
เฉินฉางเซิงสามารถทำได้ถึงขั้นที่สรรพสิ่งไม่อาจรบกวนจิตใจ แต่คนอื่นนั้นทำไม่ได้ เดิมทีเหล่าชาวเมืองจิงตูก็มีความทรงจำต่อตระกูลเทียนไห่เลวร้ายอย่างมากอยู่แล้ว สำหรับเทียนไห่หยาเอ๋อร์ที่มีชื่อเสียงเลวร้ายตั้งแต่แรกก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีใดๆ ด้วย ในตอนที่เวลาเดินมาถึงช่วงเที่ยงวัน เหล่าชาวบ้านที่ตากฝนได้พบว่าคำด่าของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ไม่ได้มีอะไรใหม่เลย ในตอนที่ย้อนกลับไปตอนแรกสุดอีกครั้ง ในที่สุดผู้คนก็ส่งเสียงโฮ่เสียงแรกออกมา เสียงเย้ยหยันเองก็ตามมาด้วย
เทียนไห่หยาเอ๋อร์นั่งอยู่บนรถเข็น ใบหน้ามีความซีดชาว แววตาแสดงความดุร้ายออกมา เขายกมือขวาขึ้น ดังนั้นฝูงชนกับผู้ติดตามของตระกูลเทียนไห่ก็เกิดการปะทะกันขึ้นมา นักบวชของพระราชวังหลีกับกองทัพอวี่หลินเข้าช้าไปสองก้าว จึงมีชาวบ้านธรรมดาสองคนที่ได้รับบาดเจ็บ และก็มีผู้ติดตามของตระกูลเทียนไห่ถูกชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์จนเลือดท่วมตัว
เหล่านักบวชของพระราชวังหลีโมโหเป็นอย่างมาก ต้องการให้กองทัพอวี่หลินจัดการตรอกไป่ฮวาให้เรียบร้อย ในเวลาเดียวกันก็เตรียมจะไม่รอผลการประชุมของเหล่าบุคคลสำคัญ จะต้องเชิญเทียนไห่หยาเอ๋อร์กับชายผู้นั้นออกไป และก็เป็นในตอนนี้เอง เทียนไห่หยาเอ๋อร์ได้ตบขาที่บาดเจ็บของตน และตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “จะฆ่าคนแล้ว!”
“พระราชวังหลีมีอำนาจมาก จะบีบคนให้ตายแล้ว! พวกเขาบีบเหลียงเสี้ยวเซียวจนตายไปแล้ว บีบให้จวงห้วนอวี่ตายไปแล้ว ในตอนนี้ก็จะบีบข้าให้ตายอีกหรือ!”
“มาสิ พวกเจ้า! ข้าจะรอดู พวกเจ้าบีบข้าให้ตายแล้วจะตอบคำถามท่านอาหญิงของข้าอย่างไร”
เหล่านักบวชของพระราชวังหลีโมโหเป็นอย่างมาก แต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้
ตั้งแต่ที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ทำราชการแทนจักรพรรดิองค์ก่อน และดูแลราชสำนัก สองร้อยปีมานี้ ตระกูลเทียนไห่ได้แทนที่ราชตระกูลเฉินไปแล้ว และกลายมาเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของดินแดนต้าลู่ ในตอนนี้ภายในราชสำนักต้าโจวล้วนเต็มไปด้วยลูกหลานของตระกูลเทียนไห่ จึงทรงอำนาจอย่างถึงที่สุด ที่สำคัญที่สุดคือ ในคนรุ่นเยาว์ของตระกูลเทียนไห่ทั้งหมด ล้วนมีอาหญิงคนเดียวกัน…นั่นก็คือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
……
……
มองดูดอกเหมยที่งามเด่นสะดุดตาที่อยู่ภายในห้อง และมองไปที่ใต้เท้ามุขนายกผู้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า อาจารย์ซินก็รู้สึกซับซ้อนอยู่บ้าง เขาพูดขึ้น “หากวุ่นวายอย่างนี้ต่อไป ก็จะน่าขายหน้าเกินไปแล้ว”
เหมยหลี่ซาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองไปที่แห่งหนึ่งนอกหน้าต่าง แล้วพูดขึ้น “อย่างไรเสียตระกูลเทียนไห่ก็ขายหน้ามาหลายปีเพียงนี้ พวกเขายังไม่สนใจ”
อาจารย์ซินพูดขึ้น “สรุปแล้วจะจัดการอย่างไร ไม่ไหวแล้วจริงๆ ข้าจะพาคนไปไล่เทียนไห่หยาเอ๋อร์”
เหมยหลี่ซาพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “หรือว่าเจ้ายังไม่เข้าใจ นี่เป็นกลตบตา”
“กลตบตาหรือ” อาจารย์ซินนึกถึงข่าวที่ส่งมายังพระราชวังหลีอย่างกะทันหันข่าวนั้น และพูดขึ้นอย่างตกตะลึง “ท่านหมายถึงเรื่องที่ใต้เท้ามุขนายกทั้งสองพูดขึ้นเรื่องหลายวันก่อนหรือ”
ในนิกายหลวงมีสิ่งที่เรียกว่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหก ไม่ว่าจะเป็นคุณวุฒิหรือสถานะ เหมยหลี่ซาก็เป็นเอกในผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่เหลืออีกห้าคนก็เป็นบุคคลสำคัญที่น่ากลัวเลยทีเดียว เมื่อเหมาชิวอวี่ไม่ได้ทำหน้าที่เจ้าสำนักสำนักเทียนเต้าแล้ว ก็รับตำแหน่งมุขนายกของตำหนักอิงหัว กลายเป็นหนึ่งในหกผู้ยิ่งใหญ่ มุขนายกทั้งสองที่อาจารย์ซินพูดถึง ก็แบ่งออกเป็นผู้ที่ดูแลตำหนักขบวนรถอริพ่ายและตำหนักปู้อิ่ง
เมื่อหลายปีก่อน ใต้เท้ามุขนายกทั้งสองใช้เรื่องที่เผ่ามารรุ่งเรือง และนิกายหลวงต้องการเพิ่มความสามารถในการสู้รบจริงของผู้บำเพ็ญเพียรชาวมนุษย์เป็นเหตุผล เสนอญัตติขึ้นมาอย่างหนึ่ง…ในหกสำนักไม้เลื้อยนอกจากสำนักเด็ดดารา ระหว่างอาจารย์ของแต่ละสำนักที่อยู่ในระดับเดียวกันนั้น สามารถท้าประลองกับอีกฝ่ายได้ ถ้าหากไม่มีเหตุผลที่เพียงพอหรือการอนุมัติพิเศษจากพระราชวังหลี ฝ่ายที่ถูกท้าประลองไม่อาจจะปฏิเสธไปได้ แน่นอนว่ายังมีกฎข้อจำกัดอีกมากมาย
ไม่ว่าจะมองจากทางด้านไหน ญัตติข้อนี้ก็มีทั้งเหตุผล และความจำเป็น ดังนั้นในตอนแรกที่เสนอขึ้นมาก็ได้รับการสนับสนุนจากแต่ละตำหนักและแต่ละสำนัก ทางราชสำนักก็ชื่นชมกับเรื่องนี้ สำนักเด็ดดาราเองก็ขอเข้าร่วมในแผนการนี้ ปัญหาอยู่ที่ ใต้เท้ามุขนายกทั้งสองคนนี้ในตอนที่เสนอญัตตินี้ ก็เป็นผู้ช่วยที่ซื่อสัตย์ที่สุดของใต้เท้าสังฆราช และในตอนนี้ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ก็รู้ว่าพวกเขายืนหยัดอยู่ฝ่ายเดียวกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์…ใช่แล้ว มุขนายกทั้งสองคนนี้ก็ถือมุขนายกทั้งสองคนที่เมื่อหลายวันก่อนเหมยหลี่ซาพูดว่าได้ย้ายข้างนั่น ในตอนที่สายตาของทั่วทั้งจิงตูรวมไปถึงความสนใจของนักบวชทั้งหลายในพระราชวังหลี ถูกภาพฉากความวุ่นวายที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงดึงดูดไป มุขนายกทั้งสองก็ได้ผลักดันเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง สรุปแล้วคิดจะทำอะไรกันแน่
อยู่ๆ อาจารย์ซินก็เข้าใจขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะเหน็บหนาวหัวใจ จึงพูดขึ้น “ใต้เท้าสังฆราช…ไม่มีทางเห็นด้วย”
“ปัญหาอยู่ที่มีเหตุผลที่จะไม่เห็นด้วยหรือไม่” น้ำเสียงของเหมยหลี่ซามีความเหนื่อยล้าอยู่บ้าง
“สำนักฝึกหลวงในตอนนี้มีเพียงเฉินฉางเซิงกับเซวียนหยวนผ้อแค่สองคน ต่อให้ถังซานสือลิ่วออกมาจากสุสานเทียนซู จำนวนคนก็น้อยยิ่งนัก ตามกฎที่ว่าไว้ในญัตติ ไม่เป็นผลดีต่อสำนักฝึกหลวงเป็นอย่างมาก…”
“เมื่อสองปีก่อนตอนที่เสนอญัตตินี้ สำนักฝึกหลวงไม่มีใครเลยสักคน ดังนั้นเจ้าก็ไม่อาจกล่าวหาว่าพวกเขาจงใจหาเรื่องสำนักฝึกหลวงได้”
เหมยหลี่ซาพูดคำพูดสุดท้ายขึ้นมา “ในตอนนี้สำนักฝึกหลวงมีนักเรียนอยู่เพียงแค่สามคนครึ่ง นั่นก็เป็นปัญหาของตัวสำนักฝึกหลวงเอง”
……
……
ในยามราตรี อาจารย์ซินได้ไปที่สำนักฝึกหลวง และเล่าสถานการณ์เหล่านี้ให้เฉินฉางเซิงฟังรอบหนึ่ง
“คนพูดนั้นมีนามว่าโจวจื้อเหิง มาจากหอจงซื่อ เป็นนักบวชของตำหนักขบวนรถอริพ่าย มีสถานะเป็นนักบวชของหอจงซื่อ อีกทั้งยังเป็นแขกของตระกูลเทียนไห่”
“โจวจื้อเหิง คำว่าโจวมาจากเรือบนที่ว่างไร้ผู้คนหรือ”
“โจว จากคำว่ารอบคอบ”
“แล้วคำว่าเหิงเป็นเหิงคำไหน”
“เป็นเหิงคำนั้นแหละ”
เฉินฉางเซิงนึกถึงชายตัวผอมสูงที่ยืนอยู่ข้างรถเข็นผู้นั้น นึกถึงใบหน้าของเขาที่มีสีหน้าเย้ยหยันอยู่จางๆ ในใจก็คิดว่าเป็นบุคคลที่หยิ่งผยองจริงๆ
“โจวจื้อเหิงมีถึงสามสถานะ ไม่ว่าจะเป็นสถานะไหน ก็มีเหตุเพียงพอให้เขาลงมือ ถ้าหากเจ้าลงมือกับเทียนไห่หยาเอ๋อร์” อาจารย์ซินพูดขึ้นอย่างมีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่ “ในเมื่อเจ้าอดทนมาได้สามวันแล้ว ก็อดทนต่อไปอีกไม่กี่วัน ถ้าหากญัตติที่ตำหนักขบวนรถอริพ่ายเสนอไปผ่านขึ้นมาจริงๆ พอถึงเวลานั้นพวกเราค่อยมาดูว่าจะจัดการอย่างไร”
“เพราะว่าโจวจื้อเหิงเป็นนักบวชของตำหนักขบวนรถอริพ่าย ดังนั้นนักบวชของพระราชวังหลีที่คุ้มกันสำนักฝึกหลวงจึงไม่สะดวกจะทำอะไรกับเขา…” เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมามองเขาและถามขึ้นอย่างจริงจัง “เช่นนั้นถ้าหากญัตตินั่นผ่านการอนุมัติ แล้วโจวจื้อเหิงท้าประลองกับข้าขึ้นมา ทางพระราชวังหลีก็จะไม่ทำอะไรสักอย่างหรือ”
อาจารย์ซินพูดขึ้น “ใช่”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “แต่ว่าเขาอยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาว มีระดับสูงกว่าข้าหนึ่งขั้น ตามหลักแล้ว ข้าสามารถไม่รับคำท้าประลองได้”
อาจารย์ซินมองตาของเขาแล้วพูดขึ้น “ที่เขาท้าประลองคือสำนักฝึกหลวง แล้วเจ้าก็คือหัวหน้า บางทีสำนักฝึกหลวงยังมีคนอื่นที่สามารถรับคำท้าได้”
เฉินฉางเซิงมองเขาแล้วพูดขึ้น “ตำแหน่งหัวหน้านี้เป็นใต้เท้าสังฆราชกับมุขนายกให้ข้าเป็น สำนักฝึกหลวงไม่มีนักเรียนคนอื่น ท่านรู้เหตุผลชัดเจนดี”
อาจารย์ซินพูดขึ้นอย่างเสียมิได้ “สรุปแล้วเจ้าอดทนอีกไม่กี่วัน แน่นอนว่าใต้เท้าสังฆราชไม่มีทางให้เจ้าเสียเปรียบ”
เฉินฉางเซิงไม่ได้พูดอะไร และส่งเขาออกจากสำนักฝึกหลวง หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในหอตำราเพื่อดึงแสงดวงดาวมาชำระกระดูกต่อ ทำการฝึกฝนเพลงกระบี่ และไขความลับของป้ายศิลาสีดำแผ่นนั้นต่อ
เวลาในยามราตรีที่ไร้คำพูดได้ผ่านไป ยามเช้ามาถึงอีกครั้ง เทียนไห่หยาเอ๋อร์กับผู้แข็งแกร่งจากตำหนักขบวนรถอริพ่ายที่ชื่อโจวจื้อเหิงผู้นั้นก็มาถึงพร้อมกัน
ในวันนี้ยังคงมีสายลมโชยอ่อน มีสายฝนโปรยปราย และก็มีคำหยาบคายและคำพูดด่าทอ
เฉินฉางเซิงสามารถทนได้ คำพูดหยาบคายเหล่านั้น อย่างไรเสียก็ไม่ใช่อาหารที่ใส่เกลือและน้ำมันเยอะๆ และก็ไม่ใช่ที่นอนที่เต็มไปด้วยฝุ่นผง ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถทนได้ และมาถึงยามสนธยา พระราชวังหลีก็ไม่ได้มีข่าวดีอะไรมา ในที่สุดญัตติที่ใต้เท้ามุขนายกทั้งสองเสนอก็ผ่านการอนุมัติแล้ว เขาจะทนได้อีกหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว
จดหมายท้าประลองฉบับหนึ่งถูกส่งมาที่สำนักฝึกหลวง ผู้ส่งก็คือโจวจื้อเหิง
มองดูชื่อผู้ส่งนั่น เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปนาน หลังจากนั้นก็ดึงดูดแสงดาวมาชำระกระดูก และตรวจสอบป้ายศิลาสีดำแผ่นนั้นต่อ
ในตอนนี้ เขาสามารถมองเห็นลายเส้นที่อยู่บนป้ายศิลาแผ่นนั้นได้อย่างชัดเจนแล้ว มั่นใจได้ว่าเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่หวังจือเช่อทิ้งเอาไว้ที่หอหลิงเยียนแผ่นนั้น อีกทั้งยังสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ที่ป้ายศิลาสีดำแผ่นนั้นมีกลิ่นอายของสวนโจวอยู่จริงๆ
เมื่อเทียบกับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์และสวนโจวแล้ว ลูกเล่นของพวกคนในตระกูลเทียนไห่กับภายในนิกายหลวงนั้นก็ไม่นับว่าเป็นอะไรจริงๆ เพียงแต่ในตอนที่ดวงจิตของเขาข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งเจตจำนงกระบี่อย่างยากลำบาก ราวกับได้เห็นเรือลำน้อยที่ลอยอยู่กลางมหาสมุทร เรือลำน้อยลำนั้นได้โยกคลอนไปตามคลื่นน้ำไม่หยุด ราวกับจะพินาศไปได้ทุกเวลา แต่กลับไม่เป็นอันใดมาโดยตลอด มองดูแล้วก็ทำให้คนรำคาญใจอยู่บ้าง
เดิมทีเขาคิดว่า เทียนไห่หยาเอ๋อร์ที่ด่าทออยู่นอกประตูสำนักไม่หยุดจะเป็นเหมือนกันกับประตูสำนักที่ถูกพังไปเมื่อปีก่อน ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นความอัปยศของตระกูลเทียนไห่
แต่ในตอนนี้เขาพบว่า ถึงแม้เขาจะยังคิดว่าความคิดของเขาถูกต้อง แต่การเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ ใครบ้างที่จะไม่โมโหกัน
ยามเช้าในวันที่สอง อาจารย์ซินได้ส่งข่าวไม่ดีมาอีกสองข่าว
โจวทงปฏิเสธที่จะปล่อยคน เจ๋อซิ่วยังถูกขังอยู่ในคุกใหญ่ที่มืดมิด ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้ออกมา ทั่วทั้งต้าลู่ล้วนรู้กัน โจวทงเป็นสุนัขที่น่ากลัวและภักดีที่สุดของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเทียบกับเขาแล้ว สวีซื่อจีก็ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย ในครั้งนี้โจวทงนั้นแสดงออกต่อเรื่องนี้อย่างแข็งกร้าว ทำให้คนจำนวนมากล้วนรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเอามากๆ พายุจากหุบเขากำลังจะมาเมืองก็ถูกทำลาย หรือว่าราชสำนักจะเปิดศึกกับนิกายหลวงแล้ว
เฉินฉางเซิงถามขึ้น “นี่เป็นเจตนาของใต้เท้าสังฆราช ใต้เท้ามุขนายกเข้าไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง โจวทงยังคงไม่ยอมปล่อยคน เขาคิดจะทำอะไรกันแน่”
อาจารย์ซินจึงได้พูดข่าวร้ายข่าวที่สองออกมาในเวลานี้ “ร่างกายของใต้เท้ามุขนายกไม่ค่อยดีนัก อาจจะช้าไปอีกสองวันถึงจะได้ไปพบโจวทง”
ยังถือว่ายังมีข่าวดีอยู่บ้าง
เจ๋อซิ่วไม่สามารถออกมาได้ แต่ในที่สุดใครบางคนก็ออกมาแล้ว
ในยามห้าของตอนเช้า เฉินฉางเซิงตื่นขึ้นมาอย่างตรงเวลา เขาพาเซวียนหยวนผ้อเดินออกมาจากประตูสำนักฝึกหลวง ในตอนนี้เทียนไห่หยาเอ๋อร์กับโจวจื้อเหิงยังไม่ได้มาถึง จากสำนักฝึกหลวงไปถึงสุสานเทียนซูที่อยู่ทางใต้ของเมืองมีระยะห่างที่ไกลอย่างมากช่วงหนึ่ง ในตอนที่เขาเดินข้ามแม่น้ำสายน้อยสายนั้น มาถึงหน้าประตูหลักของสุสานเทียนซู แสงอาทิตย์ในยามเช้าก็กำลังสาดส่องแรงกล้า
มองดูภูเขาสีเขียวขจีที่อยู่ตรงหน้า เฉินฉางเซิงก็นึกถึงภาพตอนที่ตนดูแผ่นป้ายบรรลุสัจธรรมในตอนแรกอย่างเป็นธรรมชาติ หลังจากนั้นไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้นึกถึงสุสานแห่งนั้นที่อยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล ที่ตามมาก็คือ เขาก็นึกถึงค่ำคืนนั้นเมื่อหลายเดือนก่อน หวังผ้อกับเหมาชิวอวี่ก็ยืนอยู่ตรงที่เขายืนในตอนนี้ เขากับพวกโก่วหานสือก็อุ้มสวินเหมยซึ่งกำลังจะตายยืนอยู่ที่ด้านใน
เหมาชิวอวี่ไม่ได้เป็นเจ้าสำนักสำนักเทียนเต้าอีกแล้ว หลังจากที่เขารับตำแหน่งมุขนายกของตำหนักอิงหัวแล้ว อำนาจและสถานะก็ยิ่งสูงขึ้น และกลับนิ่งเงียบลงไปมาก จิงตูไม่มีข่าวคราวของเขามานานมากแล้ว
คิดถึงการตายของจวงห้วนอวี่ไปจนถึงความเงียบเหงาของสำนักเทียนเต้าในช่วงนี้ เขาก็เริ่มเข้าใจถึงสาเหตุในนั้น ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักหน่วง
เสียงที่ดังสนั่นเสียงหนึ่งพลันเรียกสติเขาขึ้นมา และตามมาด้วยการสั่นสะเทือนของพื้นดิน ประตูหินอันหนักอึ้งของสุสานเทียนซูที่ด้านหน้าก็ค่อยๆ เปิดออกแล้ว