ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 9 ดวงอาทิตย์กลางสายฝนในฤดูใบไม้ผลิ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ค่อยๆ มีคนเริ่มออกมาจากสุสานเทียนซูเคียงคู่ไปกับแสงแดดในยามเช้า ส่วนมากเป็นนักเรียนขั้นสามในการสอบใหญ่ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิในปีนี้ แน่นอนว่าคนเหล่านั้นไม่อาจจะไม่รู้จักเฉินฉางเซิง เมื่อได้เห็นเขาก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง หลังจากนั้นก็พากันคำนับ แสงดวงดาวในคืนนั้น ผู้ดูแผ่นป้ายได้บรรลุกันนับไม่ถ้วน สุสานเทียนซูยิงดอกไม้ไฟออกมาหลายสิบลูก ไม่ว่าจะมีความรู้สึกต่อเฉินฉางเซิงเช่นไร ทุกคนก็ต้องแสดงความขอบคุณต่อน้ำใจของเขา

เฉินฉางเซิงคำนับกลับ หลังจากนั้นก็มองไปที่ภายในสุสานเทียนซูอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ในที่สุดถังซานสือลิ่วก็ออกมา เพียงแค่ได้เห็นเขาปล่อยผมลงมา ทั่วร่างเหม็นเน่า ชุดราคาแพงของเขาเต็มไปด้วยรอยเปื้อน บนบ่ามีผ้าห่มกับเสื้อคลุมที่มองสีเดิมไม่ออกแล้วชุดนั้น ไหนเลยจะเหมือนกับคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับความรักจากเด็กสาวนับหมื่นพันผู้นั้น เขาเหมือนกับขอทานที่เพิ่งขโมยของใช้ที่ไม่รู้ว่าจะใช้งานอย่างไรมาจากจวนตกอับที่ไหนสักแห่ง

แต่การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ แต่เป็นดวงตาของเขา

ดวงตาของเขาส่องสว่างเป็นอย่างมาก

เมื่อก่อนดวงตาของเขาก็ส่องสว่างอย่างมาก แต่นั่นเป็นความสว่างที่ใสกระจ่างอย่างหนึ่ง แต่ความสว่างในดวงตาของเขาในตอนนี้ นอกจากความกระจ่างใสแล้ว ยังมีความแหลมคมออกมาอีกสายหนึ่ง ถึงจะเป็นเส้นผมที่สกปรกรุงรังก็ไม่อาจจะปิดบังไปได้

“ข้าเกือบจะจำไม่ได้ว่าเป็นเจ้า” เฉินฉางเซิงมองเขาแล้วพูดขึ้น

“หล่อขึ้นหรือ” คิ้วกระบี่ของถังซานสือลิ่วเลิกขึ้น เป็นความเหลาะแหละที่บอกไม่ถูก

ในใจเฉินฉางเซิงคิดว่าเจ้าที่เป็นเช่นนี้สามารถแยกได้ง่ายกว่าจริงๆ จึงส่ายหัวพูดขึ้น “สกปรกไปหมดแล้ว”

ในเวลาเดียวกับที่พูด เขาก็ถอยหลังอย่างเป็นธรรมชาติและยากที่จะรู้สึกถึงได้ไปหนึ่งก้าว และยืนให้ห่างจากถังซานสือลิ่วเสียหน่อย

ถังซานสือลิ่วโยนผ้าห่มกับเสื้อคลุมไปให้เซวียนหยวนผ้อ ยิ้มกว้างและเดินหน้าเข้ามากอดเขา

เซวียนหยวนผ้อมองผ้าห่มกับเสื้อคลุมในมือที่เหม็นเน่า ด้วยใบหน้าจนใจ

บนใบหน้าของเฉินฉางเซิงมองไม่ออกถึงความจนใจใด เพราะว่าเขาใช้มือปิดหน้าของตัวเอง เพื่อไม่ให้ได้กลิ่นหรือได้สัมผัสกับสิ่งที่สกปรกใดๆ

ถังซานสือลิ่วปล่อยตัวเขา และถามขึ้นอย่างภูมิใจ “เจ้าดูว่าข้ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป”

เฉินฉางเซิงมองประเมินเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างจริงจังรอบหนึ่ง แล้วถามขึ้น “ตระกูลเจ้าที่เวิ่นสุ่ยตัดเงินเจ้า ตัวเจ้าในตอนนี้จึงต้องเรียนรู้ที่จะวางตัวใหม่หรือ”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “นี่เป็นคำพูดจากไหนกัน”

เฉินฉางเซิงชี้ไปที่ผ้าห่มให้อ้อมอกของเซวียนหยวนผ้อแล้วพูดขึ้น “ถ้าหากเป็นถังถังในยามก่อน จะหอบเอาผ้าห่มของท่านสวินที่ใช้มาหลายสิบปีกลับออกมาได้อย่างไร”

“เจ้าไม่เข้าใจเลย นี่เป็นของที่ระลึก”

เฉินฉางเซิงคิดอยู่ในใจว่าระลึกถึงอะไรกันเล่า

“ระลึกถึงช่วงเวลาที่พวกเราดูแผ่นป้ายบรรลุสัจธรรมในสุสานเทียนซูแห่งนี้”

ถังซานสือลิ่วหันกลับไปมองภูเขาสีเขียวลูกนั้น แล้วพูดขึ้นอย่างคะนึงถึง “ผู้ละโมบสมบัติในสวนโจวอย่างพวกเจ้า ไม่ได้ใช้เวลาในการดูแผ่นป้ายอย่างสมบูรณ์ ไหนเลยจะมาพูดเรื่องนี้ได้”

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าจะตอบรับเช่นไร จึงพูดขึ้น “ดูท่าว่าวันเวลาในสุสานเทียนซูของเจ้าจะผ่านไปอย่างไม่เลวเลย”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ก็ถือว่าไม่เลว ไม่กี่วันก่อนก็พอจะฝืนเข้าไปสู่ระดับทะลวงอเวจีขั้นสูงได้”

เมื่อพูดถึงระดับทะลวงอเวจีขั้นสูง สีหน้าของเขาจงใจทำให้ดูสงบ น้ำเสียงก็ไม่ได้มีอารมณ์ใดๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นเฉินฉางเซิงหรือเซวียนหยวนผ้อก็ล้วนสามารถฟังออกถึงความภาคภูมิใจและหยิ่งผยองของเขา

เฉินฉางเซิงจำตอนที่ตนออกจากสุสานเทียนซูได้ เขาเพิ่งจะไปถึงระดับทะลวงอเวจีได้ไม่นาน ในตอนนี้เพียงแค่ไม่กี่เดือน ก็ทำลายประตูไปถึงสองขั้น บำเพ็ญเพียรไปจนถึงระดับทะลวงอเวจีขั้นสูง ก็มีคุณสมบัติพอที่จะภาคภูมิและหยิ่งผยองได้จริงๆ เพียงแต่ในใจคิดว่าดูจากนิสัยของเจ้าหมอนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะเรียบเฉยเช่นนี้จนจบ แล้วก็ไม่ผิดจริงๆ นาทีถัดมาถังซานสือลิ่วก็ปลดปล่อยออกมา หันกายมามองเขาแล้วพูดขึ้นใบหน้าปีติยินดี “**** เจ้ายังไม่รู้ ในตอนนี้ข้านั้นสอนกวนเฟยไป๋ว่าจะต้องวางตัวอย่างไรอยู่ทุกนาที!”

การบำเพ็ญเพียรจนเลื่อนระดับเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก สามารถบรรลุไปสามขั้นในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ ก็ยิ่งยากจะจินตนาการได้ แน่นอนว่าความตื่นเต้นของถังซานสือลิ่วสามารถที่จะเข้าใจได้ เพียงแต่เฉินฉางเซิงยากที่จะตื่นเต้นไปด้วยจริงๆ มองเห็นสีหน้าที่สงบนิ่งของเฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่วถึงจะนึกขึ้นมาได้ ที่ตนสามารถบรรลุจากการดูแผ่นป้ายในสุสานเทียนซูในครั้งนี้ ล้วนหนีไม่พ้นการดึงดูดแสงดวงดาวเต็มฟ้าของเฉินฉางเซิงในคืนนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะกระดากอาย และพูดขึ้น “แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องขอบคุณเจ้า แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังเป็นเพราะพรสวรรค์ของข้านั้นสูงพอ”

เฉินฉางเซิงได้ให้ข้อสรุปของผู้ชมออกมา “ที่สำคัญคือหลังจากที่เจ้าเข้าสำนักฝึกหลวงแล้วก็ไม่ได้แอบอู้อีกต่างหาก”

นี่ก็เป็นสิ่งที่ผู้เฒ่าผู้มีปัญญาเป็นเอกแห่งหอความลับสวรรค์ผู้นั้นเคยพูดไว้ตอนประกาศชิงอวิ๋น

ถังซานสือลิ่วไม่มีอะไรจะพูด จึงพูดได้เพียงแค่ว่า “หรือว่าเจ้าไม่ยินดีกับข้า”

“ยินดีด้วย” เฉินฉางเซิงพูดขึ้นอย่างไม่มีความจริงใจเลย หลังจากนั้นก็มองไปภายในสุสานเทียนซู แล้วถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “พวกโก่วหานสือเล่า ทำไมถึงยังไม่ออกมา”

เหลียงเสี้ยวเซียวกับชีเจียนนั้นออกจากสุสานเทียนซูก่อนเวลาเพื่อเข้าไปในสวนโจว ในบรรดาศิษย์เขาหลีซาน ยังมีโก่วหานสือ เหลียงปั้นหูไปจนถึงกวนเฟยไป๋กับถังซานสือลิ่วที่อยู่สุสานเทียนซูต่อเพื่อดูแผ่นป้ายบรรลุสัจธรรม ถึงแม้นิกายหลวงจะไม่ได้บอกว่าผู้มาดูแผ่นป้ายจะต้องออกจากสุสานเทียนซูเมื่อไหร่ และไม่ได้มีกฎที่แน่นอน แต่เฉินฉางเซิงคิดว่า ในเมื่อมีคนจำนวนมากขนาดนี้สิ้นสุดการดูแผ่นป้ายแล้ว พวกเขาก็น่าจะออกมาถึงจะถูก เพียงแต่มองอยู่เป็นเวลานานแล้ว ถึงกับไม่พบเงาร่างของทั้งสามคนนั้นเลย

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เดิมทีคุยกันแล้วว่าจะออกจากสุสานเทียนซูพร้อมกัน แต่ไม่รู้ว่าที่เขาหลีซานมีเรื่องด่วนอะไร เมื่อวานคืนพวกเขาก็กลับกันไปก่อนแล้ว”

เฉินฉางเซิงพูดอยู่ในใจว่าที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง

เมื่อเห็นสีหน้าของเขา ถังซานสือลิ่วก็ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “เจ้ารู้ว่าที่เขาหลีซานเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

เฉินฉางเซิงส่งเสียงตอบรับไปคำหนึ่ง แน่นอนว่าเขารู้ว่าเขาหลีซานเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว

ถ้าหากไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ ตามปกติคงไม่มีคนมารบกวนผู้ดูแผ่นป้ายในสุสานเทียนซูหรอก ถังซานสือลิ่วตกตะลึงอยู่บ้าง จึงถามขึ้น “เรื่องอะไรหรือ”

เฉินฉางเซิงส่งสัญญาณให้เซวียนหยวนผ้อโยนผ้าห่มกับเสื้อคลุมที่เหม็นเน่าอย่างหาใดเปรียบนั่นไปบนรถ และพูดกับถังซานสือลิ่ว “กลับไปแล้วค่อยว่ากัน”

อยู่ๆ ถังซานสือลิ่วได้นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ และเอามือล้วงเข้าไปในผ้าห่มอยู่นาน ถึงได้ล้วงเอาจดหมายกับสมุดบันทึกออกมาเล่มหนึ่ง พลางส่งไปยังเฉินฉางเซิงพร้อมพูดขึ้น “นี่เป็นสิ่งที่โก่วหานสือให้ข้า มอบให้เจ้า”

เฉินฉางเซิงจำได้ว่านั่นเป็นบันทึกของสวินเหมย มันเคยช่วยเหลือตอนที่เขาดูแผ่นป้ายให้ข้ามผ่านทางอ้อมไปไม่น้อย และก็เคยช่วยเหล่าเด็กหนุ่มที่อยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันนั่น

จดหมายเป็นจดหมายที่โก่วหานสือเหลือทิ้งเอาไว้ เนื้อหาก็ธรรมดาอย่างมาก ที่พูดถึงคือการออกจากจิงตูไปก่อน ไม่สามารถได้พบกันจึงอาศัยจดหมายถามไถ่ อนาคตต้องอยู่ห่างไกลกัน คิดว่าจะต้องมีวันที่ได้กลับมาพบกันอีกอย่างแน่นอน

ถังซานสือลิ่วมองดูจดหมายแล้วพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ดูท่าพวกเพื่อนๆ จากเขาหลีซานจะยังไม่ยอมแพ้กันสักเท่าไหร่นะ”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ทำไมเจ้าถึงไม่มองคนในแง่ดีบ้าง ที่โก่วหานสือพูดไหนเลยจะมีความหมายอย่างที่เจ้าว่า”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “ได้ยินว่า…เจ้าในตอนนี้เป็นหัวหน้าสำนักฝึกหลวงแล้วหรือ”

เฉินฉางเซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้น “ดูเหมือนว่า…จะใช่”

ข่าวลือที่ได้รับเป็นเรื่องจริง ถังซานสือลิ่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็มองเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้นด้วยความจริงใจ “สถานะของเจ้าไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่สามารถที่จะทำตัวไร้เดียงสาเป็นเด็กน้อยเหมือนเมื่อก่อนนั้นอีกแล้ว”

เวลาเดียวกับที่พูด เขาก็ยืนมือมาตบที่บ่าของเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงมองไปยังมือสกปรกข้างนั้นที่อยู่บนบ่าของตนแวบหนึ่ง ริมฝีปากก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ออก แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรกับเขา

ที่พูดว่ามหาสมุทรกว้างภูเขาสูง เมล็ดข้าวสารดั่งไข่มุกล้ำค่า ในเรื่องนี้ซูหลียังแพ้เขาเลย จะชนะเจ้าหมอนี่ไปก็ไม่พอให้ชื่นชม

กลับไปถึงตรอกไป่ฮวา รถม้าได้หยุดลง ถังซานสือลิ่วมองดูเฉินฉางเซิงทำความเคารพนักบวชจากพระราชวังหลี จึงรู้สึกว่าไม่ค่อยชินนัก จึงกระโดดลงจากรถและเดินเข้าไปในร้านเล็กๆ ที่อยู่ปากทางเข้าตรอก

เซวียนหยวนผ้อนั่งอยู่บนรถม้า และนำของใช้เน่าๆ ของเขากลับไปที่สำนักฝึกหลวงก่อน

เฉินฉางเซิงตามถังซานสือลิ่วไป เห็นเขาซื้อปาท่องโก๋สองชิ้นกับน้ำเต้าหู้หนึ่งชาม และเดินไปกินไปเข้าไปในตรอก

เห็นชัดๆ ว่าเป็นอาหารที่ธรรมดาและเห็นได้บ่อยที่สุด แต่ถังซานสือลิ่วกลับกินอย่างตื่นเต้นดีใจ ส่ายหัวไปมาอย่างแสนจะมีความสุข

“อร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ” เฉินฉางเซิงรู้สึกแปลกใจอย่างมากจริงๆ

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เจ้าไม่รู้ ในสุสานเทียนซูเรื่องอื่นยังพอไหว ก็มีเรื่องอาหารการกินนี่แหละที่แย่เหลือเกิน โดยเฉพาะหลังจากที่เจ้ากับชีเจียนจากไป… *** เจ้าปัญญาอ่อนกวนเฟยไป๋นั่นจะทำอาหารเป็นหรือ ข้าถึงกับคิดถึงอาหารที่เซวียนหยวนผ้อทำ กระทั่งรู้สึกว่าอาหารในสำนักฝึกหลวงยังอร่อยกว่าอาหารชุดใหญ่ของหอเฉิงหูเสียอีก เจ้าดูสิว่าอนาถขนาดไหน”

เฉินฉางเซิงคิดว่านั่นช่างอนาถเสียจริง และนึกถึงกวนเฟยไป๋ที่หยิ่งยโสดุร้ายกำลังนั่งหั่นเนื้อหั่นผักอยู่ในเรือนหลังเล็กนั่น ก็อดไม่ได้ที่จะต้องส่ายหัว และรู้สึกว่ายากจะจินตนาการได้จริงๆ

ถังซานสือลิ่วหยิบปาท่องโก๋ครึ่งชิ้นในมือจุ่มลงไปในน้ำเต้าหู้ แล้วพูดขึ้น “จะกินสักคำหรือไม่”

เฉินฉางเซิงมองไปที่นิ้วมือจองเขาที่จุ่มลงไปในน้ำเต้าหู้ และนึกภาพว่าก่อนหน้านี้เขาเห็นว่าในเล็บมือของเขามีเศษดิน ก็รีบโบกมือแล้วพูดขึ้น “ไม่ล่ะ”

ถังซานสือลิ่วเหยียดหยามอย่างมาก จึงพูดขึ้น “*** เจ้าเข้าใจการใช้ชีวิตไหม”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้นอย่างจนใจ “ถึงแม้จะรู้ว่าหลายปีมานี้เจ้าต้องแสดงตัวเป็นคุณชายผู้ร่ำรวยนั้นแสนจะอึดอัด ในตอนนี้ถึงจะเป็นนิสัยของเจ้าจริงๆ แต่ว่า…ช่วยพูดคำหยาบให้น้อยลงหน่อย ได้ยินแล้วมันแสลงหูอยู่บ้างจริงๆ”

ถังซานสือลิ่วคล้อยตาม และยกชามน้ำเต้าหู้ขึ้นเพื่อบูชาท้องฟ้า เอ่ยพูดกับดวงอาทิตย์ที่เกือบจะถูกเมฆบดบังไป “พระอาทิตย์”

ระหว่างที่หัวเราะด่าว่าและกินอาหาร ทั้งสองคนก็เข้าไปในตรอกไป่ฮวาแล้ว ที่อยู่ตรงหน้าก็ได้เห็นโจวจื้อเหิงกำลังถือร่มคันหนึ่งและยืนอยู่ตรงนั้น

ทันใดนั้น ดวงอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้าก็ถูกเมฆดำบดบังไปจนสิ้น สายฝนได้โปรยปรายลงมา ตกลงบนร่มกระดาษที่ดูเหมือนจะไม่อาจต้านลมได้คันนั้น

ภาพนี้ยอดเยี่ยมอย่างมาก และยังมีความลึกลับที่อยากจะใช้คำพูดอธิบายให้ชัดเจนซ่อนอยู่

ราวกับว่าโจวจื้อเหิงนั้นรู้มาก่อนว่าสายฝนจะโปรยปรายลงมา นี่แสดงถึงระดับของพลังบางอย่าง แสดงให้เห็นว่าเขาได้เริ่มสังเกตถึงสัจธรรมของฟ้าดินได้แล้ว

และภาพที่ได้เห็นนี้ สิ่งแรกที่เฉินฉางเซิงคิดถึงก็คือ ตอนที่ฝนตกเมื่อวันก่อน เหตุใดเจ้าถึงไม่ได้กางร่ม ที่ตามมา ถึงได้นึกถึงเรื่องจดหมายท้าประลองฉบับนั้น…คนผู้นี้ต้องการเป็นตัวแทนของหอจงซื่อเพื่อท้าประลองสำนักฝึกหลวง

สำหรับภาพเหตุการณ์นี้ถังซานสือลิ่วยิ่งไม่ได้สนใจเลยสักนิด เขาไม่รู้ว่าชายผอมสูงผู้นี้เป็นใคร เพราะว่าดวงอาทิตย์หายไปอย่างกะทันหันเขาจึงหงุดหงิดขึ้นมา เพียงแค่กำลังคิดถึงคำพูดของเฉินฉางเซิง ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พูดขึ้นมา “รบกวนช่วยหลบหน่อย”

พูดประโยคนี้จบ เขาก็เดินขึ้นหน้าไป

โจวจื้อเหิงไม่ได้หลีกทาง กระทั่งไม่ได้มองเขา

ดวงตาของเขาไม่ได้มีเด็กหนุ่มตัวเหม็นที่ใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งผู้นี้ด้วยซ้ำ

เขามองไปที่เฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “เจ้าพิจารณาอย่างไรบ้างแล้ว”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “เมื่อพิจารณาแล้ว จะให้คำตอบเจ้า”

โจวจื้อเหิงแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “หรือว่าจะพิจารณาต่อไปเรื่อยๆ กัน”

รอยยิ้มนี้น่ารังเกียจอย่างมาก มันมีความถากถางและเย้ยหยันอยู่จางๆ

ถังซานสือลิ่วนิ่งอึ้งไป จะอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงว่าในราชสำนักต้าโจวปัจจุบัน ถึงกับยังมีคนกล้าใช้ท่าทีเช่นนี้พูดกับตนและเฉินฉางเซิงที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงอีก

“คนผู้นี้เป็นใครกัน” เขาถามเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “โจวจื้อเหิง”

ถังซานสือลิ่วไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน จึงพูดขึ้น “โจวจื้อเหิง นั่นใครกัน”

โจวจื้อเหิงโมโหขึ้นมา เขารู้สึกว่าเฉินฉางเซิงกับเจ้าคนที่เหมือนขอทานผู้นี้จงใจใช้คำพูดเช่นนี้มาดูหมิ่นตน

ถังซานสือลิ่วหันกายกลับไป เขามองโจวจื้อเหิงแล้วถามขึ้น “ข้าถาม เจ้าเป็นใครกันแน่”

โจวจื้อเหิงพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “โจวจื้อเหิงแห่งตำหนักขบวนรถอริพ่าย”

ถังซานสือลิ่วมองไปที่เขาแล้วถามขึ้น “เจ้ามีชื่อเสียงมากหรือ”

โจวจื้อเหิงไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามนี้เช่นไร

“ประหลาดคนนัก”

ถังซานสือลิ่วมองเขาราวกับคนปัญญาอ่อน หลังจากนั้นก็หันไปพูดกับเฉินฉางเซิง “เจ้าต้องรู้สถานะของตัวเองในตอนนี้ให้ชัดเจน คนที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยิน ไหนเลยจะต้องไปสนใจเขา เขาคู่ควรหรือ”

เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาก็ถือชามน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เดินผ่านตัวโจวจื้อเหิงเข้าไปในตรอก

โจวจื้อเหิงก้มหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ

ถังซานสือลิ่วหยุดเท้าลง

สายฝนกระเจิดกระเจิงอย่างฉับพลัน หลังจากนั้นก็กลับมาโปรยปรายดั่งใบหลิว

โจวจื้อเหิงมาปรากฏขึ้นที่หน้าถังซานสือลิ่ว และขวางทางของเขาเอาไว้

ที่ตรอกไป่ฮวาพลันเงียบกริบ

ถังซานสือลิ่วมองเขา และพูดขึ้นมาอย่างสงบสี่คำ

“เจ้าโง่ หลีกไป”

ถังซานสือลิ่วในตอนนี้เต็มไปด้วยคราบสกปรก เหม็นเน่า เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ช่างเหมือนกับขอทานจริงๆ แต่ท่าทีของเขากลับเหมือนกับราชา

เพราะว่าเดิมทีแล้วเขาก็ไม่ใช่ขอทาน แต่เป็นราชาผู้มีเงินมากที่สุดในโลก

เทียบกับองค์หญิงของแคว้นอย่าง ลั่วลั่ว หนานเค่อ ผู้เป็นองค์หญิงที่แท้จริงเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วเขาก็ยังมีเงินมากกว่าเสียอีก

ดังนั้นตอนที่เขาพูดสี่คำนั้นออกมา เป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่จนถึงขั้นที่ยากจะจินตนาการได้

การใช้อำนาจบาตรใหญ่ ถึงกับยากที่จะจินตนาการเชียวหรือ ใช่ เพราะว่านี่ไม่ใช่ความโอหัง แต่เป็นความมีพลังอำนาจ

หากไม่มีเส้นสนกลใน ก็ไม่อาจเลี้ยงดูให้มีพลังอำนาจเช่นนี้

โจวจื้อเหิงหรี่ตาลง เขากำลังมองไปที่ถังซานสือลิ่ว ไอสังหารค่อยๆ ปล่อยออกมา

แต่ว่า สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลงมือ

เพราะว่าเฉินฉางเซิงกำลังมองมาที่เขา

นักบวชของพระราชวังหลีมากมายก็กำลังมองมาที่เขา

ที่ทำให้เขารู้สึกต้องระวังตัวที่สุดและไม่เข้าใจที่สุดก็คือกองทัพอวี่หลิน ซึ่งตามหลักแล้วควรจะอยู่ข้างเขา กลับระเบิดไอสังหารออกมาโดยที่ไม่ได้ปิดบังเลยอย่างกะทันหัน

เขาชัดเจนอย่างมาก ถ้าหากตนลงมือจริงๆ เช่นนั้นนาทีต่อมา ไอสังหารสายนั้นก็จะฉีกร่างของตนเป็นชิ้นๆ

เขาไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร มือทั้งสองข้างของเขาจึงสั่นเทาขึ้นมา

ถังซานสือลิ่วเดินผ่านร่างของเขาไป มือซ้ายถือชามน้ำเต้าหู้ มือขวาถือปาท่องโก๋ และยังคงไม่ได้มองเขาแม้แต่แวบเดียว

สายฝนค่อยๆ โปรยปรายลงมา ลงสู่ร่มกระดาษของเขาอย่างแผ่วเบาไร้เสียง

ที่ส่วนลึกของตรอกไป่ฮวา พลันมีเสียงด่าทอของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ดังออกมา

เมื่อได้ยินคำพูดหยาบคายเหล่านั้น สีหน้าของถังซานสือลิ่วก็เปลี่ยนเป็นไม่น่าดูขึ้นมา

เขาเดินไปที่ประตูสำนักฝึกหลวง เขาเห็นเพียงเทียนไห่หยาเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนรถเข็น กำลังด่าทอไปทางประตูสำนักไม่ยอมหยุด

“เฉินฉางเซิง เจ้ามัน…”

“มีปัญญาเจ้าก็มาซ้อมข้าสิ!”

ถังซานสือลิ่วเดินไปที่ด้านหลังของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ ไม่ได้ห้ามเขา และเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

นักบวชของพระราชวังหลีมากมายกับกองทัพอวี่หลิน และยังมีชาวเมืองจิงตูที่ได้ยินข่าวแล้วรีบมา ล้วนกำลังมองภาพเหตุการณ์นี้อยู่

สายฝนในตรอกไป่ฮวาราวกับหมอกควัน

เฉินฉางเซิงถามขึ้น “เจ้ากำลังทำอะไร”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “หวนรำลึกถึงชีวิต”

เทียนไห่หยาเอ๋อร์ได้ยินเสียงจึงหันหน้ากลับไปมอง โดยที่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เฉินฉางเซิงถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ชีวิตอะไร”

“ข้ากำลังตั้งใจหวนรำลึกถึงชีวิตสักหน่อย” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “…แม่งเอ๊ย ยังไม่เคยได้ยินคำร้องขอที่ชั้นต่ำขนาดนี้มาก่อน”