ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 10 ไม้พลองของสำนักฝึกหลวง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ถึงแม้ถังซานสือลิ่วในตอนนี้จะเหม็นหึ่งไปทั่วร่าง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง และแตกต่างกับลักษณะที่เล่าลือกันอย่างมาก แต่ว่าคำพูดที่ถากถางไปจนถึงความไม่ใส่ใจตรงช่วงดวงตา ก็ยังทำให้เทียนไห่หยาเอ๋อร์สามารถรู้ถึงสถานะของเขาได้อย่างรวดเร็ว ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นแสนน่าเกลียดในทันที

ในตอนแรกที่เขาไปสำนักเทียนเต้าเพื่อร่วมงานชุมนุมไม้เลื้อย ก็เพราะว่าถังซานสือลิ่วเคยพูดกับทั่วทั้งจิงตูว่าจะจัดการกับเขา

ผลลัพธ์สุดท้ายของเรื่องนี้ เพราะการบังคับของเหล่าอาจารย์ในสำนักเทียนเต้า ถังซานสือลิ่วจึงไม่สามารถมาเข้าร่วมงานชุมนุมไม้เลื้อยได้ เทียนไห่หยาเอ๋อร์ถือโอกาสนี้อวดเบ่ง และจัดการหักแขนของเซวียนหยวนผ้อไปข้างหนึ่ง ต่อมาจึงถูกลั่วลั่วซ้อมเสียจนเป็นคนพิการ

ทั้งสองคนจนกระทั่งถึงวันนี้ก็ยังไม่เจอกันอย่างเป็นทางการ แต่ว่านี่ก็ไม่อาจขวางให้เทียนไห่หยาเอ๋อร์เอาเรื่องที่ตนต้องพิการไปโทษถังซานสือลิ่วได้

เขาจ้องถังซานสือลิ่ว ถึงใบหน้าจะซีดขาว แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นจนแทบจะกินเขาเข้าไปอยู่แล้ว ทว่าเขาไม่ได้ทำอะไร กลับกัน หลังจากที่ได้ฟังคำพูดประโยคนั้นของถังซานสือลิ่วไปแล้ว ก็นึกเชื่อมโยงไปถึงนิสัยที่เคยได้ยินมาของเจ้าหมอนี่ ในใจของเขาก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา จึงใช้เสียงที่แหลมสูงชิงพูดขึ้นมาก่อน “ข้าพูดกับเฉินฉางเซิง! ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”

มีปัญญาเจ้าก็เข้ามาซ้อมข้าสิ!

เทียนไห่หยาเอ๋อร์ทั้งไม่มีเหตุผล ทั้งหน้าไม่อายและน่ารังเกียจ เขากล้าใช้ประโยคนี้พูดกับทุกคนรวมไปถึงเฉินฉางเซิง แต่เขาไม่กล้าที่จะพูดกับถังซานสือลิ่ว

เพราะเขารู้ว่าถังซานสือลิ่วจะไม่ไว้หน้าแล้วลงมือจริงๆ

ถังซานสือลิ่วนิ่งไป ค่อนข้างจะคิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะตอบสนองได้รวดเร็วขนาดนี้ และยังคิดวิธีการอะไรดีๆ ไม่ได้ จึงพูดขึ้นมาอย่างไม่สนเหตุผล “ข้าไม่สน อย่างไรเสียข้าก็จะซ้อมเจ้า”

พูดประโยคนี้จบ เขาก็พูดกับเฉินฉางเซิง “ช่วยข้าพับแขนเสื้อหน่อย”

ในตอนนี้มือซ้ายของเขากำลังถือชามน้ำเต้าหู้ มือขวากำลังถือปาท่องโก๋อยู่ครึ่งชิ้น จึงไม่สามารถพับแขนเสื้อของตนได้จริงๆ

การพับแขนเสื้อ ไม่ว่าใครก็รู้ว่านั่นเป็นการสื่อถึงอะไร เป็นสัญญาณของการจะทำอะไร

เทียนไห่หยาเอ๋อร์พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่ซีดขาว “ข้าไม่สามารถสู้กับเจ้าได้ อย่างไรเสียข้าก็พิการ เจ้าไม่กลัวขายหน้า ก็ลงมือเองก็แล้วกัน”

ขณะเฉินฉางเซิงกำลังคิดว่าจะช่วยถังซานสือลิ่วพับแขนเสื้อจริงๆ ดีหรือไม่ เมื่อได้ยินคำว่าไม่กลัวขายหน้าสี่คำในประโยคนี้ ในใจก็คิดว่าเช่นนี้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องให้ตนคิดอะไรอีก

อย่างที่คิด เมื่อได้ยินคำว่าไม่กลัวขายหน้าสี่คำนี้ ไม่เพียงถังซานสือลิ่วจะไม่เกิดความลังเลใดๆ ดวงตากลับส่องประกายขึ้นมา และพูดขึ้น “หน้าคืออะไร”

เทียนไห่หยาเอ๋อร์มองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างไม่สงบ “เจ้าคิดจะทำอะไร หรือว่าเจ้าจะรังแกคนพิการอย่างข้าต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้”

สายฝนปกคลุมตรอกไป่ฮวา ฝนนั้นไม่ได้ตกหนัก กระทั่งค่อยๆ ตกเบาลงแล้ว ทางด้านนักบวชของพระราชวังหลีกับกองทัพอวี่หลินซึ่งทำหน้าที่รักษาความสงบฝั่งนั้นมีชาวเมืองจิงตูล้อมเข้ามามากมายแล้ว

ชื่อเสียงของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ในจิงตูนั้นย่ำแย่อย่างมาก แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นเด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงสิบสี่ปี อีกทั้งยังพิการมาเกือบปีแล้ว ขาทั้งสองข้างนั้นบางราวกับกิ่งไม้ก็ไม่ปาน มองดูแล้วก็น่าสงสารอย่างมาก ถ้าหากมีคนลงมือกับเขาที่นั่งอยู่บนรถเข็น เกรงว่าจะนำมาซึ่งคำครหามากมาย

แต่ว่าถังซานสือลิ่วไหนเลยจะเกรงกลัวคำครหาอะไร

เขามองเทียนไห่หยาเอ๋อร์แล้วแย้มยิ้มพูดขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนเด็กข้าชอบทำเรื่องหนึ่งมากที่สุด”

เทียนไห่หยาเอ๋อร์จ้องตาของเขา และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะสั่นเครือ “เรื่องอะไร”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ที่ข้าชอบที่สุดก็คือการถือไม้พลองไล่ตีสุนัขที่ตกลงในแม่น้ำไม่หยุด”

เทียนไห่หยาเอ๋อร์เข้าใจความหมายของเขา ก็หนาวสั่นขึ้นมา และตะโกนขึ้นด้วยเสียงที่สั่นเทา “ใครก็ได้รีบเข้ามา! หลานชายเพียงคนเดียวของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยจะทำร้ายคนแล้ว! เขาจะลงมือกับคนพิการเช่นข้าแล้ว!”

ถังซานสือลิ่วเองก็ไม่รีบร้อน และปล่อยให้เขาตะโกนไป รอจนตอนที่เสียงของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ หยุดลง ก็พูดกับฝูงชนที่อยู่นอกตรอก “ทุกคนมองให้ชัดเจน ข้าไม่ได้ลงมือนะ”

เขาไม่ได้ทำร้ายเทียนไห่หยาเอ๋อร์จริงๆ แม้แต่ชุดของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ก็ไม่ได้แตะเลยสักนิด

ตอนที่พูดขึ้น เขายังจงใจชูน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ในมือทั้งสองข้างของคนขึ้นมา แสดงให้ทุกคนว่าถึงตนจะอยากทุบตีคน แต่ก็ทำไม่ได้

หลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็เย็นชาขึ้นมา เท้าข้างหนึ่งได้ถีบไปที่หน้าอกของเทียนไห่หยาเอ๋อร์อย่างแรง!

เสียงปะทะได้ดังขึ้น!

เทียนไห่หยาเอ๋อร์กับรถเข็นถูกถีบกระเด็นลงไปที่น้ำฝนบนพื้น หัวที่ล้มฟาดลงไปก็แตกจนมีเลือดไหลออกมา

ลูกถีบของถังซานสือลิ่วรุนแรงอย่างมาก เด็กหนุ่มผู้พิการงอตัวราวกับกุ้ง ใบหน้าซีดขาวจนถึงที่สุด เขาเจ็บปวดเสียจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว

หน้าประตูสำนักฝึกหลวง และนอกตรอกไป่ฮวาเงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีใครพูดออกเลยสักคน

จะเป็นใครก็คิดไม่ถึง เมื่อนาทีก่อนเขายังมีรอยยิ้ม ในมือชูน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ ยืนหัวเราะอย่างโง่งม นาทีถัดมา เขาก็ถึงกับลงมือกับเด็กหนุ่มที่นั่งพิการอยู่บนรถเข็นอย่างรุนแรงจริงๆ!

องครักษ์ของตระกูลเทียนไห่ และยังมีโจวจื้อเหิงล้วนคิดไม่ถึง ดังนั้นจึงมาห้ามได้ไม่ทันการ

เสียงลมที่พัดแรงได้หวีดร้อง องครักษ์กับผู้ติดตามของตระกูลเทียนไห่พลันมาถึง และเข้ามาปกป้องเทียนไห่หยาเอ๋อร์

ร่มที่อยู่ในมือของโจวจื้อเหิงคันนั้นถูกโยนทิ้งไปตั้งนานแล้ว มือขวาของเขาจับไปที่ด้ามกระบี่แล้ว เขาจ้องถังซานสือลิ่วด้วยใบหน้าโมโหโกรธา ราวกับว่านาทีถัดไปก็จะชักกระบี่แล้ว

ถังซานสือลิ่วยังคงไม่ได้สนใจผู้แข็งแกร่งในระดับรวบรวมดวงดาวผู้นี้ เขามองไปที่ฝูงชน และชูน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ในมือให้สูงขึ้น พลางพูด “ทุกคนเห็นชัดเจนแล้วนะ ข้าไม่ได้ลงมือจริงๆ แล้วก็ยิ่งไม่ได้ใช้มือ ข้าลงเท้าต่างหาก”

เป็นเช่นนี้จริงๆ เขาไม่ได้ลงมือกับเทียนไห่หยาเอ๋อร์อย่างเหี้ยมโหด ที่เขาใช้คือเท้าต่างหาก

โจวจื้อเหิงคำรามขึ้นมาด้วยความโกรธ กระบี่คมถูกชักออกจากฝัก เจตจำนงกระบี่โผทะยานขึ้นมา สั่นสะเทือนอยู่ที่หน้าประตูของสำนักฝึกหลวง

เป้าหมายของเจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งสายนี้ แน่นอนว่าก็คือถังซานสือลิ่ว

เขาดูแผ่นป้ายบรรลุสัจธรรมอยู่ในสุสานเทียนซู พยายามบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก ระดับพลังของถังซานสือลิ่วจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยอายุเพียงเท่านี้ก็สามารถบำเพ็ญเพียรไปถึงระดับทะลวงอเวจีขั้นสูงได้อย่างยากจะจินตนาการ แต่ว่าเขาก็ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของระดับรวบรวมดวงดาวได้

แต่ว่าเขายังไม่ได้มองโจวจื้อเหิงแม้แต่แวบเดียว และยังคงเดินเข้าไปในประตูสำนักฝึกหลวงต่อไป

ตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในตรอกไป่ฮวา และได้เห็นโจวจื้อเหิงเป็นครั้งแรก เขาก็รู้แล้วว่าคนผู้นี้อยากจะให้โลกได้มองเห็นอย่างมาก เช่นนั้นแล้วตั้งแต่ต้นจบ เขาก็เลยไม่มอง

แน่นอนว่านี่เป็นการเหยียดหยามเขา

โจวจื้อเหิงเป็นนักบวชของตำหนักขบวนรถอริพ่าย เป็นแขกของตระกูลเทียนไห่ และยังเป็นอาจารย์ของหอจงซื่อ ไม่ว่าจะเป็นสถานะไหน ก็ล้วนกำหนดให้เขามีสิทธิ์ที่จะหยิ่งยโส

คนที่หยิ่งยโสไหนเลยจะสามารถทนต่อการเหยียดหยามเช่นนี้ได้ ดังนั้นต่อให้ในตอนนี้เขาจะรู้ถึงสถานะของถังซานสือลิ่วแล้ว เขาก็ยังคงจะชักกระบี่

กระบี่ไม่สามารถจะออกมาได้

ได้ยินเพียงแค่เสียงดึงสายธนูที่ดังขึ้นถี่ๆ ในที่นั้น

กองทัพอวี่หลินนับสิบคนได้วางกองกำลังอยู่ที่ด้านหลังของถังซานสือลิ่ว ในมือมีคันธนูที่ดึงสายค้างไว้ ลูกธนูที่แหลมคมมีกลิ่นอายพลังปราณปกคลุมอยู่ ก็เป็นความน่ากลัวเช่นนั้น

มีรองแม่ทัพที่ใบหน้าเยือกเย็นเป็นเกล็ดน้ำแข็งผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง ในมือจับอยู่ที่ด้ามกระบี่ กำลังจ้องมองมาที่ดวงตาของโจวจื้อเหิง เจตนาการเตือนเห็นได้ชัดเจนอย่างมาก ขอเพียงแค่เขาขยับ เช่นนั้นก็ต้องตาย

ถังซานสือลิ่วกับเฉินฉางเซิงเดินเข้าไปในสำนักฝึกหลวง ประตูสำนักได้ปิดลงมา ส่งเสียงดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง

ก็เหมือนเสียงตบหน้าที่ชัดเจน

เทียนไห่หยาเอ๋อร์ถูกเหล่าองครักษ์กับผู้ติดตามพยุงขึ้นมา ใบหน้าซีดขาว และเจ็บปวดอย่างไม่อาจทนไหว

โจวจื้อเหิงยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ใบหน้าซีดขาว มองดูรองแม่ทัพผู้นั้นแล้วพูดขึ้น “ข้าอยากจะรู้นัก ขุนพลเทพเซวียรับทราบเรื่องนี้หรือไม่”

ทุกคนล้วนรู้กัน กองทัพอวี่หลินซึ่งรับหน้าที่ดูแลความสงบในจิงตูอยู่ใต้บังคับบัญชาของขุนพลเทพอันดับสองของดินแดนต้าลู่เซวียสิ่งชวน และตลอดมาขุนพลเทพเซวียก็ภักดีต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ในวันนี้ท่าทีที่กองทัพอวี่หลินแสดงออกมาตรงหน้าประตูสำนักฝึกหลวง ได้มีความเป็นอริต่อตระกูลเทียนไห่อย่างชัดเจน

รองแม่ทัพผู้นั้นมองโจวจื้อเหิงราวกับมองคนปัญญาอ่อนก็ไม่ปาน แล้วจึงพูดขึ้น “ตระกูลท่านตาข้าก็มีทายาทเพียงคนเดียว ข้าไม่ขวางเจ้า หรือเจ้าคิดอยากจะให้ตายกันทั้งตระกูล”

เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาก็ส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องหลีกทาง หลังจากนั้นก็เดินไปที่โรงเตี๊ยมซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสำนักฝึกหลวง และดื่มชาอย่างเหม่อลอยต่อ

ภายในสำนักฝึกหลวง เซวียนหยวนผ้อกับเฉินฉางเซิงเข้ามากอดคอถังซานสือลิ่วอย่างอบอุ่นและเดินเข้าไปในหอตำรา

“ความอบอุ่นของพวกเจ้า ทำให้ข้ารู้สึกไม่ค่อยจะคุ้นชินเลย” ถังซานสือลิ่วมองสีหน้าของพวกเขา รู้สึกว่าน่าประหลาดอยู่บ้าง

เฉินฉางเซิงมองไปที่เขาด้วยใบหน้าปลื้มปีติ เซวียนหยวนผ้อเองก็มีท่าทางเหมือนยกเขาออกจากอก

“เจ้าไม่รู้ หลายวันมานี้เจ้าปีศาจน้อยที่พิกลพิการนี่มาด่าทอคำหยาบอยู่หน้าประตูสำนักทุกวัน พวกข้าแทบจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็ได้แต่หวังให้เจ้ากลับมา”

เฉินฉางเซิงมองเขาแล้วพูดอย่างขอบคุณ “ไม่ผิดจริงๆ เจ้ากลับมาก็สามารถจัดการเรื่องเหล่านี้ให้เรียบร้อยได้ ไม่เช่นนั้นพวกข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะต้องทำเช่นไร”

ถังซานสือลิ่วค่อนข้างจะภูมิใจ และก็โมโหอยู่บ้าง จึงพูดขึ้น “พวกเจ้าปล่อยให้คนมาด่าทออยู่หน้าประตูสำนักเนี่ยนะ เจริญจริง!”

เฉินฉางเซิงค่อนข้างจะกระดากอายอยู่บ้าง จึงพูดขึ้น “ข้าไม่มีประสบการณ์ในการจัดการกับเรื่องเหล่านี้จริงๆ”

เซวียนหยวนผ้อที่อยู่ด้านข้างได้พูดขึ้น “เทียนไห่หยาเอ๋อร์อาศัยว่าพิการมาด่าทอ หน้าไม่อายนัก พวกข้าจะทำอะไรได้ หรือว่าจะให้ซ้อมเขาสักรอบจริงๆ”

ถังซานสือลิ่วคิดว่าเมื่อครู่ไม่ใช่ว่าตนก็ถีบเข้าไปทีหนึ่งหรอกหรือ แถมยังถีบไปอย่างสุขใจ ทำไมถึงจะทำไม่ได้กัน

เฉินฉางเซิงพูดขึ้นอย่างจนใจ “เจ้าหมอนั้นในตอนนี้ก็เหมือนสิ่งปฏิกูลกองหนึ่ง จะจัดการอย่างไร ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้มือของตนต้องสกปรก ดังนั้นจึงทำได้เพียงรอเจ้ากลับมา”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ทำไมต้องรอให้ข้ากลับมา”

เฉินฉางเซิงหันไปมองทิวทัศน์ที่นอกหน้าต่าง

เซวียนหยวนผ้อนั้นค่อนข้างจะซื่อกว่า จึงพูดขึ้น “เจ้ามีประสบการณ์ทางด้านนี้ค่อนข้างมาก อีกอย่าง พวกข้าล้วนรู้ว่าเจ้ายังหน้าไม่อายยิ่งกว่าเขาเสียอีก”

เมื่อถังซานสือลิ่วได้ยินก็นิ่งอึ้งไป หลังจากนั้นก็โมโหอย่างมาก “ความหมายว่าอย่างไร พวกเจ้าทั้งสองคนพูดให้ชัดเจน นี่มันหมายความว่าอย่างไร! หรือว่าในสายตาของพวกเจ้า ข้าเองก็เป็นสิ่งปฏิกูลกองหนึ่ง”

เซวียนหยวนผ้อไร้คำพูด ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเช่นไร เขาคิดจะเอ่ยปากอธิบายสักสองประโยค แต่กลับพบว่าไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร

เฉินฉางเซิงพูดปลอบใจขึ้น “ความหมายของพวกข้าคือ เจ้าทั้งไม่มีเหตุผลและยังมีความสามารถไม่กลัวความสกปรก ซึ่งเหมาะแก่การต่อกรกับคนประเภทนี้พอดี”

ถังซานสือลิ่วนำประโยคนี้เข้ามาไล่เรียงในใจใหม่รอบหนึ่ง ก็ยิ่งโมโหและพูดขึ้น “นี่ไม่ใช่ว่าเป็นไม้เขี่ยมูลหรือ มันดีกว่าตรงไหน!”

……

……

แน่นอนว่าเขาไม่ได้โมโหจริงๆ เป็นเพียงแค่หยอกล้อกันเท่านั้น เฉินฉางเซิงกับเซวียนหยวนผ้อกำลังรอการกลับมาของถังซานสือลิ่วจริงๆ เพราะว่าพวกเขาทั้งสองคนล้วนไม่ถนัดการเจรจา และยิ่งไม่ถนัดการวางแผน แน่นอนว่าลั่วลั่วมีความสามารถตรงนี้ แต่สถานะของนางนั้นอ่อนไหวเกินไป ดังนั้นหากคิดจะแก้ปัญหาที่สำนักฝึกหลวงจะต้องเผชิญต่อจากนี้ ก็ยังสามารถคาดหวังได้เพียงแค่ถังซานสือลิ่วแล้ว ที่จริงมีคนน้อยมากที่จะสังเกตเห็นมาก่อน ปัญหามากมายของสำนักฝึกหลวงในยามก่อน ก็เป็นถังซานสือลิ่วที่เป็นคนแก้ปัญหา

หลังจากที่ได้ยินเฉินฉางเซิงอธิบายกฎใหม่ของนิกายหลวงไปรอบหนึ่ง ถังซานสือลิ่วก็ลองคิดดู หลังจากนั้นจึงจิ้มปาท่องโก๋ในมือลงไปในน้ำเต้าหู้ และพูดขึ้น “กดน้ำพวกเขาให้ตาย”

เฉินฉางเซิงกับเซวียนหยวนผ้อล้วนฟังไม่เข้าใจ กดน้ำให้ตายหมายความว่าอย่างไร