ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 11 หารือกันด้วยเรื่องอันใด

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“พวกเจ้าไม่ต้องยุ่ง เดี๋ยวข้าจัดการเอง” ถังซานสือลิ่วไม่ได้อธิบายอะไรกับพวกเขามากนัก และพูดขึ้นมาตรงๆ “ถ้าหากเรื่องนี้ยังแก้ไขไม่ได้ ข้าก็ไม่เรียกตัวเองว่าถังซานสือลิ่วแล้ว”

คำพูดประโยคนี้พูดด้วยความมั่นใจอย่างมาก แต่เฉินฉางเซิงกับเซวียนหยวนผ้อกลับยิ่งสนใจในปัญหาอื่นอีกสามข้อมากกว่า อันดับแรก น้ำเต้าหู้ชามนี้มีฝนตกลงไปมาก น่าจะจืดลงไปมากแล้ว ข้อถัดมาปาท่องโก๋ชิ้นนี้ถูกเขาถือไว้ในมือเป็นเวลานานขนาดนี้ น่าจะสกปรกไปมากแล้ว ข้อสุดท้ายก็คือ ถังซานสือลิ่วเปลี่ยนชื่อก็เป็นเรื่องที่เห็นได้ตามปกติ คำมั่นเช่นนี้ฟังอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่

เดิมทีเขาก็ไม่ได้ชื่อถังซานสือลิ่ว เขามีชื่อว่าถังถัง โดยเฉพาะในตอนนี้เขาได้เข้าสู่ระดับทะลวงอเวจีขั้นสูงแล้ว จะต้องออกจากประกาศชิงอวิ๋น และเข้าสู่ประกาศเตี่ยนจิน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ คิดว่าก็คงไม่บังเอิญขนาดที่ว่ายังเป็นอันดับที่สามสิบหกเช่นเดิม อีกอย่างหลังการเปลี่ยนอันดับในประกาศชิงอวิ๋นในครั้งก่อน เขาก็อ้างว่าอันดับในครั้งนี้ไม่ค่อยน่าฟังจึงไม่ได้เปลี่ยนชื่อ ในครั้งนี้ก็คงไม่อาจใช้เหตุผลเดิมมาแก้ต่างให้ผ่านไปได้แล้ว

เซวียนหยวนผ้อรู้สึกว่าที่ถังซานสือลิ่วพูดนี้ช่างไม่มีความจริงใจเลย จึงส่ายศีรษะและเดินออกไป

เฉินฉางเซิงอยากจะถามให้ชัดเจน แต่เมื่อลองคิดดู ตนก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้จริงๆ ไยต้องหาเรื่องเครียดให้ตน จึงถามขึ้น “เจ้ารู้สึกว่าในครั้งนี้ตนจะเปลี่ยนชื่อเป็นอะไร”

“ข้าคิดว่าจะอย่างไร…ก็ต้องอยู่ในสามสิบอันดับแรกแหละ”

“นั่นเป็นประกาศเตี่ยนจิน ไม่ใช่ประกาศชิงอวิ๋น”

“เช่นนั้นแล้วอย่างไร ในตอนนี้ข้าอยู่ในระดับทะลวงอเวจีขั้นสูงเชียวนะ! ขอเพียงแค่ข้าไม่ขี้เกียจ ไม่กี่นาทีก็ไล่ตามเจ้าทัน” ถังซานสือลิ่วพูดอย่างภูมิใจ

ใบหน้าของเขามีเศษฝุ่นอยู่มากมาย แต่ก็ยังคงสามารถเห็นว่าผิวได้ขาวขึ้นมาบ้าง อีกทั้งยังผอมลงไปมาก เห็นได้ชัดอย่างมากว่าการบำเพ็ญเพียรในสุสานเทียนซูนั้นสุดแสนจะยากลำบาก

อายุเพียงเท่านี้ก็สามารถเข้าสู่ประกาศเตี่ยนจิน อีกทั้งยังมั่นใจว่าตนต้องอยู่ในสามสิบอันดับแรก ในอดีตถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างมาก ที่จริงเขาก็มีคุณสมบัติพอให้หยิ่งยโส

เฉินฉางเซิงดีใจแทนเขาจริงๆ จึงพูดขึ้น “ต้องพยายามต่อไปนะ”

ถังซานสือลิ่วได้ยินก็รู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไหร่ จึงพูดขึ้น “เจ้ามองตัวเองเป็นเจ้าสำนักจริงๆ สินะ”

เฉินฉางเซิงยิ้มขึ้นมา เตรียมตัวจะขอโทษ ถังซานสือลิ่วกลับถอดถอนใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“เป็นอะไรไป”

“เมื่อคิดว่าเจ้ากับสวีโหย่วหรงที่อยู่เบื้องหน้าวิ่งเร็วกันขนาดนั้น ความสำเร็จอันแสนยอดเยี่ยมของข้าก็ถึงกับไม่อาจจะสั่นสะเทือนฟ้าดิน สามารถสั่นสะเทือนเพียงแค่พวกเครือญาติที่อยู่ในแม่น้ำเวิ่นชวนเท่านั้น ช่างไม่ไหวเลยจริงๆ”

เมื่อพูดประโยคนี้จบ ถังซานสือลิ่วก็ลุกยืนขึ้นมา มองไปที่รอบด้านของหอตำรา และถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน “องค์หญิงลั่วลั่วไม่มาต้อนรับการกลับมาของข้าก็แล้วไป แล้วเจ๋อซิ่วล่ะ”

ในใจของเขา เจ๋อซิ่วผู้เป็นเด็กหนุ่มเผ่าหมาป่าก็เป็นนักเรียนผู้ยอดเยี่ยมที่เขาใช้เงินจำนวนมากซื้อตัวมาให้สำนักฝึกหลวง ในตอนนี้ปัญหาที่สำนักฝึกหลวงกำลังเผชิญก็ต้องการให้เขามาแก้ไข ไม่อาจปล่อยให้เขาไปได้

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าไม่ทันได้พูดกับเจ้า”

ถังซานสือลิ่วหันกลับมามองเขา แล้วถามขึ้น “เรื่องอะไร”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “เจ๋อซิ่วในตอนนี้อยู่ในคุกโจว”

……

……

ตั้งแต่ที่เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วออกจากสุสานเทียนซู เข้าไปในสวนโจวจนกระทั่งถึงตอนนี้ นิทานเรื่องนี้ดูเหมือนจะยาวนานอยู่บ้าง ทว่าการเล่าจนจบกลับไม่ต้องใช้เวลานานนัก แม้แต่ปาท่องโก๋ที่อยู่ในน้ำเต้าหู้ก็ยังไม่เปื่อยยุ่ยเลย

“ที่แท้…ก็เกิดเรื่องขึ้นมากมายขนาดนี้” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เรื่องอื่นอย่าเพิ่งไปสนใจ แต่ว่าเจ๋อซิ่ว…พวกเรานั้นจ่ายเงินไปแล้ว จะต้องรีบพาเขาออกมา”

เจ๋อซิ่วถูกสำนักฝึกหลวงจ่ายเงินซื้อตัวมา เช่นนั้นเขาก็เป็นคนของสำนักฝึกหลวง เป็นคนของสำนักฝึกหลวง สำนักฝึกหลวงก็ต้องปกป้อง นี่เป็นเหตุผลที่แสนจะเรียบง่าย

โดยเฉพาะคุกโจวนั้นเป็นสถานที่ที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก อยู่ในนั้นวันหนึ่งก็เหมือนกับอยู่ในขุมนรกหนึ่งปี

เฉินฉางเซิงเองก็เป็นห่วงเจ๋อซิ่วอย่างมาก เพียงแต่นิกายหลวงกับราชสำนักกำลังปะทะกัน ภายในพระราชวังหลีก็เกิดปัญหาภายในขึ้นมาอีก ร่างกายของใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาก็ไม่ค่อยดีแล้ว เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร

“ในบางความหมาย โจวทงก็เหมือนเทียนไห่หยาเอ๋อร์ที่พวกเจ้าไม่มีวิธีจัดการ เพียงแต่น่ากลัวยิ่งกว่าเทียนไห่หยาเอ๋อร์หลายเท่านัก และแข็งแกร่งกว่านับไม่ถ้วน เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย จะเป็นเรื่องที่โหดเหี้ยมน่ารังเกียจเพียงใดก็สามารถทำได้ ใครก็รู้ว่าเขาเป็นหมาบ้าตัวหนึ่งของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เหนียงเหนียงต้องการให้เขากัดใคร เขาก็กัดคนผู้นั้น จะเป็นการวางแผนอะไรก็ล้วนไม่ได้ผล”

“แต่ทำไมเขาถึงได้กัดสำนักฝึกหลวงไม่ยอมปล่อยกัน”

“เพราะว่าใต้เท้าสังฆราชได้แสดงท่าทีออกมาแล้ว ว่าตำแหน่งจักรพรรดิของต้าโจวต้องหวนคืนสู่ราชวงศ์ แต่เห็นได้ชัดว่าเหนียงเหนียงไม่ได้คิดเช่นนี้”

เฉินฉางเซิงก้มหน้าพูดขึ้น “ที่จริง…ไม่ใช่ว่าข้าจะสามารถเข้าใจได้นัก ตำแหน่งจักรพรรดิมีอะไรสำคัญหรือ”

ถังซานสือลิ่วมองเขาราวกับมองตัวประหลาด แล้วพูดขึ้น “นั่นเป็นจักรพรรดิของต้าโจว เป็นอำนาจที่สูงส่งที่สุด เป็นสิ่งล่อลวงที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจต้านทาน”

เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้นมา มองเขาแล้วพูดขึ้น “แต่ข้าไม่รู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มีอะไรดีจริงๆ ข้าเพียงรู้สึกว่าต้องเสียเวลาและกำลังไปเพื่อเรื่องพวกนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ”

ถังซานสือลิ่วมองไปที่ดวงตาของเขา ซึ่งกระจ่างใสสะอาดเช่นนั้น ไม่มีการเสแสร้งแม้แต่น้อย ก็อดไม่ได้ที่จะประทับใจ “เจ้าคิดเช่นนี้จริงๆ หรือ”

“ใช่” เฉินฉางเซิงพูดขึ้น

“เฉินฉางเซิง เจ้าเป็นตัวประหลาดจริงๆ อีกทั้งยังเป็นตัวประหลาดอย่างแท้จริง ไม่เหมือนเทียนไห่หยาเอ๋อร์ที่เป็นพวกจิตวิปริตเช่นนั้น”

ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้น “เจ้าไม่สามารถเข้าใจคนดั่งเช่นพวกข้านี้ ข้าเองก็ยากจะเข้าใจเจ้า ทำไมถึงได้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้จริงๆ”

เฉินฉางเซิงคิดดู แล้วพูดขึ้น “เป็นไปได้เพราะว่าข้าเคยเจอ…บางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า”

“ตัวอย่างเช่น”

“…ความเป็นตาย”

……

……

นอกจากความเป็นตาย เรื่องอื่นก็ล้วนไร้สาระ

ความเป็นตายเป็นเรื่องใหญ่

ในชีวิตคนไม่มีเรื่องใดใหญ่โต มีเพียงความเป็นตายเท่านั้นที่เป็นเรื่องใหญ่

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดในตำราของคนในอดีต

เฉินฉางเซิงนั้นอ่านคัมภีร์เต๋าจนแตกฉาน จดจำได้มากมาย แต่ว่าล้วนไม่จำเป็น เขาจำเป็นต้องจำเพียงแค่เป็นตายสองคำนี้ก็พอแล้ว

สำหรับคนธรรมดาแล้ว ความเป็นตายเป็นเรื่องในอีกหนึ่งร้อยปีให้หลังของพวกเขา

สำหรับผู้บำเพ็ญเพียร ความเป็นตายเป็นเรื่องในอีกหลายร้อยปีให้หลังของพวกเขา

สำหรับเฉินฉางเซิง ความเป็นตายก็อยู่ตรงหน้าของเขามาโดยตลอด อยู่ในความคิดของเขา ทำให้เขาคะนึงถึงไม่อาจลืม

ความเป็นตายมาอยู่ตรงหน้า เขาจะไปสนใจเรื่องอื่นในชีวิตได้อย่างไร อย่างน้อย ก่อนที่เขาจะแก้ไขปัญหาของตน ก็ไม่ได้สนใจมากนัก

ถังซานสือลิ่วไม่รู้ถึงปัญหาของเฉินฉางเซิง แต่หลังจากที่ได้ยินคำว่าความเป็นตายแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใด ก็รู้สึกถึงความเหน็บหนาวจากสายฝนที่นอกหน้าต่างซึ่งไม่ควรจะมีอยู่ในฤดูร้อน

เฉินฉางเซิงคิดถึงเรื่องอื่นต่อ

เขาคิดถึงใต้เท้ามุขนายกที่กำลังป่วยอยู่ ความขัดแย้งภายในของนิกายหลวงไปจนถึงคำพูดที่ซูหลีเคยพูดกับเขา ที่พูดว่า “โลกใบนี้นั้นสุดจะทนขนาดนี้จริงๆ หรือ”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “อย่างน้อยก็ไม่ได้ใสสะอาดเหมือนกับความหวังของพวกข้าขนาดนั้น ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงสามารถเป็นเจ้าสำนักฝึกหลวงได้”

ถึงแม้ในสุสานเทียนซูกับสวนโจว จะสร้างความชอบใหญ่หลวงให้กับนิกายหลวงและต้าโจวอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยการที่เฉินฉางเซิงมีอายุสิบหกปี ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะกลายมาเป็นเจ้าสำนักฝึกหลวง

ในสายตาของถังซานสือลิ่วไปจนถึงผู้คนมากมายที่ไม่รู้ถึงเรื่องราวภายในเหล่านั้น เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมใน ต้องมีผลประโยชน์ที่ไม่อาจเปิดเผยมากมายหรือเรื่องราวเบื้องหลัง

เฉินฉางเซิงไม่คิดว่าเรื่องเหล่านี้จะไม่สามารถเปิดเผยได้ อย่างน้อยก็สามารถพูดกับถังซานสือลิ่วได้

“อาจารย์ของข้าคือศิษย์พี่ของใต้เท้าสังฆราช”

สายตาของเขามองผ่านหน้าต่าง และไปหยุดอยู่ที่สวนที่เต็มไปด้วยสีเขียวขจี พลางพูดขึ้น “เขาก็คืออดีตเจ้าสำนักฝึกหลวง”

ถังซานสือลิ่วตกตะลึงอย่างมาก เทียบกับเมื่อครู่ตอนที่เฉินฉางเซิงเล่าถึงซูหลี เล่าถึงเรื่องในเมือง สวินหยางแล้วก็ยังตกตะลึงยิ่งกว่า

คดีเลือดของสำนักฝึกหลวงเมื่อสิบกว่าปีก่อน ได้เปลี่ยนแปลงโลกมนุษย์ทั้งหมด แม้แต่พรรคฉางเซิงกับพรรคกระบี่เขาหลีซานที่อยู่ห่างไกลทางแดนใต้ก็ยังได้รับผลกระทบอย่างมาก

เจ้าสำนักคนก่อนของสำนักฝึกหลวง นั่นเป็นบุคคลสำคัญที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจลืม ถึงแม้ว่าชื่อของเขาจะถูกลบออกไปจากบันทึกของนิกายหลวงไปตั้งนานแล้ว ในจิงตูก็ยิ่งถูกห้ามไม่ให้พูดถึง

“มิน่าเจ้าที่เป็นเพียงนักพรตหนุ่มจากบ้านนอก กลับสามารถแตกฉานในคัมภีร์เต๋า ใต้เท้าสังฆราชให้เจ้าเป็นเจ้าสำนักฝึกหลวง ต้องการเลี้ยงดูให้เจ้าเป็นผู้สืบทอด…มิน่าโจวทงถึงได้ลงมือกับสำนักฝึกหลวงอย่างเหี้ยมโหด” ถังซานสือลิ่วมองเขา และพูดบ่นขึ้น “ที่แท้เจ้าถึงกับเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้น”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ไม่ ข้ายังมีศิษย์พี่อีกคน”

ตอนที่ออกจากเมืองซีหนิง อาจารย์เคยมอบหมายเรื่องบางอย่างกับเขา ดังนั้นในจิงตูเขาถึงได้พูดถึงศิษย์พี่น้อยมาก จนถึงตอนนี้ มีเพียงสวีโหย่วหรงกับถังซานสือลิ่วไม่กี่คนที่เคยยอมรับมาก่อน

ถังซานสือลิ่วถามขึ้น “เจ้ายังมีศิษย์พี่ด้วยหรือ เช่นนั้นเขาเป็นคนเช่นไร”

เฉินฉางเซิงลองคิดดู พบว่าศิษย์พี่อวี๋เหรินนั้นยากจะใช้คำพูดมาบรรยายจริงๆ บางทีเป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรมาศิษย์พี่ไม่เคยพูดออกมาเลย

“ศิษย์พี่…เป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก”

“ยอดเยี่ยมแค่ไหน หรือว่ายังจะยอดเยี่ยมยิ่งกว่าข้าอีกหรือ”

“ศิษย์พี่เมื่อเทียบกับเจ้าในสมัยก่อนก็ยอดเยี่ยมกว่าหมื่นเท่า หลังจากที่เจ้าเริ่มขยันขึ้นมาในตอนนี้ ศิษย์พี่ก็ยอดเยี่ยมกว่าเจ้าร้อยเท่า”

เฉินฉางเซิงมองเขาแล้วพูดขึ้น ไม่ได้จงใจที่จะเย้ยหยันดูถูก แต่เป็นผลลัพธ์ที่ได้หลังจากที่เขาครุ่นคิดอย่างตั้งใจ

ถังซานสือลิ่วนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน หลังจากนั้นก็พูดขึ้น “ดูท่าแล้วจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างมากผู้หนึ่งจริงๆ”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ใช่แล้ว เขาเป็นแบบอย่างของข้า”

ถังซานสือลิ่วพลันถามขึ้นอย่างกะทันหัน “อาจารย์ของเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ข้าไม่เข้าใจความหมายของเจ้า”

ถังซานสือลิ่วจ้องไปที่ดวงตาของเขา แล้วพูดขึ้น “เจ้าควรจะเข้าใจความหมายของข้าอย่างมาก”

ในเมื่อนักพรตจี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่นักพรตจี้ เขายังเป็นอดีตเจ้าสำนักฝึกหลวง เป็นผู้นำของคนที่ต่อต้านจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ เช่นนั้นทุกเรื่องที่เขาทำก็ล้วนคู่ควรให้คิดอย่างละเอียด

เขาควรจะชัดเจนอย่างมาก ความเป็นมาของเฉินฉางเซิงไม่มีทางเป็นความลับไปได้ตลอด ผ่านท่าทีของเหมยหลี่ซากับใต้เท้าสังฆราช ก็สามารถที่จะยืนยันได้ว่า ก่อนที่เฉินฉางเซิงจะมาที่จิงตู เขาก็เคยได้ติดต่อกับทางพระราชวังหลี เช่นนั้นก็ยิ่งควรจะชัดเจน จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องรู้ถึงความเป็นมาของเฉินฉางเซิง นี่ก็หมายความว่า สถานการณ์ของเฉินฉางเซิงในอนาคตจะยากลำบากอย่างมาก กระทั่งอันตรายอย่างหาใดเปรียบ แต่เขายังคงยืนหยัดจะให้เฉินฉางเซิงเข้ามาสอบที่จิงตู และยังไม่ได้มอบหมายให้ทำสิ่งใด นี่เป็นเพราะอะไร ก็เพราะการหมั้นหมายระหว่างเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงนั่นหรือ

นี่เป็นปัญหาที่สำคัญอย่างมาก เพียงแต่เฉินฉางเซิงไม่เคยคิดมาก่อน หรือพูดได้ว่า เขาจงใจไม่ให้ตนไปคิดถึงปัญหาข้อนี้

กระทั่งถังซานสือลิ่วทำลายหน้าต่างกระดาษบานนั้น

……

……

“เรียนใต้เท้า ทางเมืองหานซานได้ส่งข่าวล่าสุดมาให้ มีผู้ใช้ชื่อนักพรตจี้เคยมาทำการรักษาจริงๆ แต่ว่าตอนที่ไล่ตามไป คนผู้นั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว”

“คนอย่างเจ้าสำนักซาง เหนียงเหนียงในตอนนั้นยังไม่สามารถฆ่าเขาให้ตายได้ ไหนเลยที่คนเช่นพวกเราจะสามารถหาพบได้”

โจวทงนั่งอยู่หลังโต๊ะสอบสวนกำลังมองดูบันทึกคดีหลายฉบับที่เรือนหน้าส่งมาเมื่อคืน โดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาเลย

ลูกน้องที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะผู้นั้น พลันพูดขึ้นเสียงเบา “ตามที่ทางเมืองซีหนิงพูดมา พวกเราตรวจดูแล้ว นักพรตจี้…เจ้าชั่วซางยังมีศิษย์อีกคนหนึ่งจริงๆ”

นิ้วมือของโจวทงที่กำลังพลิกหน้ากระดาษได้หยุดชะงัก หลังจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมา