โจวทงวางบันทึกคดีในมือลง มองไปทางลูกน้องผู้นั้นแล้วพูดขึ้น “ยืนยันแล้วหรือ”
ลูกน้องผู้นั้นล้วงภาพเหมือนออกมาจากหน้าอกแผ่นหนึ่ง แล้วพูดขึ้น “จริงแท้แน่นอน”
โจวทงไม่ได้รับมา สองตากวาดมองอยู่เช่นนั้น และไม่ได้พูดอะไร
ลูกน้องผู้นั้นพูดขึ้นต่อ “ตามข้อมูลที่บันทึกไว้ ในเวลาหนึ่งปีที่เฉินฉางเซิงมายังจิงตูนี้ ไม่เคยพูดถึงคนผู้นี้มาก่อน”
โจวทงมองไปที่แสงแดดนอกหน้าต่างแล้วนิ่งเงียบไปนาน ถึงได้พูดขึ้นอย่างกะทันหัน “เจ้าว่า สรุปองค์รัชทายาทเจาหมิงได้ตายไปแล้ว หรือว่าถูกพวกราชวงศ์ที่ยังไม่ยอมถอดใจแอบลักพาตัวไปกัน”
ลูกน้องผู้นั้นไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร เขากังวลอย่างมาก และพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “ความหมายของท่านคือ”
โจวทงส่ายศีรษะ แล้วพูดขึ้น “ข้าไม่ได้มีความหมายอะไร เพียงแค่จิตใต้สำนึกคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา”
ลูกน้องผู้นั้นไม่กล้าพูดต่อ
“มีบางเรื่องที่ยังตรวจสอบไม่แน่ชัดก็อย่าเพิ่งไปใส่ใจ” โจวทงถอนสายตากลับมาจากด้านนอกหน้าต่าง แล้วพูดขึ้น “ทำไมเหลียงเสี้ยวเซียวถึงได้ยอมร่วมมือกับคนชุดดำที่เป็นดั่งภูตผีเช่นนี้ กระทั่งยอมที่จะฆ่าตัวตายเพื่อต่อกรกับซูหลีพ่อลูก เพราะว่าเขาต้องการแก้แค้น ทำไมในตอนนั้นซูหลีถึงได้บุกไปฆ่าคนในพรรคฉางเซิงมากมายขนาดนั้น แล้วยังถ่อไปถึงเมืองสวินหยางเพื่อทำการสังหารหมู่ กระทั่งทำให้กำลังของตระกูลเหลียงต้องสูญเสียไปอย่างมาก เพราะว่าคนทางใต้คิดจะอาศัยความวุ่นวายภายในของต้าโจวบุกขึ้นทางเหนือ จับภรรยาของเขามากดดันจนเขาบ้าคลั่ง ทำไมต้าโจวถึงเกิดความวุ่นวายภายใน เพราะว่าคดีเลือดนั่นของสำนักฝึกหลวง ดังนั้นต้องพูดว่าทุกสรรพสิ่งจักหวนคืนสู่ต้นกำเนิด เรื่องราวทั้งหมดทั้งสิ้น ล้วนเกิดจากปัญหาเรื่องตำแหน่งจักรพรรดิของต้าโจว ขอเพียงได้รู้ชัดในจุดนี้ ทิศทางของพวกเราก็จะไม่เกิดข้อผิดผลาด”
ลูกน้องผู้นั้นพลันพูดขึ้น “ในห้าวันมานี้เฉินหลิวอ๋องได้ไปที่สำนักการศึกษากลางถึงสามครั้ง”
“อย่าลืม ถึงแม้เหนียงเหนียงจะไม่มีโอรสแท้ๆ แต่จักรพรรดิองค์ก่อนยังมีโอรสและนัดดาอีกมากมาย ต่อให้ในอนาคตเหนียงเหนียงจะสละราชสมบัติจริง และคืนตำแหน่งจักรพรรดิให้กับราชตระกูลเฉิน เฉินหลิวอ๋องยังอายุน้อยเช่นนี้ จะมีโอกาสสักเท่าไหร่กัน แน่นอนว่าเขาต้องรีบร้อนเป็นธรรมดา”
“ความหมายของใต้เท้าคือเฉินหลิวอ๋องคิดจะแย่งชิงการสนับสนุนจากนิกายหลวง”
“ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาก็จะกลับคืนสู่ทะเลแห่งดวงดาว ไม่ออกหน้าในช่วงนี้ให้มาก แย่งชิงเอาความรู้สึกดีของเหล่านักบวชในพระราชวังหลีเสียหน่อย เขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ในจิงตูถึงตอนนี้ได้อย่างไร อีกทั้งยังมีชีวิตอยู่ดีขึ้นเรื่อยๆ”
……
……
“ถึงแม้เจ้าจะไม่สนใจตำแหน่งจักรพรรดิ แต่นอกจากเจ้าแล้วทุกคนล้วนสนใจ ดังนั้นข้าคิดว่า ปัญหาทั้งหมดจนถึงสุดท้ายแล้ว บางทีอาจพูดได้ว่าต้นกำเนิดของปัญหาทั้งหมด ก็คือตำแหน่งจักรพรรดิ ความคิดของเจ้าสำนักซางสุดท้ายแล้วก็อยู่ที่ตำแหน่งนั้น”
เมื่อฟังถังซานสือลิ่วพูดประโยคนี้จบ เฉินฉางเซิงก็ครุ่นคิดก่อน อันดับแรกก็สังเกตถึงคำเรียกขานนั่น
“เจ้าสำนักซาง…คือใคร”
“อาจารย์ของเจ้า ซางสิงโจว”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปนาน
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อนี้ แต่เขากลับอาศัยอยู่กับเจ้าของชื่อนี้กว่าสิบห้าปีแล้ว
ช่วงไม่นานมานี้ เดิมทีเขามีโอกาสหลายครั้งในการรับรู้ถึงชื่อนี้ แต่เขาไม่ได้ถาม ไม่ว่าจะเป็นมุขนายกเหมยหลี่ซาหรือว่าใต้เท้าสังฆราช เพราะว่าเขาไม่อยากรู้ชื่อนี้ เขาไม่อยากพบกับปัญหาที่เขาไม่ยินยอมจะเผชิญเพียงเพราะการได้รับรู้ชื่อนี้เป็นสาเหตุ ในเวลาเดียวกัน เขาก็ไม่อยากให้คนอื่นไม่รู้ว่าเขาไม่รู้จักชื่อนี้ เพราะว่ามันทำให้เขารู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง
ดูเหมือนถังซานสือลิ่วจะคาดเดาอารมณ์ของเขาในตอนนี้ได้ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกไม่พอใจในตัวอาจารย์ของเขาขึ้นมา จึงถามขึ้น “เจ้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยหรือ ว่าทำไมเขาถึงต้องรับเจ้าเป็นศิษย์”
เฉินฉางเซิงค่อนข้างมึนงง จึงถามขึ้น “อาจารย์เก็บข้าได้ที่ข้างลำธาร ยังจะมีเหตุผลอะไรอื่นอีก”
ถังซานสือลิ่วจ้องไปที่ดวงตาของเขาแล้วพูดขึ้น “เจ้าแซ่เฉิน”
“แล้วอย่างไร?” เฉินฉางเซิงยังไม่รู้ตัว
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “หรือว่าเจ้าไม่เคยคิดมาก่อน…ว่าเจ้าอาจเป็นคนในราชวงศ์”
เฉินฉางเซิงนิ่งอึ้งไป เขาส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “ไม่มีทาง ข้านั้นลอยมาจากสุสานข้างลำธารในเขา บิดามารดาของข้าอาจจะเป็นทายาทของนักโทษในตอนนั้น”
ถังซานสือลิ่วพูดถากถางขึ้น “ในตอนนั้นเจ้าเพิ่งอายุเท่าไหร่ จะไปรู้อะไร”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “นี่เป็นสิ่งที่ศิษย์พี่พูด แต่ไหนแต่ไรมาศิษย์พี่ไม่เคยหลอกใคร และยิ่งไม่มีทางหลอกข้า”
คำพูดประโยคนี้เขาพูดอย่างมั่นใจ ในดวงตาที่ใสสะอาดไม่มีความลังเลใดๆ
ถังซานสือลิ่วยังอยากจะพูดอะไรอยู่ แต่เมื่อมองไปที่ดวงตาของเขา ก็ตัดใจไม่ลง จึงเปลี่ยนบทสนทนา “ต่อไปเจ้าเตรียมตัวจะทำอะไร”
จากซีหนิงมายังจิงตู เดิมทีเฉินฉางเซิงคิดว่าตนชัดเจนในเรื่องเป้าหมายอย่างมาก นั่นคือการตามหาความลับในการท้าลิขิตพลิกโชคชะตา ให้ตนได้หลุดพ้นออกมาจากเงามืดของความตาย แต่ในตอนนี้ เขากลับพบว่าก่อนหน้านี้เขาได้เผชิญหน้ากับทางแยกมากมาย
“ข้าไม่รู้”
“เจ้าต้องการคนช่วย”
“ใครสามารถช่วยข้าได้”
“ข้า”
“ดี เช่นนั้นเจ้าช่วยข้า”
บทสนทนาที่เรียบง่ายอย่างมาก ทำให้คนเชื่อมั่นอย่างอบอุ่น เพราะว่าพวกเขาทั้งสองล้วนเป็นเด็กหนุ่ม
บ้างก็สุขุมเป็นผู้ใหญ่ บ้างก็กำเริบเหลาะแหละ แต่ก็ล้วนเป็นเด็กหนุ่ม
บางครั้งเด็กหนุ่มก็เลือดร้อนและไร้เดียงสาเกินไปจนทำให้คนรำคาญ แต่เมื่อเทียบกับเหล่าผู้อาวุโสที่ผ่านมรสุมมายาวนานแล้วนั้น ชีวิตของพวกเขาก็เรียบง่ายกว่ามาก ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็เรียบง่ายกว่ามาก
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ไม่มีปัญหา อันดับแรกให้พวกข้าจัดอันดับต้นเหตุก่อนหลังของเรื่องนี้ก่อน”
เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะ แล้วพูดขึ้น “เจ้าช่วยข้าทำเรื่องหนึ่งก่อน”
ถังซานสือลิ่วไม่แม้แต่จะคิด และพูดขึ้นอย่างไม่ลังเล “เจ้าว่ามา เรื่องอะไร”
เฉินฉางเซิงพูดกับเขา “เจ้าไปอาบน้ำแปรงฟันก่อนได้ไหม”
……
……
มีอยู่ประโยคหนึ่งพูดว่าอย่างไรนะ แม้แต่ฟันข้าก็ยังไม่ได้แปรง…สรุปคือ ถังซานสือลิ่วค่อนข้างหงุดหงิดที่ถูกเฉินฉางเซิงไล่ออกมาจากหอตำรา เขาใช้น้ำร้อนสองถังใหญ่ อาบน้ำตั้งแต่หัวจรดเท้าจนสะอาด ให้มั่นใจว่าจะไม่มีดินโคลนที่ติดออกมาจากสุสานเทียนซู เช่นนี้ถึงได้เปลี่ยนเป็นชุดที่สะอาด หยิบเอาเกี๊ยวที่เซวียนหยวนผ้อเพิ่งจะนึ่งเสร็จไปที่ข้างทะเลสาบ
เฉินฉางเซิงเอาบันทึกของสวินเหมยวางไว้ในชั้นหนังสือ ทำการบันทึกให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ซักผ้าห่มของสวินเหมยไปจนถึงเสื้อคลุมของถังซานสือลิ่ว ใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยามถึงจะซักจนสะอาด หลังจากที่ตากไว้ใต้ต้นไทรย้อย มองดูแล้วก็เหมือนชิงช้าสองอัน
สายฝนในตอนเช้าตรู่นั้นหยุดไปนานแล้ว แสงอาทิตย์ในต้นฤดูร้อนสาดส่องอยู่บนทะเลสาบ ไม่ได้ร้อนขนาดเป็นไอ ไม่ได้รู้สึกร้อนอบอ้าว และก็ไม่ได้ยินเสียงด่าทอของเทียนไห่หยาเอ๋อร์แล้ว สำนักฝึกหลวงทั้งเงียบสงบและงดงาม
ถังซานสือลิ่วยืนอยู่ข้างทะเลสาบ มองดูทิวทัศน์บนฝั่ง และพูดขึ้น “ท่านปู่ของข้าเคยพูดไว้ ใต้เท้าสังฆราชเป็นคนดีคนหนึ่ง ดังนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลให้มากนัก”
ในเวลาเดียวกับที่พูด เขาก็ตั้งใจฉีกเกี๊ยวในมือให้เป็นชิ้นๆ อย่างมาก
ใต้เท้าสังฆราชเป็นอาจารย์อาของเฉินฉางเซิง ตามหลักแล้ว เขาควรจะยอมรับวาจานี้อย่างสุขใจ เพียงแค่ตั้งแต่ที่ตามซูหลีกลับแดนใต้จากพื้นที่ราบหิมะในอาณาเขตเผ่ามาร ตลอดทางได้เห็นการลอบสังหารและแผนการร้ายมากมาย เขาก็ยากที่จะให้ตนเชื่อได้ว่าใต้เท้าสังฆราชเป็นคนดีจริงๆ
“จูลั่วกับกวนซิงเค่อน่าจะเป็นใต้เท้าสังฆราชที่เชิญมา”
เฉินฉางเซิงมองท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาวที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำทะเลสาบ คิดถึงการสัมผัสท้องฟ้าของโลกใบไม้ครามที่สมบูรณ์แบบจนไม่เหมือนจริง และส่ายศีรษะพูดขึ้น “เป็นคนดีแล้วจะกลายมาเป็นใต้เท้าสังฆราชได้อย่างไร”
“ความคิดต่อโลกเช่นนี้ดูเหมือนจะสุกงอม ที่จริงแล้วธรรมดาอย่างมาก”
ถังซานสือลิ่วนำเกี๊ยวที่ฉีกเป็นชิ้นๆ โยนลงไปในทะเลสาบ แล้วพูดขึ้น “แต่ไหนแต่ไรมาใต้เท้าสังฆราชไม่ได้มีชื่อเสียงเรื่องสติปัญญา ที่เขาสามารถกลายเป็นผู้นำของนิกายหลวงได้ เป็นเพราะในตอนนั้นเขากับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันจริงๆ แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นเพราะระดับความแข็งแกร่งของเขานั้นลึกล้ำยากจะหยั่งจริงๆ แม้แต่อาจารย์ของเจ้า เจ้าสำนักซางในท้ายที่สุดก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่เขา”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “แต่ว่า…เขาจะฆ่าซูหลี”
“วกกลับมาอีกแล้ว” ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดเยาะเย้ยขึ้น “ข้าจะพูดประโยคที่เจ้าไม่ชอบให้ฟังนะ ในชีวิตของซูหลีนี้ฆ่าคนมากมายขนาดนั้น คนจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนอยากให้เขาตาย หรือว่าคนเหล่านั้นล้วนเป็นคนเลว ความจริงแล้ว ในสายตาของพวกเขา การที่เจ้าปกป้องซูหลีตลอดทางกลับใต้ ถึงจะเป็นคนเลวอย่างแท้จริง”
เฉินฉางเซิงคิดอยู่ในใจหรือว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ
“พวกเรายังต้องรู้ให้ชัดเจนก่อนว่าเจ้าสำนักซางให้เจ้ามาที่จิงตู สรุปแล้วคิดจะทำอะไรกันแน่”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ต้องรู้ว่าท่านปู่ข้าเคยพูดเอาไว้ บนโลกใบนี้คนที่ทำให้เขาหวาดกลัวได้จริงๆ มีเพียงแค่สี่คนครึ่ง อาจารย์ของเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น”
เฉินฉางเซิงแปลกใจอย่างมาก จึงถามขึ้น “แล้วที่เหลือคือใครกัน”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เหนียงเหนียง ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ และยังมีคนชุดดำ”
เฉินฉางเซิงนับดูพวกบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในต้าลู่ และถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “แล้วราชามารผู้นั้นเล่า”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ราชามารไม่ใช่คน”
“เช่นนั้นครึ่งคนนั้น…เป็นใครกัน”
“คนชุดดำ ในเมื่อเขารับใช้ราชามาร แน่นอนว่าไม่สามารถนับเป็นคนได้”
เฉินฉางเซิงจับใจความสำคัญของประโยคนี้ได้ จึงถามขึ้น “ผู้เฒ่าถังรู้สถานะของคนชุดดำหรือ”
ถังซานสือลิ่วไม่ได้ตอบคำถามนี้
เวลาได้ไหลผ่านไป ดวงอาทิตย์เองก็เคลื่อนไป ท้องฟ้าสีครามค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง แสงสนธยาปกคลุมทั่วท้องฟ้า
ท้องฟ้าด้านหลังต้นไทรย้อย สามารถมองเห็นรัตติกาลที่คืบคลานเข้ามาแล้ว
พวกเขายืนกันอยู่ที่ข้างทะเลสาบ พูดเสียงแผ่วเบาถึงเรื่องที่พวกเขาเองก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก
ตอนแรกในโรงเตี๊ยมสวนหลีจื่อ เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วได้พบกันอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก ในตอนนั้น พวกเขาล้วนอยากจะแสดงออกว่าตนเป็นผู้ใหญ่สักหน่อย อยากจะพูดจา สื่อสารให้เหมือนกับผู้ใหญ่ แต่กลับแสดงออกมาเงอะงะเช่นนั้น ช่างไร้เดียงสาอย่างน่ารัก
ตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็ได้พานพบกับเรื่องเหล่านี้ กลับพบว่าตนไม่อยากเป็นผู้ใหญ่แล้วอย่างกะทันหัน
เพราะว่าการเป็นผู้ใหญ่มักจะหมายถึงการเสื่อมโทรม หมายถึงความซับซ้อนและเหน็ดเหนื่อย
ปลาจิ่นหลี่ (ปลาคาร์ฟ) นับสิบตัว ได้แหวกว่ายขยับหางอยู่ภายในทะเลสาบ เพราะว่ากินเกี๊ยวจนอิ่มแล้ว จึงดูมีเรี่ยวแต่ไม่มีแรง มีปลาจิ่นหลี่อยู่ตัวหนึ่งที่อ้วนที่สุด กำลังว่ายลึกลงไปที่ก้นสระอย่างช้าๆ
บรรยากาศข้าทะเลสาบก็หนักหน่วงอยู่บ้าง
“เดิมทีโลกก็กว้างใหญ่อย่างมาก เดิมทีใจคนก็ซับซ้อนนัก ยามที่มืดมิดก็ชนะเหนือรัตติกาล ยามที่ไม่น่าสนใจก็ชนะสำนักเทียนเต้า โดยเฉพาะพวกผู้เฒ่าที่ปกครองโลกใบนี้เหล่านั้น กลิ่นอายที่ปล่อยออกมาจากร่างก็เต็มไปด้วยเศษฝุ่น” ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้น “แต่ว่าเรื่องเหล่านั้นที่จริงแล้วไม่ได้สำคัญ เพราะว่าพวกเราไม่ใช่คนเช่นนั้น”
เฉินฉางเซิงมองเงาสะท้อนในทะเลสาบ มองดูใบหน้าของตน และพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยสงบ “เจ้าเคยคิดหรือไม่…ในอนาคตพวกเราอาจจะเปลี่ยนเป็นคนประเภทที่พวกเราเกลียดที่สุดในตอนนี้”
ถังซานสือลิ่วหัวเราะขึ้นเสียงเย็น พลางพูดขึ้น “นั่นเป็นปัญหาของตัวพวกเขาเอง หรือว่าเปลี่ยนไปเป็นกองปฏิกูลแล้วจะยังมีหน้ามาโทษโลกใบนี้อีก”
เขาพูดขึ้นต่อ “เจ้าต้องเข้าใจ พวกเขาอยากกลายเป็นคนแบบไหน เช่นนั้นโลกของพวกเขาก็จะเป็นไปเช่นนั้น”
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าสองประโยคนี้พูดได้มีเหตุผลอย่างมาก
ก่อนที่จะออกจากเมืองสวินหยาง ซูหลีเคยพูดกับเขา จนกระทั่งถึงตอนนี้ ในที่สุดเขาถึงได้เข้าใจทั้งหมด เขาเงยหน้ามองถังซานสือลิ่วแล้วพูดขึ้น “ขอบคุณเจ้า”
ตามนิสัยของถังซานสือลิ่วแล้ว ในเวลานี้ควรจะพูดคำว่าไม่ต้องเกรงใจอย่างเรียบเฉย แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง เขาจึงไม่ได้พูด
สายลมในยามราตรีพัดเอาความหนาวเย็นเข้ามา ระลอกคลื่นบนผิวน้ำถูกกรีดแยกเป็นเศษเล็กเศษน้อยจำนวนนับไม่ถ้วน
เขาราวกับได้กลับไปยังเมืองสวินหยาง บนถนนสายยาวกลางสายฝน ทุกที่ล้วนปรากฏรอยแยกกลางอากาศ ที่ขอบของรอยแยกก็มีแสงสว่างเสียดแทงสายตา
ดาบเหล็กเล่มหนึ่งพาดขวางอยู่หน้ามรสุม มิอาจสั่นคลอน
“ข้าต้องการกลายเป็นคนเฉกเช่นหวังผ้อ”
เขาพูดขึ้น “ข้าต้องการมีชีวิตเหมือนเช่นเขา”