ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 13 ไม่ว่าจะเป็นสายลมในฤดูใบไม้ร่วงหรือสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ก็ให้พวกเราโค่นต้นไม้เถอะ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

บนโลกใบนี้ สมัยก่อนเฉินฉางเซิงมีแบบอย่างเพียงแค่คนเดียว นั่นก็คือศิษย์พี่อวี๋เหริน ภายหลังเมื่อได้ผ่านมรสุมในเมืองสวินหยางนั่นไปแล้ว ก็มีหวังผ้อเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง แสงสีทองได้ส่องประกายอยู่บนผิวน้ำ เขามองเหล่าปลาจิ่นหลี่ในน้ำพวกนั้น โดยเฉพาะปลาจิ่นหลี่อวบอ้วนค่อยๆ จมลงไปทางพื้นโคลนตัวนั้นที่ ในใจคิดว่าตนไม่อยากจะมีชีวิตเช่นนี้ ถ้าหากสามารถผ่านการทดสอบความเป็นตายนี้ไป และสามารถมีชีวิตรอดไปได้ เช่นนั้นเขาก็จะมีชีวิตเหมือนดั่งเช่นหวังผ้อผู้นั้น

เขาชื่นชมหวังผ้ออย่างมากจริงๆ กระทั่งค่อนข้างจะเลื่อมใส หวังผ้อเป็นอันดับหนึ่งในประกาศเซียวเหยา เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในคนรุ่นกลางที่ต้าลู่ยอมรับ คนที่เลื่อมใสเขามีอยู่มากมาย การเลื่อมใสเขาเป็นเรื่องที่เห็นได้ตามปกติ ตามหลักแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่วควรจะรู้สึกว่าสมเหตุสมผล แต่สีหน้าของเขากลับแสดงชัดว่าไม่ได้คิดเช่นนี้ เพราะเขารู้ว่าเฉินฉางเซิงเป็นคนเช่นไร เฉินฉางเซิงพูดว่าจะมีชีวิตเหมือนดั่งเช่นหวังผ้อ ไม่มีทางเหมือนผู้ที่เลื่อมใสผู้อื่นที่หวังว่าจะแข็งแกร่งเหมือนดั่งหวังผ้อ แต่เป็นเหมือนในด้านอื่น

ถังซานสือลิ่วรู้สึกว่าเช่นนั้นไม่ดี เขามองเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “อย่าทำอย่างหวังผ้อ”

เฉินฉางเซิงถอนสายตาที่มองไปทางทะเลสาบ กลับมามองที่เขาและถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ทำไม”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เพราะว่าจะกลายเป็นดั่งเช่นหวังผ้อนั้นลำบากเกินไป อีกทั้งยังง่ายต่อการจบลงที่ความเศร้า ไม่ว่าพวกเราจะมีชีวิตเช่นไร ทางที่ดีที่สุดคือการออกห่างจากคำว่าโศกเศร้าให้ไกลเสีย”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ข้าไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเจ้า”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “เจ้าหรือไม่ว่าทำไมเขาถึงถูกเรียกว่าหวังผ้อแห่งเทียนเหลียง”

สวินเหมยผู้ย่ำหิมะเหมยกำจาย ฮว่าเจี่ยเซียวจางผู้ปิดบังใบหน้าด้วยแผ่นกระดาษ เหลียงหวังซุนผู้ยืนหยัดดั่งขุนเขา กวนไป๋ผู้เลื่องลือ บรรดาผู้แข็งแกร่งในอันดับต้นๆ ของประกาศเซียวเหยาเหล่านี้ ล้วนมีชื่อเสียงของตนสืบทอดกันในดินแดนต้าลู่ แต่ละชื่อล้วนมีที่มา มีที่เป็นวิชา มีที่เป็นบ้านเกิด มีที่เป็นนิสัยอันแปลกประหลาด เฉินฉางเซิงคิดมาตลอดว่าที่หวังผ้อ ถูกเรียกว่าหวังผ้อแห่งเทียนเหลียง แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาเกิดที่เมืองเทียนเหลียง ในตอนนี้ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของถังซานสือลิ่ว ถึงได้รู้ว่าที่แท้ยังมีเหตุผลอื่นอยู่

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ในตอนนั้นเมืองเทียนเหลียงมีสี่ตระกูลใหญ่ จู เหลียง เฉิน หวัง ในนั้นตระกูลเหลียงกับตระกูลเฉินได้กลายมาเป็นราชวงศ์ตามลำดับ ปกครองทั่วทั้งโลกของมนุษย์ ตระกูลจูก็มียอดฝีมือผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วน ยกตัวอย่างเช่นผู้ร่ำสุราโดดเดี่ยวใต้แสงจันทร์จูลั่ว ที่ตระกูลหวังสามารถเทียบเคียงกับอีกสามตระกูลได้ ก็เป็นเพราะว่าตระกูลหวังร่ำรวยอย่างมาก หลายปีก่อนถึงขนาดสามารถเทียบเคียงได้กับตระกูลของข้า”

เฉินฉางเซิงถามขึ้น “เช่นนั้นตระกูลหวังเสื่อมโทรมได้อย่างไร”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ปัญหาก็อยู่ที่ ตระกูลหวังนั้นสนับสนุนตระกูลเหลียงมาโดยตลอด แต่สุดท้ายแล้วกลับเป็นตระกูลเฉินที่แทนที่ตระกูลเหลียงขึ้นมาเป็นจักรพรรดิ”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ก็ง่ายดายเช่นนี้”

“ตระกูลนับพัน ก็เหมือนหนอนที่มีพันขา โดยเฉพาะตระกูลที่ทำการค้า มักจะแบ่งกระจายทรัพย์สิน แน่นอนว่าไม่มีทางแพ้หมดกระดานเพราะการเดิมพันพลาดเพียงครั้งเดียว เพียงแต่หลังจากที่ตระกูลเฉินสร้างเรื่องขึ้นมาแล้ว แน่นอนว่าตระกูลหวังต้องได้รับผลกระทบ ทรัพย์สินของตระกูลแปดถึงเก้าในสิบส่วนล้วนถูกดึงไปเป็นทุนของกองทัพ ตระกูลเหลียงล่มสลายอย่างรวดเร็ว ตระกูลจูก็ตามมาติดๆ แต่เทียบแล้วก็ถือว่าดีกว่ามาก” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ในช่วงนี้เอง ตระกูลจูได้ทำเรื่องไปมากมาย ดังนั้นหลังจากนั้นมา ตระกูลจูกับตระกูลหวังทั้งสองตระกูลจึงกลายมาเป็นคู่แค้นกัน”

เฉินฉางเซิงนึกถึงคำพูดที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้นในเมืองสวินหยางในการต่อสู้นั้น ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ถึงพูดว่าจูลั่วทำเพราะเรื่องส่วนตัว

ในเมื่อเป็นคู่แค้นนับพันปี แน่นอนว่าจูลั่วไม่ยอมเห็นตระกูลหวังที่เสื่อมโทรมไปแล้ว สามารถฟื้นกลับมาได้เพราะการปรากฏตัวของหวังผ้อ

“เป็นดั่งที่พูดก่อนหน้า ตระกูลหวังกับบุคคลสำคัญบางส่วนในราชวงศ์มีความสัมพันธ์อันดี อีกทั้งไท่จู่ก็ยังเห็นแก่เรื่องเก่า ดังนั้นจึงไม่ได้ทำให้ตระกูลหวังอนาถมากนัก เพียงแต่ไหนเลยที่ตระกูลหวังจะคิดได้ว่านี่ถึงจะเป็นสาเหตุที่สุดท้ายแล้วพวกเขาต้องล่มสลาย”

“หมายความว่าอย่างไร”

“ตอนแรกที่จักรพรรดิไท่จู่เตรียมจะจัดการกับตระกูลหวัง เฉินเสวียนป้าก็ถือกระบี่ขึ้นตำหนัก เพื่อรับรองให้กับตระกูลหวัง และรัชทายาทก็แต่งงานกับบุตรสาวของตระกูลหวัง”

“รัชทายาท?”

“ที่ข้าพูดแน่นอนว่าเป็นรัชทายาทที่แท้จริงองค์นั้น”

เฉินฉางเซิงคิดถึงพายุฝนโลหิตเมื่อหลายร้อยปีก่อนนั่น นึกถึงนิทานที่แสนโหดเหี้ยมในสวนร้อยหญ้านั่น ก็อดไม่ได้ที่จะเหน็บหนาวขึ้นมา ในใจคิดว่าตระกูลหวังสนับสนุนรัชทายาทองค์นั้น แน่นอนว่าจักรพรรดิไท่จงที่สืบทอดบัลลังก์ในภายหลังไม่มีทางเก็บพวกเขาเอาไว้

“หลังจากนั้นเล่า”

“เรื่องในภายหลังเจ้าก็น่าจะรู้แล้ว การเปลี่ยนแปลงในสวนร้อยหญ้า จักรพรรดิไท่จงฆ่าพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย โจวตู๋ฟูก็ฆ่าน้องชายแท้ๆ ของเขา ในที่สุดใต้หล้าก็สงบสุข”

พูดถึงสงบสุขสองคำนี้ ริมฝีปากของถังซานสือลิ่วก็ยกขึ้น เป็นความเย้ยหยันที่พูดไม่ถูก

เฉินฉางเซิงได้ยินจึงนิ่งเงียบไป และพูดขึ้นเสียงเบา “เจ้าพูดว่า…ที่เฉินเสวียนป้าเข้าไปต่อสู้ในสวนโจวจนพ่ายแพ้และตายไป เป็นแผนการร้ายของจักรพรรดิไท่จงหรือ”

“ไม่เป็นเช่นนั้นแล้วจะเป็นอะไรได้เล่า” ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้น “จักรพรรดิไท่จงกับโจวตู๋ฟูเป็นพี่น้องต่างแซ่ เฉินเสวียนป้าเป็นน้องชายแท้ๆ ของเขา เหตุใดทั้งสองคนถึงต้องต่อสู้กัน”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ล้วนพูดกันว่าเฉินเสวียนป้าเห็นว่าเรื่องของแคว้นได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ดังนั้นจึงคิดจะไล่ตามระดับในการต่อสู้ที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก ถึงได้เป็นฝ่ายท้าประลองกับโจวตู๋ฟู”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ในตอนนั้นกองทัพของเมืองเทียนเหลียงได้เข้ามาที่จิงตู กลุ่มอำนาจในจิงตูเกิดความวุ่นวาย แม้แต่นักล่าของเผ่าปีศาจก็ยังรู้เลยว่าเหล่าโอรสของจักรพรรดิไท่จู่คิดจะทำอะไร เรื่องในครอบครัวยังไม่ได้กำหนด ไหนเลยที่เรื่องของแคว้นจะถูกกำหนดไว้แล้ว เฉินเสวียนป้าในฐานะรัชทายาทที่มีกำลังรบอันแข็งแกร่งที่สุด ถึงกับออกไปในเวลาเช่นนั้น เจ้าคิดว่าอดีตเทพนักรบ องค์ชายที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าโจวในรอบพันปีเป็นคนปัญญาอ่อนหรือ”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “บางที…เขาอาจจะไม่อยากเห็นพี่น้องเข่นฆ่ากันเอง จึงยอมที่จะจากไป เพื่อไม่ให้เห็นการต่อสู้แย่งชิง”

ถังซานสือลิ่วหัวเราะเสียงเย็นขึ้นครั้งหนึ่ง และไม่ได้พูดอะไร

เฉินฉางเซิงรู้ว่าเหตุผลของตนข้อนี้ไม่มีความน่าเชื่อถือใด ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดอย่างน่าประหลาดอยู่บ้าง

เขาก้มหน้าลงมองกระบี่เล่มนั้นที่เอวของตน และรู้สึกว่ากระบี่พลันร้อนขึ้นมา

ไม่ใช่การแผดเผา เพียงแค่ผิวหนังรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าว หรือพูดได้ว่า เหมือนตอนที่ดวงตารู้สึกร้อนผ่าว

นั่นเป็นอารมณ์โศกเศร้าอย่างหนึ่ง

ในกระบี่เล่มนี้มีดวงวิญญาณกระบี่อยู่ดวงหนึ่ง ดวงวิญญาณของกระบี่มังกรครวญ

กระบี่มังกรครวญ ก็คือกระบี่ของเฉินเสวียนป้า

จากความหมายบางด้านแล้ว เขากับเด็กหนุ่มผู้เทพเป็นเทพยุทธ์ผู้นั้น ได้เชื่อมโยงกันผ่านกระบี่เล่มนี้

ความเจ็บปวดและโศกเศร้า ก็มาจากภายในนั้น

“ตระกูลหวังล่ะ” เขาถามขึ้น “เฉินเสวียนป้าตายแล้ว ไท่จู่สละบัลลังก์ หลังจากจักรพรรดิไท่จงครองราชย์แล้ว ได้จัดการกับตระกูลหวังอย่างไร”

“จักรพรรดิต้องการจัดการกับขุนนางที่ไม่ฟังคำสั่ง ไหนเลยจะต้องจงใจไปจัดการเป็นพิเศษ”

สีหน้าของถังซานสือลิ่วค่อนข้างจะเรียบเฉย และพูดขึ้น “ก็เป็นเดือนที่สามหลังจากที่จักรพรรดิไท่จงขึ้นครองราชย์ ในยามที่สายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดขึ้น เขายืนชมทิวทัศน์อยู่ และพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ”

“พูดอะไร”

“อากาศเย็นแล้ว* ให้ตระกูลหวังล้มละลายเถิด”

ข้างทะเลสาบพลันเงียบสนิท ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง และเหน็บหนาวอยู่บ้าง

เฉินฉางเซิงไม่ได้เอ่ยอะไรเป็นเวลานานมาก

ที่แท้ที่เรียกว่าหวังผ้อแห่งเทียนเหลียง ก็มีที่มาเช่นนี้

จักรพรรดิไท่จงนั้นเป็นราชันแห่งยุค ไม่ว่าจะเป็นความสามารถเล่ห์เหลี่ยม ก็ล้วนเป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากในรอบพันปี แต่เขาไม่จำเป็นต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมใดๆ เพียงแค่พูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจเพียงประโยคเดียว แน่นอนว่าก็มีคนนับไม่ถ้วนที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมนับไม่ถ้วน ไปจัดการเรื่องนี้ให้

เฉินฉางเซิงเข้าใจคำพูดเหล่านั้นที่ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นก่อนหน้านี้ อำนาจเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกใบนี้จริงๆ

ในยามที่สายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดขึ้นมา จักรพรรดิไท่จงพลันพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง ในตอนที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงไปช่วงหนึ่ง ตระกูลหวังก็ล้มละลายไปแล้ว

ไม่รู้ว่ามีหัวคนจำนวนเท่าไหร่ที่ร่วงลง ที่นาจำนวนเท่าไหร่ที่ถูกแย่งชิง บริวารจำนวนเท่าไหร่ที่ต้องระหกระเหินเร่ร่อน

ตระกูลหวังแห่งเมืองเทียนเหลียง ได้เผชิญกับช่วงเวลาที่น่าหวาดกลัวที่สุด อเนจอนาถจนถึงที่สุด หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ถูกดินแดนต้าลู่ลืมเลือนไป

และก็เป็นในตอนนี้เอง ตระกูลหวังมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำเนิดขึ้นมา

เด็กหนุ่มผู้นั้นมีนามว่าหวังผิง พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรล้ำเลิศเป็นอย่างมาก กระทั่งถูกผู้เฒ่าความลับสวรรค์พูดว่าเป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกหลังจากซูหลี บางที่ก็เพื่อเป็นที่ระลึก บางที่ก็เพื่อเป็นเพียงที่จดจำ

หลังจากที่เด็กหนุ่มผู้นั้นได้เป็นอันดับหนึ่งของประกาศชิงอวิ๋น ก็เปลี่ยนชื่อของตนเป็นหวังผ้อ (ผู้ล้มละลายสกุลหวัง)

หวังผ้อแห่งเมืองเทียนเหลียง

ผู้ล้มละลายแห่งสกุลหวังอันเนื่องมาจากอากาศเย็น

“ตั้งแต่วันที่เปลี่ยนชื่อวันนั้นเป็นต้นมา ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ก็รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เขาต้องการความเป็นธรรมจากราชสำนักต้าโจว”

สายลมในยามราตรีพัดโชยปะทะใบหน้า เฉินฉางเซิงรู้สึกเพียงแค่ความสดชื่น แต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าวขึ้นมา

คนเพียงคนเดียวต้องการความเป็นธรรมจากใต้หล้า ช่างยิ่งใหญ่เพียงใด

“หรือว่า…บุคคลสำคัญในจิงตูจะไม่มีการตอบสนองใดต่อเรื่องนี้เลย”

“ในตอนนั้นหวังผ้อได้แสดงให้เห็นว่าตนมีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เพราะว่าคำสาบานศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่จูลั่วก็ไม่สามารถลงมือกับเขาได้ตามใจ ที่สำคัญที่สุดคือ…ในตอนนั้นเป็นตอนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ครองราชย์แล้ว พวกคนในราชวงศ์เหล่านั้นถูกกดดันเสียจนไม่อาจหายใจ ไหนเลยจะมีเวลาและเรี่ยวแรงมาต่อกรกับเขา แน่นอน หวังผ้อเองก็เผชิญหน้ากับอันตรายมากมาย ดังนั้นเขาจึงไปที่เวิ่นสุ่ย”

“ข้าเคยได้ยินผู้อาวุโสซูหลีพูดถึงเรื่องนี้ เขาพูดว่าหวังผ้อเป็นพนักงานบัญชีอยู่ที่บ้านของพวกเจ้าหลายปี”

“ข้าไม่เคยพบหวังผ้อ แต่เคยได้ยินพวกท่านพ่อพูดถึงเรื่องของเขามากมาย”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “หวังผ้อไม่เข้าใจมาโดยตลอด ทำไมตระกูลหวังในตอนนั้นมีเงินขนาดนี้ ในตอนที่เผชิญหน้ากับการล้มละลาย ถึงไม่มีกำลังที่จะโต้คืนเลย แต่ตระกูลถังกลับสามารถดำรงอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ภายหลังเขาเป็นพนักงานบัญชีอยู่หลายปี ในที่สุดก็เข้าใจ ที่ตระกูลถังสามารถดำรงอยู่ได้มาโดยตลอด อันดับแรกอยู่ที่การไม่แบ่งฝั่งแบ่งฝ่าย อันดับถัดมาอยู่ที่หากจะลงทุน ตระกูลถังก็ยินดีที่จะลงทุนกับเหล่าเด็กหนุ่มที่มีชื่อเสียงแต่ไม่แสดงตัวออกมาพวกนั้นมากกว่า”

“ยกตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสซูหลีใช่หรือไม่” เฉินฉางเซิงถามขึ้น

ถังซานสือลิ่วมองเขาแวบหนึ่ง และพูดขึ้น “ยังมีเจ้า…ไม่ใช่ว่าเจ้าพูดว่าท่านปู่ของข้ามอบร่มคันนั้นให้กับเจ้าหรือ”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ถูกผู้อาวุโสซูหลีแย่งไปแล้ว”

ถังซานสือลิ่วไม่พอใจที่เขาไม่รู้จักแย่งไว้ จึงไม่พูดเรื่องนี้อีก และพูดต่อ “หลังจากคดีเลือดของสำนักฝึกหลวง อำนาจของราชวงศ์ถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราชกดลงจนน่าอนาถ จูลั่วเองก็เปลี่ยนเป็นเรียบร้อยอย่างหาใดเปรียบ หวังผ้อจึงออกจากบ้านของพวกข้าไป”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ข้ารู้ว่าเขาไปที่แดนใต้”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ถูกต้อง เขาใช้เวลาเพียงแค่สิบปี ก็ซื้อคฤหาสน์ไปครึ่งหลัง และเป็นผู้แข็งแกร่งผู้หนึ่ง”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปนานมาก

เมื่อฟังเรื่องราวของหวังผ้อจนจบ เขาถึงได้รู้ว่า ถังซานสือลิ่วพูดถูกแล้ว

การจะกลายเป็นคนอย่างหวังผ้อ หรือต้องมีชีวิตเหมือนกับเขานั้น เป็นเรื่องที่ยากอย่างมากจริงๆ

“ท่านปู่ของข้าเคยพูดไว้ หวังผ้อมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากเกินไป”

ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ข้าไม่อยากให้ในอนาคตเจ้าเองก็ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเหมือนเขา”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “เช่นนั้นพวกเราควรจะมีชีวิตอย่างไรกัน”

ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “พวกเรายังอายุน้อย ก็ควรมีชีวิตเหมือนกับคนหนุ่มสาว ก็เหมือนกับข้า หลังจากเข้าจิงตูมาแล้วได้รู้ถึงเรื่องชั่วๆ เหล่านั้นของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ ก็คิดจะจัดการกับเขาแล้ว ตอนเช้าที่หน้าประตูสำนัก ได้เห็นเขานั่งทำท่าปัญญาอ่อนอยู่บนรถเข็น ก็อยากจะถีบเขาให้กระเด็น ดังนั้นข้าก็เลยถีบเข้าให้!”

เลือดร้อนบุ่มบ่ามก็เลือดร้อนบุ่มบ่าม! เช่นนั้นแล้วจะเป็นเช่นไร ไม่พอใจก็เข้ามาสู้สิ!

ฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบมีเสียงดังสนั่นขึ้นมา

ทั้งสองคนได้มองไป เห็นเพียงท่ามกลางยามราตรีที่มืดครึ้ม เซวียนหยวนผ้อกำลังโค่นต้นไม้อย่างไม่หยุดที่ฝั่งนั้น

ถังซานสือลิ่วหัวเราะเสียงดังแล้วพูดขึ้น “เจ้าดู มีกำลังวังชาก็ต้องใช้ มีเรี่ยวแรงก็ต้องใช้ วัยหนุ่มก็ควรจะไม่เอาจริงเอาจัง อยากทำอะไรก็ทำ”

เฉินฉางเซิงเองก็หัวเราะขึ้นมา

*คำว่า เทียนเหลียง แปลว่า อากาศเย็น ได้เช่นกัน