บทที่ 37 สัมผัส โดย Ink Stone_Fantasy
ในฉับพลันนั้นเองเมืองก็เอียงกระเท่เร่ แผ่นดินเกิดรอยร้าวขนาดมหึมาเป็นทางๆ แยกจากใต้ดินขึ้นมา พายุฟ้าคะนองลั่น เมฆดำทะมึนลอยพัดปั่นป่วนอย่างรวดเร็ว
เปลวไฟพ่นลอยออกมาจากรอยแยกบนพื้นดิน โลกถูกย้อมเป็นสีแดงคล้ำ
หลงซีรั่วยังได้ยินเสียงร้องระทมทุกข์ของสรรพสัตว์
ดวงตาทั้งสองของเธอมีหยดน้ำตาสีเลือด สุดท้ายแผ่นดินก็ทรุดลงมาถึงเท้าเธอจนหมดสิ้น เธอพบว่าตนเองไม่มีทางให้ถอยแล้ว
เธออ้าปากค้างทันที แล้วปล่อยเสียงร้องแหลมของมังกรที่ฟังดูเศร้ารันทดไปบนท้องฟ้า แต่ความมืดมิดได้กลืนกินเธอโดยสิ้นเชิงแล้ว
ไม่*!*
เธอเปล่งเสียงคร่ำครวญเศร้าโศกเสียใจ แล้วลืมดวงตาทั้งคู่ของตนท่ามกลางความมืดมิด เธอเงยหน้าจนสุด มองไปที่บนท้องฟ้าผืนป่าโบราณแห่งนี้ ซึ่งเป็นทางช้างเผือกทอประกายแวววาวที่ยากจะเห็นได้ในยุคนี้
นี่เป็นค่ำคืนที่อากาศดีมากอย่างหาได้ยาก
หลงซีรั่วพบว่าตนเองยังคงพิงอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ต้นนี้ และดินแดนแห่งความฝันนั้นยังทำให้หน้าผากของเธอมีเหงื่อเม็ดเล็กซึมออกมา
ช่วงนี้ความฝันนี้รบกวนจิตใจเธอมาโดยตลอด…นับตั้งแต่เธอเข้าใกล้ประตูบานนั้น
คุณหลงนวดระหว่างคิ้วตนเองพลางยื่นมือออกมา สายลมพัดพาไอน้ำในป่าโบราณยามค่ำคืนผ่านหว่างนิ้วของเธอ
พวกมันค่อยๆ รวมตัวกัน สุดท้ายก็เกาะรวมตัวกันเป็นหยดน้ำ หลงซีรั่วใช้นิ้วไล้ไปที่ริมฝีปากตนเอง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากที่ค่อนข้างแห้งผากนี้
หลังจากดื่มน้ำค้างแล้ว เธอก็กระโดดลงจากต้นไม้ แล้วเดินเข้าไปในส่วนลึกของป่าแห่งนี้ต่อ
ใกล้ถึงแล้ว…สถานที่ที่อาจจะให้คำตอบกับเธอได้
…
…
ก้าวแรกของวิญญาณ?
ดูเหมือนคำว่า ‘วิญญาณ’ จะเป็นคำพูดที่ร้านประหลาดแห่งนี้ใช้จนคุ้นชิน แต่ในฐานะปีศาจในโลกฝั่งตะวันออก เฮยสุ่ยคุ้นชินกับการใช้คำว่า ‘ดวงจิต’ เสียมากกว่า
เฮยสุ่ยขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งด้วยความงงงวย เธอหันไปมองศพเดินได้อย่างเผลอไผล ร่างกายของเขาเผยให้เห็นลักษณะเน่าเปื่อยอย่างเด่นชัด และเธอก็สัมผัสไม่ได้ถึงชีวิตในดวงตาคู่นั้นของเขาเลย
มีเสียงดังมาจากดวงจิตที่ไหนกัน? เฮยสุ่ยรวบรวมพลังไว้ที่ดวงตาทั้งสองข้างของตนเอง หากจะบอกว่าศพเดินได้นี้มีอะไรต่างจากที่เธอเคยเจอเมื่อก่อนบ้าง นั่นคงเป็น…การที่เขาเงียบมากเกินไป
ถึงแม้กลิ่นศพที่ลอยฟุ้งอยู่จะแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่แทบไม่ได้กลิ่นอายความดุร้ายและความชั่วร้ายอย่างที่ควรมีเลย
‘ข้าไม่เห็นได้ยินอะไรเลย’
แน่นอนว่า คุณเฮยสุ่ยก็ไม่ได้พูดประโยคนั้นออกมาตรงๆ แต่สีหน้าของเธอกลับบ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่าเธอก็หมายความว่าอย่างนี้แหละ
“นึกถึง” ลั่วชิวมองเฮยสุ่ยแวบหนึ่ง “นึกถึงวันนั้นที่คุณลืมตาครั้งแรก นึกถึงวินาทีที่คุณกำลังลืมตา ผมเชื่อว่าคุณได้ยิน…เพราะว่าคุณมีคุณสมบัตินี้”
เฮยสุ่ยรู้สึกถึงความหวาดกลัวอันน่าประหลาดบางอย่าง จึงเผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เจ้าของร้านตรงหน้าคนนี้ก็เหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่กลับทำให้เธอสับสนเป็นที่สุด
เธอถอยหลังทีละก้าว ทีละก้าว ไม่นานก็รีบหันตัวจากไปไกล…จู่ๆ เธอก็คิดจะกลับไปอยู่ใกล้ๆ ปีศาจน้อยพวกนั้น
ลั่วชิวไม่ได้มองตามเธออีก แต่จ้องมองร่างกายเน่าเปื่อยข้างๆ นี้อีกครั้งด้วยแววตารอคอย
แต่จู่ๆ เขากลับผุดลุกขึ้น แล้วเดินไปทางหนึ่ง
…
…
เซอร์หม่าหาเวลากลับบ้านมาอาบน้ำสักรอบ หลังจากดื่มซุปของภรรยาหมดเกลี้ยงแล้ว เขาก็รีบมุ่งหน้าไปที่สถานีตำรวจอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าคดีกู้จยาเจี๋ยมีบางอย่างที่ยังไขไม่กระจ่าง แต่เซอร์หม่ากลับได้รับโทรศัพท์เกี่ยวกับข้อมูลใหม่ของคดีจ้าวหรู
“พบอะไรบ้าง?” เซอร์หม่าเพิ่งจะนั่งลงมา ก็พูดถามตรงๆ “มีข่าวจากทางบริษัทโทรคมนาคมแล้วใช่ไหม?”
“ไม่มีครับ แต่ตอนที่พวกเราไปตรวจดูบ้านผู้เสียชีวิตสี่ห้าคนนี้อย่างละเอียดอีกรอบแล้ว ในห้องของผู้เสียชีวิตคนแรกพบของบางอย่างที่ถูกอำพรางไว้ครับ”
จดหมายกองหนึ่ง
นายตำรวจหนุ่มส่งถุงซิปล็อกใสที่ใส่จดหมายพร้อมซองถุงนี้ส่งไปให้เซอร์หม่า แล้วพูดต่อว่า “ข้างในยังมีรูปถ่ายจำนวนหนึ่ง พวกผมลองเปรียบเทียบดูแล้วครับ เหมือนกับรูปถ่ายที่พบในสมุดบันทึกของจ้าวหรู อีกอย่างสิ่งที่เขียนไว้บนรูปถ่าย ก็เพียงพอยืนยันได้ว่าเธอไม่ได้ข่มขู่ธรรมดาๆ แน่นอน ขอเพียงหาลายมือของจ้าวหรูพบ แล้วเทียบกับลายมือที่อยู่บนจดหมายพวกนี้ได้ พวกเราก็มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่าเธอใช้วิธีการข่มขู่ให้หวาดกลัว จนนักเรียนพวกนี้สติแตก เลือกจบชีวิตแบบนี้”
จดหมายแต่ละฉบับไม่เพียงแต่ติดภาพถ่ายต่างๆ ไว้ แถมยังหนีบกระดาษโน้ตที่เขียนสิ่งยากทนรับไว้อีกด้วย
[เป็นนักเรียนดีเด่นจริงๆ นักเรียนดีที่ขายตัวน่ะ]
[ถ้าให้ครอบครัว เพื่อนร่วมชั้น และคนรอบข้างของเธอเห็นภาพถ่ายพวกนี้เข้า เธอว่าพวกเขาจะรู้สึกยังไงล่ะ?]
[พ่อแม่ของเธอเป็นพนักงานราชการล่ะสินะ? หากให้หน่วยงานงานของพ่อแม่เธอรู้เรื่องของเธอละก็…]
[เธอยังจะอยู่บนโลกนี้ไปเพื่ออะไร?]
[ฉันคิดว่า ใกล้ได้เวลาเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ออกไปแล้ว เธอว่าโพสต์ลงเน็ตดี หรือว่าติดไว้ข้างถนนดีล่ะ? หรือว่า…ส่งให้โรงเรียนเธอก่อน?]
[เธอมีชีวิตอยู่ยังจะมีความหมายอะไรอีก? เธอจะถูกผู้คนด่าประณามเอานะ ลองคิดดูสิ คนที่รู้จักเธอทั้งหมดจะต้องรู้เรื่องที่เธอเคยทำไว้ แล้วเธอยังมีหน้าไปสู้ใครได้อีก]
[จริงสิ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้พูดต่อหน้าเธอ แต่จะต้องนินทาเธอลับหลังแน่ๆ เธอรู้ไหมว่าพวกเขาจะพูดถึงเธอยังไงบ้าง?]
[หญิงโสเภณี หญิงโสเภณี หญิงโสเภณี หญิงโสเภณี ผู้หญิงสำส่อน]
[เธอยังมีหน้าอยู่ได้ยังไงเนี่ย หน้าด้านหน้าทนจริงๆ ถ้างั้นฉันประกาศให้รู้โดยทั่วกันดีกว่า]
…
หม่าโฮ่วเต๋ออ่านจดหมายจนหมดทั้งกอง เขาถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “คุณว่าเด็กๆ ได้รับจดหมายแบบนี้ทุกวันจะทนได้เหรอ?”
แต่ถ้าเด็กพวกนี้ไม่ถูกหลอกล่อตั้งแต่แรก จ้าวหรูก็คงเอาเรื่องนี้มาขู่ไม่ได้เหมือนกัน
“คุณไปหาลายมือของจ้าวหรูมาเปรียบเทียบดูหน่อยแล้วกัน” หม่าโฮ่วเต๋อถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอกนะ ตอนสอบสวนครั้งหน้า คุณลองไปขู่เธอดูสักหน่อย ดูสิเธอจะว่ายังไงบ้าง”
“รับทราบครับ” นายตำรวจหนุ่มพยักหน้าแล้วพูดว่า “ผมคิดว่าจ้าวหรูจะต้องคิดไม่ถึงแน่ๆ ว่าผู้ตายซ่อนของพวกนี้เอาไว้ ตามปกติแล้ว ของแบบนี้ไม่มีใครอยากเก็บไว้ มีแต่จะทำลายให้สิ้นซากนะครับ”
“นี่แหละที่เขาบอกว่าสวรรค์ยุติธรรมเสมอ ขอเพียงทำความผิด ก็ต้องเหลือร่องรอยทิ้งไว้…” หม่าโฮ่วเต๋อพูดมาถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที
เขาหยิบจดหมายพวกนี้ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็รีบกวาดตาอ่านลวกๆ
“เซอร์หม่า มีอะไรเหรอครับ?”
“เปล่าๆ ไม่มี อันนี้ก็ไม่มี” หม่าโฮ่วเต๋อวางจดหมายในมือลง “ความจริงแล้วในจดหมายพวกนี้ไม่ได้พูดถึง ‘อาจารย์’ เลยสักคำ”
“อ้อ ก็ไม่มีหรอกครับ…มีอะไรหรือเปล่าครับ?” นายตำรวจหนุ่มถามอย่างงุนงง “หรือว่าคนร้ายจงใจสร้างหลักฐานให้การสืบสวนหลงทิศครับ?”
“ผมรู้ว่า…” หม่าโฮ่วเต๋อกลับบอกว่า “แต่คุณคงลืมแล้วล่ะสิ ตอนแรกเพราะข้อความที่ถูกลบจากโทรศัพท์ของกู้จยาเจี๋ย พวกเราถึงได้เริ่มสืบสวนไม่ใช่เหรอ? ในข้อความนั่นยังเคยพูดถึง ‘อาจารย์’ ด้วยนี่!”
“นี่…เซอร์หม่า ท่านจะบอกว่า การตายของกู้จยาเจี๋ยกับผู้เสียชีวิตทั้งสี่คนก่อนหน้านี้ ไม่ใช่คดีเดียวกันงั้นเหรอครับ?”
“ผมไม่รู้…” หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้า แล้วลุกขึ้นยืนพรวดพราด เก็บโทรศัพท์มือถือ กุญแจและของอื่นๆ บนโต๊ะ “ผมไปโรงพยาบาลลำดับที่สามสักหน่อยดีกว่า คุณอยู่ที่นี่ รีบเปรียบเทียบลายมือให้เสร็จซะ!”
“รับทราบครับ!”
…
…
หม่าโฮ่วเต๋อกำลังขับรถ ข้อมูลในช่วงนี้ลอยวนเวียนอยู่ในหัวหม่าโฮ่วเต๋อไม่หยุด ทั้งสิ่งที่กู้เฟิงกับเหล่าฉินเคยพูด แล้วยังยาที่พบในห้องกู้จยาเจี๋ยอีก…
‘ผมก็แค่ระบายอารมณ์เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้คิดจะใช้มีดฟันเขาจริงๆ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เจ้าเด็กนี้เขาถึงได้ตอบโต้ขึ้นมา…’
‘มีบางอย่างแปลกๆ นะ ดูจากผลการตรวจก้อนเนื้อครั้งแรกบ่งบอกว่าเป็นเซลล์มะเร็งแท้ๆ แต่ตอนหลังผมลองตรวจกลับไม่พบอะไร’
‘ตรวจสอบได้แล้ว จากส่วนผสมของยานี้น่าจะเป็นยาต้านมะเร็งชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Chidamide’
‘ไม่ได้เจ็บป่วยนี่ ผมไม่รู้ลึกขนาดนั้นหรอก เด็กโตขนาดนี้แล้ว หรือว่าป่วยเป็นหวัดยังดูแลตัวเองไม่ได้เลยเหรอ?’
‘ผมต้องชันสูตรศพอีกครั้ง’
ระหว่างคิดไปเรื่อยๆ นั้น ก็มาถึงโรงพยาบาลลำดับที่สามแล้ว
เซอร์หม่าลงรถมาพร้อมกับโทรศัพท์ไปด้วย “ฮัลโหล เหล่าฉินเหรอ คุณบอกว่าจะชันสูตรอีกครั้ง เจออะไรใหม่ๆ บ้างแล้วหรือยัง?”
“ยังรอดูผลอยู่เลย”
“อ้อ ผมเข้าใจแล้ว ถ้าได้ผลแล้วรีบแจ้งผมทันทีนะ”
เซอร์หม่าวางสายแล้วก็รีบเดินไปที่ห้องผู้ป่วยของเหอเสี่ยวเม่ยราวกับติดจรวด แต่กลับมีพยาบาลสาวคนหนึ่งเรียกเขาไว้ ตอนที่เดินผ่านเคาน์เตอร์นางพยาบาล
“คุณคะ ตอนนี้เลยเวลาเยี่ยมแล้วค่ะ” นางพยาบาลสาวพูดตามหน้าที่
ตอนที่เซอร์หม่ากำลังคิดจะหยิบบัตรเจ้าหน้าที่ออกมา นางพยาบาลสาวคนนี้กลับเอ่ยถามว่า “เอ๊ะ คุณ คุณรู้จักหลิวจยาฮุยใช่หรือเปล่าคะ? คุณสนิทกับเขาเหรอคะ?”
“คุณ…หมายความว่ายังไงครับ?” หม่าโฮ่วเต๋องุนงง
นางพยาบาลสาวตอบกลับว่า “ได้ยินเพื่อนพยาบาลบอกว่า วันนี้มีคนมาเยี่ยมหลิวจยาฮุยกับ คุณเหอเสี่ยวเม่ยด้วย ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครมาเยี่ยมคุณเหอเสี่ยวเม่ยเลยแท้ๆ ฉันอยากรู้ก็เลยไปดูอยู่แวบหนึ่ง แล้วก็เห็นคุณพอดี…น่าจะยังมีผู้ชายกับผู้หญิงตามมาด้วยนี่คะ ตอนแรกฉันคิดจะไปพบพวกคุณสักหน่อย แต่ไม่ทันได้ก้าวไป พวกคุณก็เดินไปแล้ว”
หม่าโฮ่วเต๋อตัดสินใจยังไม่แสดงบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ ตอนเช้าที่มาเขาก็ไม่ได้เปิดเผยตัวเหมือนกัน แค่บอกว่าเป็นเพื่อน เลยให้นำทางก็เท่านั้น
“คุณครับ คุณกับหลิวจยาฮุยสนิทกันไหมครับ?” จู่ๆ หม่าโฮ่วเต๋อก็ถาม
“อืม ตอนที่ฉันเข้าเวรอยู่ ส่วนใหญ่แล้วจะเห็นเขาดูแลคุณเหอเสี่ยวเม่ยตลอดนะคะ” นางพยาบาลถอนหายใจ “เด็กคนนี้น่าสงสารเหลือเกิน คุณคะ ถ้าคุณสนิทกับเขาละก็ ช่วยคิดหาวิธีช่วยเขาหน่อยเถอะค่ะ หมอบอกว่า เขา…คงมีชีวิตได้อีกไม่นานเหมือนกัน”
…
…
แวบแรกเฉินเหมยห่วนก็นึกถึงสวนสนุก ด้วยเพราะนี่เป็นที่ที่ลูกชายเธอมาเมื่อตอนเดินพลัดหลงกับเธอคราวที่แล้ว
เธอจึงตามหามาตลอดทาง แต่กลับไม่พบเลย
พนักงานเก็บเงินข้างในก็ตอบแบบขอไปทีว่าไม่เคยเห็น…เฉินเหมยห่วนรู้ว่าเขาไม่เคยเห็นแน่ๆ ไม่อย่างนั้น เจ้าหมอนี่คงไม่เย็นชาแบบนี้หรอก
แต่ถ้าไม่อยู่ที่นี่ แล้วคราวนี้…เขาจะเดินไปที่ไหนล่ะ?
เฉินเหมยห่วนออกมาจากสวนสนุกอย่างลนลาน เธอไปหาตามสถานที่ต่างๆ ที่เธอเคยพาลูกชายเธอไป…แล้วเธอก็เดินมาถึงโรงแรมแรกที่เคยมาพักโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เฉินเหมยห่วนนึกได้ว่าที่นี่ก็มีหญิงชุดดำลึกลับคนหนึ่งพักอยู่ด้วยเหมือนกัน เธออดลังเลขึ้นมาไม่ได้…จึงถอยหลังและกำลังคิดจะจากไป
แต่นึกไม่ถึงว่า กลับได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหลัง
“คุณ มาหาฉันเหรอ”
“ฉัน…ฉันก็แค่ผ่านมาเท่านั้นค่ะ”
วินาทีที่เฉินเหมยห่วนหันหลังกลับมานั้น ก็ได้พบหญิงลึกลับที่ชื่อเฮยสุ่ยคนนี้อีกครั้ง เธอไม่อยากพูดกับหญิงลึกลับคนนี้นัก จึงคิดจะจากไป
เฮยสุ่ยกลับพูดว่า “ลูกชายของคุณ เดินหลงไปอีกแล้วล่ะสิ”
“คุณ…คุณรู้ได้ยังไงคะ?” คำพูดของเฮยสุ่ยทำให้เฉินเหมยห่วนชะงักฝีเท้าทันที
เฮยสุ่ยกลับพูดอย่างเฉยชาว่า “ดูจากสีหน้าของคุณไงคะ…หรือว่าคุณยังไม่รู้สึกตัวอีกเหรอ? สภาพร่างกายของคุณเริ่มถูกกลิ่นศพกัดกร่อนแล้ว”
“คุณเจอเขาแล้วใช่หรือเปล่า?” เฉินเหมยห่วนคว้าแขนเฮยสุ่ยไว้แน่น แล้วพูดอ้อนวอนว่า “ขอร้องคุณล่ะ! ขอร้องล่ะ ถ้าคุณเจอเขาแล้ว ได้โปรดบอกฉันมาเถอะค่ะ เขาอยู่ที่ไหนคะ!”
“ขอโทษนะ ฉันไม่รู้หรอก” เฮยสุ่ยส่ายหน้า พร้อมกับปัดมือเฉินเหมยห่วนออก แล้วก็หิ้วของถุงใหญ่ๆ สองถุงเดินเข้าโรงแรมไป
“ขอร้องล่ะ บอกฉันมาเถอะค่ะ!”
เฮยสุ่ยได้ยินเสียง…กระแทกพื้นดังมาแผ่วๆ นั่นเป็นเสียงที่เฉินเหมยห่วนคุกเข่าโขกหัวคำนับเธออยู่บนพื้น
เธอไม่ได้หันไปมอง ราวกับไม่กล้าหันกลับไปมองหญิงสาวน่าสงสารคนนี้ จึงรีบเดินขึ้นชั้นบนไปทันที
…
เฉินเหมยห่วนเหม่อมองประตูกระจกอัตโนมัติหน้าโรงแรม เธอค่อยๆ รวบกำลัง ในที่สุดก็ใช้สองขาพยุงตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยความสิ้นหวัง
ตอนที่เธอรู้สึกถึงความสิ้นหวังอีกครั้งนั้น เธอคิดจะไปขอพรจากสถานที่ลึกลับแห่งนั้น ยิ่งปล่อยเวลาผ่านไป โอกาสที่ลูกชายเธอจะถูกพบตัวก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น เธอไม่กล้าคิดถึงผลที่จะตามมาเลย
ถ้าอย่างนั้น แม้ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร เธอก็ยินดีทั้งนั้น
และก็ในตอนนี้เอง
“คุณรอก่อนค่ะ ฉันจะพาคุณไปพบเขาก็แล้วกัน…อย่าแลกเปลี่ยนเกินจำเป็นอีกเลย”
ในขณะนั้นเอง เฉินเหมยห่วนก็ได้ยินเสียงของเฮยสุ่ยดังลอยมาจากไหนไม่รู้…
“ขอบคุณค่ะ! ขอบคุณ! ขอบคุณมากๆ ค่ะ!”