บทที่ 5 บทที่ 38 ความแค้นของเขา

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 38 ความแค้นของเขา โดย Ink Stone_Fantasy

ตอนเขากลับไปที่ห้อง ก็เห็นคนคนหนึ่งกำลังนั่งคุยกับคุณย่าเหอเสี่ยวเม่ยของเขา

“โอ้…กลับมาแล้วเหรอ”

ปรากฏว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็คือเซอร์หม่า ตอนนี้หม่าโฮ่วเต๋อหันมามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันเป็นห่วงคุณย่าเหอ ก็เลยมาดูอีกรอบน่ะ”

เหอเสี่ยวเม่ยพยักหน้า แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “จยาฮุยเอ๊ย คุณหม่าเป็นคนดีมีน้ำใจจริงๆ”

“งั้น…งั้นเหรอครับ” เขาพยักหน้า “คุณย่าพักผ่อนก่อนเถอะครับ ผมมีเรื่องอยากคุยกับเขานิดหน่อย” พูดจบเขาก็ส่งสัญญาณให้หม่าโฮ่วเต๋อตามเขาออกมา

ทั้งสองคนเดินอยู่บนระเบียงห่างออกไปจากห้องผู้ป่วยนี้ แล้วเขาก็เริ่มอ้าปากพูดว่า “คุณตำรวจ ผมเคยบอกไปแล้วว่าขอผมอยู่เงียบๆ ไม่ใช่เหรอ? คุณ …คุณเลิกมากวนผมสักทีเถอะ”

แต่เซอร์หม่ากลับถามว่า “ฉันแค่เป็นห่วงสุขภาพคนแก่ไม่ได้เหรอ?”

เขาสูดหายใจลึกๆ แล้วพูดว่า “นายตำรวจหม่า ผมยินดีต้อนรับถ้าคุณแค่มาเยี่ยมไข้จริงๆ แต่ถ้ามาเพราะเรื่องแม่ผม …ก็เชิญกลับไปเถอะครับ”

หม่าโฮ่วเต๋อหรี่ตาลงทันที พยักหน้าแล้วพูดว่า “เอาเถอะ ฉันน่ะ จะไม่พูดเกลี้ยกล่อมแล้ว เธอกลับไปดูย่าของเธอให้ดีๆ เถอะ”

เขาถึงได้ถอนหายใจ พยักหน้าแล้วก็หมุนตัวจากไป

“เดี๋ยวก่อน เธอทำของหล่น” หม่าโฮ่วเต๋อรีบตะโกนเรียกทันที

เขาหันมาด้วยหน้าตาอึ้งตะลึง แล้วก็เห็นหม่าโฮ่วเต๋อเก็บขวดยาใบหนึ่งขึ้นมาจากพื้น จึงยื่นมือออกมาพูดว่า “เธอทำยาตก”

“ไม่ใช่ของผม” เขาเหม่อมองอยู่แวบหนึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แล้วก็พูดโพล่งออกมาว่า “พยาบาลอาจทำตกไว้ล่ะมั้งครับ”

“ไม่ใช่ของเธอจริงๆ เหรอ?” หม่าโฮ่วเต๋อถามย้ำอีกครั้ง

แต่เขากลับทำท่าเหมือนรำคาญ “ผมสบายดีมาก ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ไม่ต้องกินยาโอเคไหมครับ?”

หม่าโฮ่วเต๋อถึงตบหน้าผากของตัวเอง เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “ฉันนึกออกแล้ว นี่ไม่ใช่ยาของเธอจริงๆ นั่นแหละ ฉันแค่ยืมมาจากหมอ …แล้วเธอรู้ไหมว่ายานี้จ่ายให้ใคร?”

“ผมจะไปรู้เยอะแบบนั้นได้ยังไงครับ?”

“นี่เป็นยาที่จ่ายให้หลิวจยาฮุย …” หม่าโฮ่วเต๋อหรี่ตาลง “ยาที่จ่ายให้เธอเอง เธอลืมไปแล้วเหรอ? น่าแปลกนะ? จริงไหม?”

ฉับพลันนั้น เขาก็นึกเรื่องบางอย่างออกทันที สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขารีบก้มหน้าพูดว่า “ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร …คุณ คุณเลิกมาหาผมได้แล้ว!”

พูดจบเขาก็รีบหมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว

ครั้งนี้หม่าโฮ่วเต๋อก็ไม่ได้ไล่ตามแล้ว เขาแค่ตะโกนเสียงดังไล่หลังไปว่า “กู้จยาเจี๋ย เธอคือกู้จยาเจี๋ยใช่ไหม? วันนั้นที่โดดลงมาจากตึกบ้านเธอคือหลิวจยาฮุย…พี่ชายของเธอใช่ไหม?”

เขารีบหันตัวหนีทันที!

ไม่สามารถปกปิดความตะลึงและตกใจบนใบหน้าได้

แล้วหม่าโฮ่วเต๋อก็เห็นอีกฝ่ายหยุดชะงัก พร้อมกับสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด เขาผู้ที่มากด้วยประสบการณ์ลอบถอนหายใจ แล้วจึงเดินเข้ามาช้าๆ “ก่อนเธอกลับมา ฉันถามคุณหมอคนก่อนมา ฉันรู้เรื่องอาการป่วยของจยาฮุยแล้ว…ตอนนี้วิทยาศาสตร์พัฒนาไปมาก แค่พวกเราชันสูตรศพที่อยู่ในสถาบันนิติเวชเดี๋ยวนี้ ก็รู้แล้วว่าเขาป่วยเป็นโรคอะไรมาก่อนหรือเปล่า…ส่วนเธอ แค่เราตรวจก็รู้แล้วว่าป่วยหรือเปล่า”

หม่าโฮ่วเต๋อเดินเข้ามาใกล้เขาทีละก้าว ทีละก้าว เขาก็ถอยหลังไปทีละก้าว ทีละก้าว

หม่าโฮ่วเต๋อทำเสียงเข้มพร้อมพูดไปด้วยว่า “ทำไมหลิวจยาฮุยถึงตายอยู่ล่างตึกบ้านเธอได้ ทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่? พวกเธอสองคนทำอะไรกันแน่? บอกมา! หลิวจยาฮุยตายเพราะเธอใช่ไหม!”

“ไม่ ไม่ใช่! อย่าเข้ามา…อย่าเข้ามา…อย่า!”

“เธอไม่บอก งั้นฉันจะลองถามย่าเธอดู ดูสิว่าเธอรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า” หม่าโฮ่วเต๋อยังคงทำหน้าขึงขัง …เขาใช้ความต่ำทรามในแบบของผู้ใหญ่มาข่มขู่ให้เด็กคนนี้ยอมศิโรราบ

เขาไม่ได้คิดจะถามเหอเสี่ยวเม่ยจริงๆ เพียงแค่อยากทลายกำแพงในใจของเด็กคนนี้เท่านั้น

แม้ต้องใช้วิธีสกปรก แต่ก็เป็นเรื่องจนใจ

“อย่า! อย่าพูดเรื่องนี้กับคุณย่าเด็ดขาด! ขอร้องคุณล่ะ อย่าให้ท่านรู้เด็ดขาด!” เขาพูดวิงวอนทันที ถ้าให้คุณย่ารู้เข้า “…เรื่องที่พี่ทำก็จะเปล่าประโยชน์นะ”

“พวกเธอ…พวกเธอทำอะไรกันแน่?” หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้วถาม

เขา…กู้จยาเจี๋ยสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยิ้มเฝื่อนพูดว่า “ผมก็ไม่รู้…ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นถึงได้ยอมตกลง เสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว”

กู้จยาเจี๋ยมองเซอร์หม่า แล้วเอ่ยปากพูดแบบอึกอัก “สองเดือนก่อนหน้านี้ ผมมาหาหมอที่นี่ บังเอิญพบกับคนที่หน้าตาคล้ายผมอย่างกับแกะ”

“เขาก็คือหลิวจยาฮุย พี่ชายของเธอ?”

กู้จยาเจี๋ยพยักหน้า “ผมไม่คิดเลยว่า จะมีวันที่ผมได้เจอพี่ชายของผม เพราะผมจำที่แม่บอกได้ว่าพี่ชายของผมจมน้ำตายไปตั้งแต่เด็กแล้ว…ต่อมาพอเราจำกันได้แล้ว ผมถึงได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น”

กู้จยาเจี๋ยนั่งอยู่บนม้านั่งริมระเบียงทางเดินของโรงพยาบาล พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างปิดหน้าของตัวเอง  แล้วค่อยๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้

“คุณตำรวจคงพอจะรู้ว่าพ่อของผมชอบแอบตีผมบ่อยๆ สินะครับ?”

“อืม กู้เฟิงยอมสารภาพเรื่องนี้แล้ว”

กู้จยาเจี๋ยยิ้มเฝื่อนแล้วพูดต่อ “ไม่รู้ว่าทำไม ที่ผ่านมาผมไม่อยากบอกเรื่องนี้กับแม่เลย …พ่อผม…กู้เฟิงแอบตีผมอยู่ตลอด แต่ในสายตาของผม แม่ไม่ได้ต่างจากเขาเลย แม่ก็บังคับผมอยู่ตลอด…”

เขาจับปกเสื้อของตัวเอง พลางเล่าอย่างเจ็บปวด “บางครั้ง บางครั้งผมถึงขนาดรู้สึกแน่นอกจนหายใจไม่ออก ผมอยากออกจากบ้านนี้ ผมอยากจากสองคนนี้ไป…ผมเล่าเรื่องหลังจากพวกเราแยกให้พี่ฟังไปหลายเรื่อง เขาเข้าใจสถานการณ์ของผม จู่ๆ เขาก็เสนอตัวเองไปแทนที่ผม ยังไงพวกเราก็หน้าตาเหมือนกัน”

“เธอจะบอกว่า…เธอกับหลิวจยาฮุยสลับตัวกันมานานแล้ว?” หม่าโฮ่วเต๋อถามอย่างตกใจ

“ไม่ได้ทำบ่อยๆ หรอกครับ” กู้จยาเจี๋ยส่ายหน้า “ปกติขอแค่วันไหนพ่อผมกลับมา พวกเราถึงสลับตัวกัน”

หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า “มิน่าล่ะ กู้เฟิงถึงบอกว่าตอนที่ตีเธอครั้งที่แล้ว จู่ๆ เธอก็เริ่มสู้กลับ…ความจริงแล้วคนนั้นคือพี่ชายเธอสินะ?”

กู้จยาเจี๋ยพยักหน้า แล้วถอนหายใจยาวๆ พิงหัวไปบนกำแพงด้านหลังเก้าอี้ “ความจริงผมเป็นคนอ่อนแอมากๆ ถึงครั้งที่แล้วผมไม่ได้เจอกับตัวเอง แต่หลังจากผมเห็นบาดแผลของพี่ชายผมแล้ว…จู่ๆ ผมก็ไม่อยากกลับไปบ้านนั้นอีก แล้วพี่ชายก็จ้องผม บอกว่า…”

“เขาบอกว่าอะไร”

กู้จยาเจี๋ยเหม่อมองไฟบนเพดาน แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “เขาบอกว่า…สู้ให้เขาตายแทนผมเสียจะดีกว่า”

“แล้ว…เธอก็เห็นด้วย?”

กู้จยาเจี๋ยหลับตาแล้วพยักหน้า “ถึงตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงตอบตกลง ผมคิดอยู่ตลอด…บางทีอาจเป็นเพราะผมอยากแก้แค้นพ่อกับแม่ บางทีผมอยากจะจากไปจริงๆ ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนี้อีก…หรือ ผมอาจจะทนเห็นพี่ชายผมทรมานแบบนี้ไม่ได้ รู้ไหมครับ? ผมเคยเห็นตอนที่พี่ชายอาการกำเริบกับตาตัวเอง แล้วเขาก็ล้มลงข้างผมด้วยท่าทางทรมาน”

กู้จยาเจี๋ยส่ายหัวเล็กน้อย “ชั่วชีวิตนี้พี่ชายกับผมไม่ได้มีความทรงจำร่วมกันมากมาย และก็ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับแม่ด้วย คุณย่าดูแลเขาตั้งแต่เล็กจนโต  สำหรับพี่ผมแล้ว มีแค่ย่าที่สำคัญที่สุด และเป็นญาติเพียงคนเดียว เขาไม่อยากให้ตัวเองจากไปก่อนคุณย่า แล้วทิ้งเธอให้อยู่บนโลกใบนี้อย่างโดดเดี่ยว ดังนั้น สมมุติว่าที่ตายไปคือกู้จยาเจี๋ย ไม่ใช่หลิวจยาฮุยละก็ คุณย่าก็มีคนดูแลแล้ว ส่วน…ส่วนผมก็ได้เป็นอิสระ”

หม่าโฮ่วเต๋อลูบหน้า ไม่อยากเชื่อว่าเด็กสองคนนี้คิดวิธีแบบนี้ได้ยังไงกัน จึงอดแค่นเสียงถามไม่ได้ “น่าขำ! ทนให้คุณย่าเธอเสียใจไม่ได้ หรือว่าเธอก็ยินดีเห็นแม่เสียใจ? ช่วงนี้เธอก็ตามแม่อยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ หรือว่าเธอไม่รู้ว่าแม่เสียใจขนาดไหน”

“ผมรู้! แต่ผมจะทำยังไงได้? ขนาดก่อนเกิดเหตุผมยังไม่รู้เลยว่าวันนั้นพี่ผมกระโดดลงไปแล้ว! วันนั้นเขาตายไปแล้ว! พวกเรายังไม่ทันได้คุยเรื่องนี้ให้ดีๆ เลย เขาก็ตัดสินใจเองไปแล้ว เขาไม่แม้กระทั่งจะรอให้ผมเห็นด้วยเลยด้วยซ้ำ…ผมไม่มีทางเลือกนี่!”

กู้จยาเจี๋ยก็เริ่มหวั่นไหวเล็กน้อย “กี่ครั้งแล้ว…กี่ครั้งที่ผมอยากจะเดินไปบอกแม่ว่า…แม่ ผมคือจยาเจี๋ย แต่…แต่ผมทำไม่ได้! ผมทำไม่ได้ …ผมไม่กล้าบอกแม่ ผม ผม …ผมหลอกแม่แบบนี้ ผม…ผมไม่ควรตกลงกับพี่ผม เขาบอกว่าแม้หลังผ่าตัดคุณย่าจะหายดีแล้ว ก็เหลือเวลาอีกไม่มาก…ขอแค่ช่วงหลายปีนี้ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณย่า จนเธอผ่านช่วงเวลาสุดท้ายไปอย่างสงบ พอถึงตอนนั้น ไม่ว่าผมจะมาอยู่ต่อหน้าคุณแม่ด้วยสถานะของเขา หรือพูดความจริงออกมาก็ได้ทั้งนั้น”

“แต่วันนั้น…วันนั้นตอนที่ผมเห็นคนมุงอยู่ด้านล่างตึก เห็นแม่ทรุดกับพื้นร้องไห้สะอึกสะอื้น…ตอนที่เห็นผ้าสีขาวคลุมอยู่บนร่างพี่ชายผม…ผม…” กู้จยาเจี๋ยพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ผม…ผมก็เสียใจเหมือนกัน”

หม่าโฮ่วเต๋อฟังจบก็ส่ายหัว แล้วก็เงียบไปทันที

ทำคดีมาหลายปีขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอคดีแปลกๆ แต่ว่าคดีประเภทนี้… เซอร์หม่าไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรพูดอะไรดี

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นความเจ็บปวด ความกลัวและความรู้สึกผิดของเด็กที่อยู่ข้างหน้าคนนี้

“ผม…ผมไม่ได้ตั้งใจปิดบังคุณนะครับ คุณตำรวจ”

“ฉันรู้แล้ว” หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า เขาตบบ่าของกู้จยาเจี๋ยแล้วพูดพร้อมยิ้มเจื่อนๆ “แต่อย่างน้อยที่สุด…เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปซะทีเดียว แต่เธอคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะดีจริงๆ เหรอ”

“ผมไม่รู้ ผมไม่รู้ว่าผมควรทำยังไง”

หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหัวน้อยๆ แล้วถามว่า “จริงสิ มีอีกเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจ ทำไมในโทรศัพท์ของเธอถึงมีข้อความแปลกๆ อยู่หลายข้อความ?”

กู้จยาเจี๋ยถามกลับ “คุณหมายถึงเรื่องอาจารย์นั่นใช่ไหม?”

 เซอร์หม่าพยักหน้า

กู้จยาเจี๋ยตอบ “พี่ผมบอกว่าทางที่ดีอย่าให้คนอื่นรู้เรื่องของพวกเรา แล้วพอดีก่อนหน้านี้เกิดเรื่องที่สถาบันสอนพิเศษ เขาคิดว่าทางตำรวจคงต้องตั้งข้อสงสัยอะไรแล้ว  จึงคิดจะนำพวกคุณไปผิดทาง สถาบันสอนพิเศษมีข่าวลือของอาจารย์ประหลาดนี่อยู่ตลอด พวกเราก็เลยทิ้งข้อความแบบนี้ไว้ในมือถือ…”

หม่าโฮ่วเต๋ออ้าปากค้าง ตะลึงไปในทันที

เขาไม่ได้พูดคำพูดซักถามข้อสงสัยกับกู้จยาเจี๋ยแบบนี้ เขาแค่กำลังแปลกใจ…แปลกใจว่าหลิวจยาฮุยที่ตายไปแล้วคนนั้น เด็กคนนี้…เคยผ่านอะไรมาบ้าง

เขาเสนอความต้องการแบบนี้ออกไป…เป็นเพราะหวังแค่ว่า หลังจากเขาตายไปจะมีคนช่วยดูแลช่วงชีวิตไม่กี่ปีสุดท้ายของเหอเสี่ยวเม่ยแทนเขา  แล้วยังเป็นโอกาสให้กู้จยาเจี๋ยผู้เป็นน้องชายออกจากบ้านหลังนั้นชั่วคราวใช่ไหม?

“จริงสิ นายตำรวจหม่า ผม…”

กู้จยาเจี๋ยหยุดชะงักทันที เขาอยากพูดเรื่องที่เขาเห็นพี่ชายยังเหมือนคนมีชีวิตอยู่

แต่ทว่าเขาเก็บงำเอาไว้ คำพูดเลยมาหยุดที่ริมฝีปาก

“ทำไม ยังมีอะไรหลุดไปงั้นเหรอ”

“เปล่า…ผม ผมแค่อยากพูดว่า คุณอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับแม่ผมได้ไหม?”

หม่าโฮ่วเต๋อถอนหายใจแล้วพูดว่า “เธอคิดจะปิดเรื่องนี้ไปตลอดเหรอ จะพูดอะไรไม่น่าฟังสักประโยคนะ ถึงเธอจะเล่นเป็นพี่ชายไปดูแลคุณย่า แต่ยังไงคุณย่าก็ใช้ชีวิตกับพี่ชายเธอเป็นสิบกว่าปีแล้ว…หรือว่าคุณย่าเธอจะแยกไม่ออก หรือไม่รู้สึกแปลกเลยงั้นเหรอ?”

“ผมไม่รู้ ผมแค่แก้สถานการณ์เฉพาะหน้าไปเรื่อยๆ” กู้จยาเจี๋ยส่ายหัว

“เอาล่ะ ฉันจะทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ก่อนแล้วกัน…แต่ หวังว่าเธอจะสารภาพกับแม่ตัวเองได้นะ”

แล้วหม่าโฮ่วเต๋อก็ออกจากโรงพยาบาลไปพร้อมใจคอหดหู่

เซอร์หม่ามองเห็นรถและคนที่ผ่านไปมาบนถนน จู่ๆ ก็นึกได้ว่า เด็กอย่างหลิวจยาฮุยนี่ประสบเคราะห์ร้ายขนาดนี้แล้ว ไม่ทุกข์ใจบ้างเลยเหรอ?

ฝาแฝดมาอยู่ในโลกใบนี้ในเวลาแทบจะไล่เลี่ยกัน

วงโคจรชีวิตแต่ละคนกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง

“เขา…”

บนถนน ฉับพลันหม่าโฮ่วเต๋อก็หยุดฝีเท้าลง ด้วยตระหนักได้ว่า “ในใจเขามีความโกรธแค้นฝังลึก และความโกรธอย่างรุนแรง!”

เขากลับไปที่ที่เขาเคยอยู่อีกครั้ง เริ่มตั้งแต่ที่สวนสาธารณะริมน้ำ ทั้งที่ไม่ได้หันหลังกลับตลอดทั้งทาง ทางที่เดินมาจนสุดท้ายก็ยังย้อนกลับมาที่แรกเริ่มนี้เสมอ

สวนสนุกแห่งนี้

ยังไม่ถึงเวลาปิดทำการ ประตูสวนสนุกจึงยังเปิดค้างไว้ แต่พนักงานขายเหรียญตรงเคาน์เตอร์กลับเอาแต่ก้มหน้าดูคลิปในโทรศัพท์มือถือ จนไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครเดินเข้ามา

เดิมทีเขาก็ไม่ต้องสังเกตอะไร เพราะเขาคงมองไม่เห็นอะไรเลย

อีกทั้งเขายังไม่ได้ยินเสียงของเครื่องเล่นที่เปิดให้บริการอยู่ทั้งสวนสนุก เพราะว่าเขาใส่ที่อุดหูเอาไว้…ย่อมไม่ได้ยินว่าหนึ่งในเครื่องเล่นนั้นเปิดทำงานอีกครั้งแล้ว

เครื่องตีเต่าเครื่องนั้น

“พอได้แล้วล่ะ”

ลั่วชิวมองดูท่าทางที่เขาจับค้อนอันนั้นขึ้นมาตีเต่าครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่เงียบๆ ก่อนหลับตาลงช้าๆ

ศพเดินได้นี้ไม่มีวิญญาณอยู่จริงๆ…ไม่มีมาตั้งแต่แรก

แต่บางสิ่งในร่างกลับไม่ยอมจางหายไป ทว่าของสิ่งนี้กลับเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์อย่างหนึ่ง ในที่สุดก็งอกโผล่พ้นดินออกมา

วิญญาณใหม่ที่ถือกำเนิดจากเศษเสี้ยวความอาลัยอาวรณ์

ลั่วชิวได้เห็นวิญญาณใหม่ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก เท่านี้เขาก็พอใจแล้ว

ก็เหมือนกับวินาทีที่รอให้ดอกไม้ผลิบานยามดึกดื่น ลั่วชิวฟังอยู่เงียบๆ กำลังฟัง…เสียงความเคลื่อนไหวแรกของชีวิตวิญญาณใหม่

แล้วเจ้าของร้านลั่วก็ลืมตาขึ้นมา พูดเสียงเบาๆ ว่า “ผมนึกว่าคุณจะไม่สนใจเรื่องนี้แล้วเสียอีกนะครับ…คุณเฮยสุ่ย”

ตอนนี้เฮยสุ่ยมายืนอยู่ที่ด้านหลังของเขา

ส่วนข้างหลังเฮยสุ่ยก็ยังมีเฉินเหมยห่วนมาด้วยเช่นกัน