บทที่ 5 บทที่ 39 มันจะตายไป

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 39 มันจะตายไป โดย Ink Stone_Fantasy

 

‘ทำผิดแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว’

กู้จยาเจี๋ยพูดกับตัวเองเช่นนี้

เขามองระเบียงทางเดินของโรงพยาบาลที่ค่อยๆ เงียบเหงา เก้าอี้ตัวนั้นที่หม่าโฮ่วเต๋อเคยนั่งอยู่เมื่อกี้ก็เย็นเฉียบไปแล้ว แต่เขายังคงนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว

นานมากทีเดียว

พอกู้จยาเจี๋ยกลับมาในห้องคนไข้ของเหอเสี่ยวเม่ย เขาก็พบว่าย่าของเขาหลับปุ๋ยไปนานแล้ว

เขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคนแก่คนนี้มากนัก…คงจะเป็นแค่ใบหน้าที่เลือนรางเท่านั้น

นั่นเป็นความทรงจำสมัยเด็ก

กู้จยาเจี๋ยถอนหายใจ แล้วจับมือของคุณย่าใส่เข้าไปในผ้าห่ม เหอเสี่ยวเม่ยยังคงหลับอย่างสงบนิ่ง…กำลังฝันดีอยู่หรือเปล่า?

กู้จยาเจี๋ยส่ายหัว จู่ๆ ก็อยากจัดระเบียบข้าวของของพี่ชายเขาสักหน่อย ความจริงแล้วไม่มีของอะไร เป็นเพียงแค่กระเป๋าสัมภาระเท่านั้น

เพียงแต่ช่วงนี้เขาไม่กล้า และก็ไม่อยากจ้องมองของของพี่ชายที่เขาจำได้แบบเลือนรางเช่นเดียวกัน

บางทีอาจด้วยคืนนี้เขาสารภาพเรื่องทั้งหมดไป เลยทำให้โล่งใจหรือเปล่า?

กู้จยาเจี๋ยไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้…เรื่องพวกนี้สำหรับเขาแล้วล้วนเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยประสบมาก่อน และก็เป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่าจะไปรับมืออย่างไรด้วย แล้วยิ่งไม่รู้ด้วยว่าเขาจะจัดการได้ไหม

กระเป๋าสัมภาระวางอยู่ในตู้ห้องคนไข้ทั้งแบบนี้ ความจริงก็แค่ของใช้ทั่วไปและเสื้อผ้าส่วนหนึ่งเท่านั้น

“ไม่ได้ซักมาหลายวันแล้วหรือนี่”

กู้จยาเจี๋ยดมกลิ่นที่ส่งมาจากเสื้อผ้าที่วางไว้ตรงนี้ แล้วก็ส่ายหัว เทของในกระเป๋าสัมภาระออกมาเสียเลย

ตอนที่เก็บเสื้อผ้าตัวหนึ่งจากในนั้นขึ้นมา เขากลับคลำเจอของบางอย่าง…ที่ล้วงออกมาเป็นกระดาษสี่เหลี่ยมที่พับไว้อย่างดีแผ่นหนึ่ง

กระดาษจดหมาย

 ถ้าหาก ถ้าหากตอนแรกคนที่ถูกพามาเป็นฉัน โชคชะตาของพวกเราจะต่างกันหรือเปล่า

ไม่ได้เขียนว่าส่งถึงใคร แต่ตัวหนังสือที่เขียนไว้ตั้งแต่เริ่มต้นบรรทัดแรกก็คือจะให้กู้จยาเจี๋ยรู้…นี่เป็นจดหมายที่เขียนให้เขา

“พี่…”

อ่านไปอ่านมา กู้จยาเจี๋ยก็นั่งลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง

เสียงเครื่องเล่นในสวนสนุกค่อนข้างดัง แต่กลับไม่สามารถกลบเสียงคนพูดได้

เพราะว่าเขากับเขาและเธอกับเธออยู่ใกล้กันเสียขนาดนี้

“จยาเจี๋ย!”

วินาทีที่เห็นคนตรงหน้า เฉินเหมยห่วนก็เดินผ่านเฮยสุ่ยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รวมทั้งเจ้าของสมาคมที่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย

เธอไม่สนใจว่าทำไมเจ้าของสมาคมคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ สิ่งที่เธอสนใจก็แค่ว่า สุดท้ายเธอก็หาลูกชายของตัวเองเจอ

เธอเดินไปข้างหน้าเขา กอดเขาเอาไว้แล้วตบหลังของเขาเบาๆ ถึงแม้จะเน่าเปื่อย แต่ก็มีเพียงแม่แท้ๆ เท่านั้นที่ไม่รังเกียจแม้แต่น้อยล่ะมั้ง

“การมาของข้าทำลาย…เรื่องดีๆ ของเจ้าหรือเปล่า?”

เฮยสุ่ยเอ่ยถามอย่างระวังตัว

เหมือนเธออยากเอาบางสิ่งที่ทำหายไปเมื่อนานมาแล้วกลับคืนมา…ตอนที่เธอหนีเตลิดไปเมื่อครั้งอยู่ต่อหน้าเจ้าของร้านคนนี้

“ทำลาย?” ลั่วชิวส่ายหน้า “ทำไมคุณเฮยสุ่ยถึงคิดแบบนี้ล่ะครับ?”

เฮยสุ่ยตอบอย่างเย็นชาว่า “หรือว่าไม่ใช่? เจ้าตามเขาอยู่ตลอด เขาถึงไม่ถูกคนทั่วไปพบเข้า ให้เขาทำอะไรได้อิสระ หรือไม่ได้วางแผนร้ายอะไรอยู่งั้นหรือ?”

“พูดแบบนี้ก็ไม่ผิดเสียทีเดียว” ลั่วชิวพยักหน้า “เมื่อลงมือทำย่อมมีเป้าหมาย ผมยอมรับข้อนี้”

“เจ้ายอมรับก็ดีแล้ว” เฮยสุ่ยสบถอยู่คำหนึ่ง

ด้านข้างนั้น เฉินเหมยห่วนที่กอดลูกชายตัวเองไว้ก็คลายมือออกทันที แล้วหันกลับไปมองชายหนุ่มที่เคยให้เหตุผลการมีชีวิตอยู่ต่อไปกับเธอ วันนั้นชายวัยรุ่นที่เธอเห็นคนนี้ ถึงแม้จะบอกว่าใส่หน้ากากเอาไว้ แต่เธอก็จำเสียงของเขาได้

ในสถานการณ์แบบนี้ เธอไม่จำเป็นต้องคาดคะเนก็รู้ได้เลยว่า ผู้ชายเงียบๆ ที่ดูโตกว่าลูกชายเธอไม่กี่ปีเท่านั้น ก็คือเจ้าของสมาคมคนนั้น

“คุณ…คุณคิดจะทำอะไรลูกฉัน! การแลกเปลี่ยนของพวกเราจบลงแล้วไม่ใช่เหรอ?”

เฉินเหมยห่วนดึงลูกชายของตัวเองมาไว้ด้านหลัง เธอป้องกันเขาเอาไว้พร้อมกับพูดเสียงหนักแน่นว่า “คุณกำลังคิดอะไร เอาฉันไปก็ได้! แต่อย่าทำอะไรจยาเจี๋ย!”

“คุณลูกค้าที่เคารพ ผมไม่ได้จะทำอะไรกู้จยาเจี๋ยหรอกครับ” ลั่วชิวส่ายหัว “เพราะว่า…เขาไม่ได้อยู่ที่นี่แต่แรกแล้ว”

“เหลวไหล เห็นชัดๆ ว่าเขาอยู่ที่นี่!” พอเฉินเหมยห่วนหันกลับไป ถึงได้พูดอย่างแน่วแน่ว่า “เขาก็อยู่ตรงนี้ไง! อยู่ตรงนี้ไง! คุณเห็นหรือยัง!”

เธอยกมือของลูกชายขึ้นมาข้างหนึ่ง “นี่ไง! ฉันพาเขามาที่นี่ด้วย!”

คาดไม่ถึงว่าในตอนนี้ เขากลับปัดมือของเฉินเหมยห่วนออก

เฉินเหมยห่วนมองเห็นสิ่งที่ปัดมือของเธอเองออกยังลอยค้างทื่ออยู่กลางอากาศ เธอตกตะลึง พร้อมกับขยับริมฝีปากเล็กน้อย  แล้วพูดอย่างลุกลี้ลุกลนว่า “จยาเจี๋ย ลูกเป็นอะไรไป นี่แม่ไงจ๊ะ จยาเจี๋ย…นี่แม่เอง ลูกจำไม่ได้แล้วเหรอ?”

คล้ายเขาไม่ได้ยินเสียงของเธอ เพียงแค่หันตัวไปหยิบค้อนอันนี้ขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็ตีอยู่กลางอากาศ…ทีละครั้ง ทีละครั้ง

การกระทำที่ดูไร้ความหมาย

“จยาเจี๋ย…” เฉินเหมยห่วนยกมือปิดปากทันที

เสียใจ

ไม่มีเรื่องใดสามารถทำให้คนเป็นแม่เจ็บปวดเท่ากับลูกชายจำตัวเองไม่ได้อีกแล้ว

ความเจ็บปวดทำให้เธอมองเจ้าของสมาคมด้วยความโกรธแค้น “คุณ…คุณทำอะไรลูกชายฉันกันแน่! ตอนแรกเขาไม่ได้เป็นแบบนี้! เขาไม่เคย! คุณทำอะไรเขา!”

“ยุ่งยากจริงๆ” ลั่วชิวส่ายหัว แล้วเดินไปทางเฉินเหมยห่วน “…ถือว่าเป็นบริการหลังการขายแล้วกันครับ ช่วยหลับตาด้วย”

“คุณ…คุณคิดจะทำอะไร!”

พอเห็นลั่วชิวเดินเข้ามา เฉินเหมยห่วนก็ถอยหลังไปอย่างลุกลี้ลุกลน

อีกด้านหนึ่ง เฮยสุ่ยที่เห็นเหตุการณ์นี้ก็ขยับตัวทันที!

เงาของเฮยสุ่ยแวบไป แล้วก็บังอยู่ข้างหน้าเฉินเหมยห่วน

ริมฝีปากของเธอพลันเปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนน้ำหมึกทันที

เขี้ยวสองข้างที่ยาวและแหลมคมยื่นออกมาจากปากสีดำด้วยเช่นกัน รอยสักสีดำเขียวจำนวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาบนแก้มสองข้างซ้ายขวา

“อย่าเข้าใกล้เธอ!”

“ผมไม่ได้มีเจตนาร้าย”

ลั่วชิวส่ายหน้า

“ข้าจะบอกอีกครั้ง อย่าเข้าใกล้เธอ”

เฮยสุ่ยพูดเสียงหนักแน่น

“ตอนนี้คุณไม่ได้แข็งแกร่งเท่าหลงซีรั่ว เพราะฉะนั้น…ใจเย็นหน่อยครับ”

เฮยสุ่ยเริ่มตาลาย และเวียนศีรษะไปทันที พอได้ยินชื่อของหลงซีรั่วขึ้นมา ยิ่งทำให้เธอหวาดกลัวอยู่ในใจ

เขาเคยเจอกับท่านหลง?

แต่ตอนที่เธอได้สติคืนมา เจ้าของสมาคมได้ผ่านตัวเธอไปแล้ว…นิ้วมือของลั่วชิวแตะเบาๆ ไปตรงกลางหน้าผากของเฉินเหมยห่วน

พอแตะลงไปก็ทำให้เฉินเหมยห่วนร้องไห้ หมดสติไป

เธอเข่าทรุดลงบนพื้นทันที ดวงตาเบิกโพลง หน้าตาเปี่ยมด้วยความตื่นตระหนกและวุ่นวายใจ

“เป็นไปได้อย่างไร? จยาฮุย…เขา เขาคือ…จยาฮุย? ” เฉินเหมยห่วนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นรีบแหงนหน้าขึ้นทันที “คุณ…คุณหลอกฉัน!”

ลั่วชิวเพียงตอบเสียงเบาๆ ว่า “คุณลูกค้า ผมเตือนคุณแล้ว ถึงไม่ใช่ลูกชายที่คุณรู้จัก คุณ…ก็ยินดีใช่ไหม”

“คุณไม่ได้บอกฉัน! นี่ไม่ใช่จยาเจี๋ย! คุณหลอกฉัน!”

“คุณลูกค้า”

เสียงของลั่วชิวหนักแน่นขึ้น หนักแน่นแต่ยากที่จะสังเกตเห็น “สิ่งที่คุณต้องการก็คือ ชุบชีวิตลูกคุณถูกไหมครับ? งั้น…หรือว่าคนนี้ไม่ใช่ลูกคุณหรือครับ”

ลั่วชิวเห็นเฉินเหมยห่วนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อยก็ส่ายหัว แล้วพูดอย่างเฉยชาว่า “แค่เพราะว่า เป็นหลิวจยาฮุย แต่ไม่ใช่กู้จยาเจี๋ย คุณก็เลย…ไม่พอใจหรือครับ?”

“ฉัน…”

จยาฮุย…ไม่ใช่…ลูกของฉันอย่างนั้นเหรอ?

ถ้าวันนั้นเธอรู้ว่านี่คือหลิวจยาฮุยแต่ไม่ใช่กู้จยาเจี๋ย…เธอจะยอมไหม?

ที่น่าถากถางก็คือเธอไม่สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องกับตัวเองได้

กี่ปีแล้ว?

ในฤดูร้อนปี 2003 ทั้งตัวหนาวสั่น ออกจากเมืองเล็กๆ นั่นด้วยความรู้สึกราวกับสิ้นหวัง ความรักของเธอก็ไม่อาจตัดแบ่งเป็นสองส่วนได้อีก

ความรักของเธอ…เธอทำได้แค่ทุ่มเทความรักทั้งหมดไว้ให้ลูกที่เหลือเพียงคนเดียว

ไม่ว่าเธอจะเสียใจที่ทำผิดไปอย่างไร ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องที่ไม่อาจพาเด็กมาได้ทั้งสองคน…อย่างเดียวที่เธอทำได้ คือทุ่มเทความรู้สึกทั้งหมดของเธอให้ลูกเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เท่านั้น

ยึดเขาเป็นศูนย์กลาง จนเวลาล่วงเลยมานานหลายปีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

แล้วเธอก็เหลือลูกชายเพียงคนเดียวโดยไม่รู้ตัว

หลังจากแยกทางกับสามีคนก่อน เธอก็สร้างครอบครัวใหม่อีกครั้ง เพื่อลูกชายคนนี้…เพื่อเขา เธอยินดีเสียสละทุกอย่าง

แต่แล้ว…เขาอีกคนล่ะ?

เธออดสงสัยไม่ได้

ยินดีไหม?

ตอนเฉินเหมยห่วนเงยหน้าขึ้นมา มองดูร่างกายเน่าเปื่อยแสนงุ่มง่ามนั้น จู่ๆ เธอก็รู้สึกถึงความไม่คุ้นเคยและความหวาดกลัว

ฉัน…ฉันเคยกอดเขา

เธอยื่นมือยันออกไปอย่างเผลอไผล

กำลังไกลห่างเขาไป ห่างจากร่างกายอันเน่าเปื่อย

เขากลับก้มหน้าลง แล้วหยุดแกว่งค้อนในมือ เดินเข้ามาหาเธอ แล้วยื่นค้อนนี้ออกไปราวกับเชื้อเชิญ

“อย่า…”

เธอหลุดคำพูดออกมาจากปากเบาๆ…บางทีอาจแค่กลัว หรือบางทีอาจแค่สับสนจนไม่อาจจัดการได้ หรืออาจเป็นแค่สัญชาตญาณ

หลังจากคำนี้สั่นสะเทือนกลางอากาศกลายเป็นเสียงไปแล้ว เธอกลับเสียใจกับคำที่ตัวเองพูดออกไป

แต่เธอไม่สามารถเรียกมันกลับคืนมาได้ เพราะว่าพูดออกจากปากไปแล้ว…และเขาได้ยินแล้ว

สุดท้ายเขาที่เงียบมาโดยตลอด ก็ส่งเสียงของตัวเองออกมาเป็นครั้งแรก

ฮือ!

เสียงเจ็บปวดอันแผ่วเบาดังมาจากในลำคอเน่าเปื่อยนั้น

เสียงอันแสนอ้างว้าง

และท่าทางอัปลักษณ์

ค้อนตกลงบนพื้นทันที

ครั้งแรกเป็นเพราะเขายกไม่ขึ้น แต่ครั้งนี้…เขากลับทิ้งลงไปเอง

เขาจับหน้าตัวเองอย่างเจ็บปวด ตัวกวัดแกว่งไปมาอยู่ตรงนี้

ความเจ็บปวดทำให้เขาเหมือนเป็นบ้าไปก็ไม่ปาน เขาคุกเข่าลงบนพื้น พร้อมกับเอาหัวโขกกับพื้นทีละครั้ง ทีละครั้ง

ทีละครั้ง ทีละครั้ง

คล้ายอยากทำให้หัวและอวัยวะทุกส่วนในร่างกายตัวเองแตกสลายไป…ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้

ทำไมเป็นแบบนี้?

เพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้?

สีดำบนริมฝีปากเฮยสุ่ยหายไปแล้ว รอยอักขระบนใบหน้าก็หายไปเช่นกัน เธอยื่นมือลูบไล้ไปบนหน้าตัวเองอย่างเผลอไผล พอลูบคลำดูก็รู้สึกเปียกเล็กน้อย…นั่นคือน้ำตา

ไม่รู้ว่าน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาเธอตั้งแต่เมื่อไร

นั่นเป็นเสียงสะท้อนของวิญญาณร่ำไห้ท่ามกลางความเจ็บปวดอันไร้ที่สิ้นสุด ซึ่งมาจากก้นบึ้งหัวใจเธอ

เธอได้ยินแล้ว เหมือนที่ลั่วชิวพูดไว้ไม่มีผิด เธอได้ยินแล้ว!

“ข้าได้ยินแล้ว…ได้ยินแล้ว”

เธอพึมพำกับตัวเอง “เขากำลังร้องไห้…วิญญาณของเขากำลังร้องไห้”

เธอมองลั่วชิว ในใจอดหวั่นไหวไม่ได้ “เขา…มีความคิดแล้วจริงๆ เป็นแบบนี้ได้ยังไง? เขาให้กำเนิดวิญญาณใหม่…เป็นไปไม่ได้…ไม่จริง…”

เฮยสุ่ยมองซอมบี้เสียสติตรงหน้าที่กำลังหันมา “เขา ความทรงจำที่เขาสร้างร่วมกับแม่ในช่วงนี้ ได้ให้กำเนิดวิญญาณใหม่…เป็นเพราะความคำนึงหา! นี่…นี่ก็คือสิ่งที่เจ้าต้องการเห็น!”

“น่าเสียดาย”

แต่ลั่วชิวกลับส่ายหัวพร้อมกับความผิดหวัง “มันกำลังจะตาย”

เฮยสุ่ยถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ด้วยไม่กล้ามองแววตาของชายวัยรุ่นคนนี้ ไม่ว่าเธอจะสัมผัสความโกรธ ความไม่พอใจตลอดจนอารมณ์อื่นๆ จากตัวอีกฝ่ายไม่ได้  แต่เธอกลับไม่กล้ามองตรงๆ

เขาไม่ได้ทำอะไรจริงๆ แค่รอวินาทีที่วิญญาณเกิดใหม่ดวงนี้ถือกำเนิดขึ้นอยู่เงียบๆ…เขาอาจจะรอชื่นชมช่วงเวลาเกิดใหม่ของวิญญาณเพียงลำพังก็เป็นได้

“ถ้าหาก…ถ้าหากข้าไม่ได้พาเธอมา อาจจะ…รวมสามจิตเจ็ดวิญญาณของเขาที่สูญหายไปกลับมาใหม่ได้? การฟื้นคืนชีพโดยแท้จริง?”

เขาทำได้แค่รออยู่ตรงนี้…ส่วนเธอกลับพาเฉินเหมยห่วนมา

วินาทีนี้ เฮยสุ่ยคิดว่าตัวเองได้ทำผิดพลาดลงไปเสียแล้ว