DND.
จื่อเสวียนเดินทางไปที่เขาวิญญาณจรัสเพื่อสืบหา‘ซือหยู’ นางได้ตามหามาหลายเดือนและกลับมาโดยที่เขาไม่คาดคิด
“ข้าตามหาอยู่นานแต่ก็ไม่เจอตัวเขาข้าเลยกลับมา”
จื่อเสวียนพูดด้วยสีหน้าดังเดิมดูเหมือนว่านางจะคิดว่าที่นี่คือบ้านเช่นกัน
ซือหยูยิ้ม
“เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว”
“เจ้าจะช่วยหาตามหาซือหยูต่อไปไหม?”
จื่อเสวียนเอียงหน้าและถามด้วยรอยยิ้ม
ไม่รู้เหตุผลใดซือหยูรู้สึกว่าจื่อเสวียนเปลี่ยนไป แต่เขามิอาจบอกได้ว่าในทางไหนกันแน่
“แน่นอน”
ซือหยูลูบหัวนางอย่างเคย
จื่อเสวียนย่นจมูกแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธการสัมผัสหลังจากรับประทานมื้อเย็น ทั้งสองได้พูดคุยกันอย่างเป็นมิตรและส่งเสียงหัวเราะอย่างกับสหายที่ไม่ได้เจอกันมานาน
ในตอนนั้นเองชางก่วนหยุนซื่อตามมาอย่างรีบร้อน
“น้องซือเจ้ากลับมาแล้ว!”
ชางก่วนหยุนซื่อมาหาซือหยูทันทีที่ได้ข่าวซือหยูค่อนข้างชอบเขาจึงทักด้วยรอยยิ้ม
“พี่หยุนซื่อเข้ามานั่งกับพวกเราสิ!”
ชางก่วนหยุนซื่อเหลือบมองจื่อเสวียนด้วยแววตา‘ข้ารู้ทุกอย่างแล้ว’ และหัวเราะ
“ฮ่าๆๆ!ข้าจะมารบกวนเวลาหวานของน้องซือได้อย่างไรเล่า? ข้ามาตามคำสั่งเจ้าตำหนักให้เชิญเจ้าไปพบ ข้ามาเพื่อส่งข้อความเท่านั้น ข้าจะไม่รบกวนเจ้าหรอก”
ตามข่าวลือจื่อเสวียนนั้นคือสตรีของซือหยู หลังจากคิดต่ออีกสักหน่อย ชางก่วนหยุนซื่อก็วิ่งออกไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
ซือหยูหัวเราะแห้งๆ
“จื่อเสวียนอย่าไปใส่ใจเขาเลย เขาเป็นอย่างนั้นเสมอแหละ มาว่ากันต่อเถอะ…”
“ไม่สิเจ้าต้องไปหาเจ้าตำหนักในตอนนี้ หากเขาเรียกเจ้าเร็วขนาดนี้ก็ต้องมีเรื่องสำคัญจะหารือ…”
จื่อเสวียนกล่าว
ซือหยูรู้สึกแปลกๆพวกเขาไม่ได้เจอกันหลายเดือน แต่เขารู้สึกราวกับว่าจื่อเสวียนนมิได้ไร้เดียงสาอย่างที่เคยเป็นแล้ว นางดูเติบโตขึ้น
“โอ้จริงด้วย…”
ซือหยูตอบ
จื่อเสวียนหยุดพักและพูดต่อ
“แล้วก็มีคนส่งข้อความมาบอกให้เจ้าไปที่ป่าขังภูติทันทีที่เจ้ากลับมา เขาน่าจะต้องการอะไรสักอย่าง”
แปลกมาก!ชายคนหนึ่งปรากฏในใจซือหยู นั่นก็คือชายวัยกลายคนหน้ากากสีเงินจากผาบั่นภูติ และเมื่อพูดถึงผาบั่นภูติ ในตอนนี้ซือหยูมีแก้วมากพอแล้ว เป็นเวลาที่เขาจะรวบรวมสายใยมังกรผ่านช่องทางนี้
“เอาล่ะข้าจะไป”
ซือหยูพูดและมุ่งหน้าไปยังตำหนักของเจ้าตำหนัก
เมื่อมาถึงมีสองคนนั่งรออยู่แล้ว หนึ่งในนั้นคือเว่ยเจิงจากตำหนักซ้าย เว่ยเจิงได้มาชวนซือหยูเข้าฝ่ายตนแต่ก็ถูกปฏิเสธตลอดมา ส่วนอีกคนเป็นสตรีที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยดั่งคนในวัง นางเงยหน้ามองซือหยูราวกับจะประเมิน มันดูอวดดีเล็กน้อย
เจ้าตำหนักที่สวมชุดสีครามกำลังพักสายตาเขาหลับตาสนิท เขาลืมตาขึ้นมาเมื่อซือหยูมาถึง เขาหัวเราะเมื่อได้เจอ
“เจ้ามาแล้ว!เข้ามานั่งก่อนสิ”
ซือหยูประสานหมัดให้
“ท่านเจ้าตำหนักเรียกข้ามาด้วยเหตุอันใดหรือ?”
เมื่อเขาถามเขาก็เหลือบมองเว่ยเจิงและสตรีอีกคนด้วยหางตา
“ข้าไม่ได้เรียกเจ้ามาเพราะเรื่องของข้าแต่เป็นเรื่องของพวกเขานี่ เจ้าคุยกันได้เลย! ไม่ต้องสนใจข้า”
หลังพูดจบเจ้าตำหนักก็หลับตาอีกครั้ง
ซือหยูรู้สึกประหลาดเขาคิด…มันเกิดอะไรกัน?
เว่ยเจิงยิ้ม
“ศิษย์น้องซือข้าไม่ได้เจอเจ้านานแล้ว ฐานพลังเจ้าเพิ่มขึ้น เจ้าเป็นภูติระดับห้ารวดเร็วนัก!”
ดูเหมือนว่าเขาอยากจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซือหยูขึ้นมาใหม่
“ใช่แล้วข้าโชคดีน่ะ”
ซือหยูตอบแม้ครึ่งประโยชก็มากเกินไปสำหรับคนที่ไม่ถูกควร เขารู้สึกว่าเขาถูกบังคับให้มาพูดคุยครั้งนี้
เมื่อเว่ยเจิงทำให้ซือหยูสนใจไม่ได้สตรีอีกคนก็แนะนำตัว นางกระแอม
“ศิษย์น้องซือข้าคือศิษย์พี่ปี่ ลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าสำนักซ้าย”
“ศิษย์น้องซือข้าปี่เสวี่ยหลิง ท่านพ่อได้ยินเรื่องชัยชนะของเจ้ากับเจี๋ยนอู๋เชิง เขาให้คำสั่งพิเศษกับข้าเพื่อเชิญเจ้าเข้าสู่ตำหนักในเพื่อหารือ ดังนั้น เจ้าจะไม่ต้องใช้พลังระดับจ้าวเทวะในการเข้าตำหนักในอีกแล้ว นี่เป็นโอกาสดีที่ไม่มีใครได้รับ”
การพูดของปี่เสวี่ยหลิงก็เหมือนกับท่าทางของนางมันอวดดีหยาบคายราวกับว่านางกำลังเสนอน้ำใจให้ซือหยู
ชวนข้าเข้าฝ่ายซ้ายขวาอีกแล้วหรือ?ซือหยูไม่อยากจะเชื่อ แต่เขาก็พูดออกไป
“ข้าขอบคุณคำเชิญของเจ้าสำนักซ้ายของคุณที่เดินทางมาจากตำหนักใน แต่ข้าทำใจแล้ว ข้าไม่คิดจะเข้าฝ่ายใดในตอนนี้”
ไป่เสวี่ยหลิงไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ศิษย์น้องซือเจ้าคิดให้ดีจะดีกว่า กว่าจะเป็นจ้าวเทวะไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ข้าเสนอโอกาสให้เจ้าได้เข้าสู่ตำหนักใน มันจะเพิ่มโอกาสให้เจ้าอยากมาก ถ้าเจ้าอยู่ตำหนักนอกต่อไป เจ้าก็จะเป็นภูติระดับเก้าไปตลอดกาล นั่นจะทำให้เจ้าก้าวหน้าช้าลงมาก”
ซือหยูหลับตาและยังคงยืนกราน
“ขอบคุณที่ห่วงใยแต่ข้าทำใจแล้ว”
เมื่อถูกปฏิเสธถึงสองครั้งปี่เสวี่ยหลิงไม่พอใจมาก นางรู้สึกว่าเขาไม่ให้ความนับถือนางเลย!
ในฐานะของลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าสำนักซ้ายนางย่อมได้ทุกอย่างที่ปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องแสดงความเคารพต่อนางเมื่อได้เจอ
ทีแรกนางคิดว่าถ้าหากนางมาเชิญซือหยูด้วยตัวเอง ความพิเศษของนางจะทำให้ซือหยูคิดพิจารณา นางไม่เคยคิดเลยว่าซือหยูจะปฏิเสธในทันทีเช่นนี้!
“ซือหยูเซี่ยนเจ้าอย่าทำตัวไร้เหตุผลจะดีกว่า! เจ้าเอาชนะร่างเงาของเจี๋ยนอู๋เชิงได้ก็จริง แต่ก็ที่ระดับพลังแค่ภูติระดับสาม ในชีวิตนี้เจ้าจะเป็นจ้าวเทวะได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่นัก เจ้าจะอวดดีเร็วเกินไปแล้ว!”
ปี่เสวี่ยหลิงโกรธมาก….novel-lucky.
ซือหยูไม่ลืมตาและตอบอย่างเยือกเย็น
“หากจะมาเพื่อทะเลาะกับข้าก็ต้องขออภัยที่ข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วย”
เขาตัดสินใจว่าจะกลับขณะที่พูด
“ฮื่ม!ข้าก็จะไป! เว่ยเจิง ไปกันเถอะ! คนโง่เขลาอย่างมันไม่มีทางสำเร็จได้แน่ ต่อให้มาอยู่ฝั่งของพ่อข้า! อย่าเสียเวลาอยู่เลย…”
ปี่เสวี่ยหลิงลุกขึ้นด้วยแววตาโกรธแค้น
เว่ยเจิงฝืนอยู่ภายใน…ทำไมพวกเขาถึงมอบหมายให้ผู้หญิงเจ้าอารมณ์นี่มาทำงานนี้กัน?
“ศิษย์พี่ปี่อย่าให้อารมณ์ชั่ววูบมาขวางเป้าหมายเรา เจ้าตำหนักซ้ายนับถือเขามากนัก เราจะกลับไปรายงานภารกิจไม่ได้ถ้าเราเปล่ยให้เป็นเช่นนี้!”
เว่ยเจิงรีบพูดกับนางผ่านจิต
แย่มากที่ปี่เสวี่ยหลิงเริ่มใช้อารมณ์ทันทีทันใดโดยไม่แสดงความนับถือต่อเว่นเจิงแม้แต่น้อย
“มีอะไรให้ต้องรายงานอีรก?ข้าไม่เชื่อหรอกว่าฝ่ายของท่านพ่อจะขาดภูติ! รอมันเป็นจ้าวเทวะเมื่อไหร่ข้าถึงจะคิดดูอีกรอบ! ฮื่ม!”
จากนั้นนางก็กระทืบเท้าเดินออกไปเว่ยเจิงขมขื่นในใจยิ่งนัก แต่เขาก็ทำได้แค่ตามไปและพยายามทำให้นางใจเย็นลง
หลังจากทั้งสองออกไปซือหยูถอนหายใจยาว
“ท่านเจ้าตำหนักหากไม่มีอะไรแล้ว ข้าคงกลับได้สินะ?”
เขารู้ว่าเจ้าตำหนักเรียกเขามาด้วยเหตุอันใดถ้าหากคนธรรมดาเชิญซือหยูเข้าตำหนักใน พวกเขาก็คงจะหารือกันเองโดยไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับเจ้าตำหนัก
แต่คนที่มาเป็นลูกสาวของเจ้าสำนักซ้ายที่มีตำแหน่งใหญ่โตเขาจึงต้องแสดงความนับถือด้วยการเรียกซือหยูมาให้
เจ้าตำหนักชายตามองและพูดเบาๆ
“แต่…ยังเร็วไป!”
ปั้ง!
กลุ่มคนสองกลุ่มเดินออกมาจากหลังตำหนักแต่ละกลุ่มนั่งที่ข้างเจ้าตำหนักกลุ่มละด้าน ซือหยูรู้จักคนหนึ่งกลุ่ม แต่อีกกลุ่มนั้นเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา
“ศิษย์น้องซือยินดีด้วยที่เจ้าเติบโตขึ้นเช่นนี้!”
เล่าอ๋ายกระแอมก่อนจะพูดทำลายความเงียบ
ซือหยูเหลือบมองชายผู้นี้พยายามลอบสังหารเขามากกว่าสองครั้ง ซือหยูคิดว่าเขาไม่ต่างจากอสรพิษขี้ขลาด
“เจ้าคงผิดหวังสินะ?ข้าไม่ตายข้างนอกนั่นอย่างที่เจ้าหวังเอาไว้”
ก่อนหน้านั้นผู้ออกภารกิจฉีจะต้องอยากฆ่าเขาเพราะได้รับการติดสินบนจากเล่าอ๋ายในเบื้องหลัง ซือหยูไม่คิดจะให้อภัยและปล่อยเขาไปง่ายๆ
“เรื่องมันผ่านไปแล้วใยเจ้าจึงเก็บเอามาพูดอีกเล่า?”
เสียงยั่วยวนอ่อนโยนดังตามมา
เมื่อซือหยูหันไปมองก็เห็นสตรีสวมชุดบางขาเรียวเนียนของนางบางน่าสัมผัส แม้ว่าส่วนหน้าอกจะถูกบดบังไว้ด้วยเครื่องแต่งกาย แต่มันก็มิอาจเก็บซ่อนสัดส่วนอันยอดเยี่ยมไว้ได้
นางมีใบหน้าสละสลวยนางดูน่ารักและมีเสน่ห์ ซือหยูไม่เคยรู้สึกดีเมื่อมีผู้หญิงแบบนางรายล้อม แต่เขาต้องยอมรับว่านางมีเสน่ห์จริงๆ
“จะเป็นอดีตหรือไม่ข้าก็เป็นคนที่ตัดสินใจ ไม่ใช่เจ้า…”
ซือหยูตอบอย่างไม่แยแสและเหลือบไปมองอีกสองคนที่อีกฟากเขาเป็นบุรุษและสตรี
“เจ้าสองคนก็มาหาข้าเหมือนกันใช่ไหม?”
ซือหยูถาม
ทั้งสองพยักหน้าบุรุษกล่าว
“ใช่แล้วศิษย์น้องปิงส่งพวกเรามาเชิญเจ้าไปหารือที่ตำหนักใน ศิษย์น้องปิงอยากจะพบเจ้าด้วยตัวเอง”
ซือหยูถามกลับ
“ด้วยเหตุอันใด?”
ศิษย์น้องเหือหน้าบึ้งเล็กน้อยนางไม่ชอบน้ำเสียงของซือหยู
“เจ้าเอาชนะร่างเงาของเจี๋ยนอู๋เชิงได้ศิษย์น้องปิงถึงอยากประลองกับเจ้า”
“เช่นนั้นก็บอกให้นางมาหาข้าอย่าอ้อมค้อม…”
ซือหยูตอบอย่างไร้เยื่อใย
ศิษย์น้องเหือเลิกคิ้ว
“หยาบคายนักที่พูดเช่นนั้นเจ้าเป็นแค่ศิษย์นอก! ศิษย์น้องปิงปิดประตูฝึกตนตลอดปี คนนอกไม่มีทางจะได้พบนางด้วยซ้ำ แต่เราก็มาเชิญเจ้า! ถ้าเจ้าไม่ถูกบันทึกว่าเอาชนะเจี๋ยนอู๋เชิง เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติพอจะได้เจอนางหรอก!”
เมื่อได้ฟังซือหยูเริ่มหมดความอดทน
“ถ้าเจ้าอยากให้ความนับถือนักก็จงเก็บไว้ใช้กันเองข้าไม่คิดว่าจะไปประลองกับคนที่เจ้าภูมิใจนั่น ถ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็กลับไปซะ ข้ามีเรื่องต้องคุยกับสองคนนี้อีก…”
ศิษย์น้องเหือโมโหจนหัวเราะลั่นและนางก็ถูกศิษย์พี่ลู่ที่นั่งข้างๆนางแอบหยุดในตอนที่นางจะโต้เถียงกับซือหยูต่อไป
เขายิ้มและพูด
“อย่าโกรธไปเลยศิษย์น้องซือศิษย์น้องข้าเป็นคนตรงไปตรงมา อย่าได้ถือนางเลย ข้าหวังว่าจะได้คุยกับเจ้า ถ้าเจ้ามีเรื่องสำคัญในตอนนี้ก็จัดการเสียก่อน ข้ารอได้”
ซือหยูมองเขาและพยักหน้าจากนั้นจึงหันไปหาเล่าอ๋ายและผู้หญิงอีกคน
“ว่ามา!เจ้าสองคนมาหาข้าทำไม?”
ทั้งสองเป็นคนจากสำนักขวาซือหยูจึงคิดว่าทั้งสองน่าจะมาเชิญเขาเข้าฝ่ายขวา ในตอนนั้น หลังจากที่เอาชนะเจี๋ยนอู๋เชิง ซือหยูออกจากตำหนักทันที เขาเข้าไปรับภารกิจเพื่อเลี่ยงปัญหา แต่สุดท้ายเขาก็ต้องเจอกับคนเหล่านี้! มันบ้ามากทีเดียว
สตรีผู้ยั่วยวนหัวเราะเบาๆ
“ข้ายังต้องพูดอีกหรือ?เจ้าสำนักขวาคือคนที่ชื่นชมผู้มีพรสวรรค์ เรามาเพื่อจะเชิญเจ้า แต่เราจะไม่เจ้ากี้เจ้าการอย่างแม่นางปี่ที่อารมณ์ร้อนใส่เจ้าเช่นนั้น”
เล่าอ๋ายครุ่นคิด…ครั้งนี้มันจะต่างไปรึ?ถ้าซือหยูเซี่ยนอยากจะเข้าสักฝ่าย เขาก็คงได้เข้าตำหนักในไปแล้ว จะพูดอะไรกับเขาตอนนี้ก็ไร้ความหมาย โดยเฉพาะเมื่อเป็นการเชิญเข้าฝ่ายขวา
“ข้าจะลองคิดดูก็ได้…”
ซือหยูพูดอย่างในเย็นจนทุกคนประหลาดใจ
เล่าอ๋ายตกใจเขาไม่อยากจะเชื่อหู ศิษย์พี่ลู่กับศิษย์น้องเหือก็สับสนเล็กน้อย…ซือหยุเซี่ยนเป็นศัตรูกับสำนักขวา ทำไมเขาถึงเลือกเข้าฝั่งนี้กัน?
แม้แต่เจ้าตำหนักก็ลืมตาขึ้นเล็กน้อยและมองซือหยูอย่างแปลกใจ
สตรีผู้ยั่วยวนดีใจ
“ฮ่าๆๆๆข้ารู้อยู่แล้วว่าศิษย์น้องซือเป็นคนมีเหตุผล…”
“ช้าก่อน!ก่อนจะเข้าสำนักขวา ข้ามีคำขอ…”
ซือหยูกล่าว
คำขอรึ?นางเริ่มรู้สึกไม่พอใจ ทุกคนที่ได้รับเชิญเข้าสำนักซ้ายหรือขวานั้นมักจะดีใจมาก ไม่มีใครคิดจะขอสิ่งใดต่อ!
แต่ถึงอย่างนั้นซือหยูนั้นเป็นข้อยกเว้น นางคิดและยอมแพ้
“เจ้าบอกสิ่งที่ต้องการได้เลยข้าจะบอกให้เจ้าสำนักขวาตัดสินใจ”