ตอนที่ 910 - ทำเล่าอ๋ายให้พิการ

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.
  “คำขอข้าเรียบง่ายนักหากเชิญข้าเข้าฝ่ายขวา อย่างแรก็จัดการเรื่องที่เกี่ยวกับเล่าอ๋ายและคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉาเสียก่อน หากคนเหล่านี้ถูกขับออกจากสำนักขวาไปแล้ว ข้าจะเข้าร่วมด้วย…”
  ซือหยูพูด
  สตรีผู้ยั่วยวนใบหน้านิ่งงันนางโกรธแค้นและคิดว่าซือหยูกำลังยั่วให้นางโกรธ!
  ปั้ง!
  เล่าอ๋ายกำหมัดทุบโต๊ะลุกขึ้นตะโกน
  “ซือหยูเซี่ยนเจ้าระวังตัวให้ดีเถอะ! เจ้าอาจจะเอาชนะเจี๋ยนอู๋เชิงได้ แต่เจ้าต้องรอจนเป็นจ้าวเทวะก่อนจะมาสู้กับข้า!”
  ไม่ว่าซือหยูจะยอดเยี่ยมเพียงใดเขาก็เป็นเพียงภูติ มีภูติมากมายที่มิอาจก้าวเป็นจ้าวเทวะได้แม้จะใช้เวลาทั้งชีวิต
  ซือหยูมองเขาอย่างเย็นชาด้วยหางตา
  “ใยต้องรอข้าด้วยเล่า?จัดการเจ้าตอนนี้เป็นเรื่องง่ายดายนัก”
  ถ้าซือหยูโอหังมาก่อนตอนนี้ก็ต้องเรียกว่าใจมารถึงที่สุด! แม้แต่เจ้าตำหนักก็มองประเมินซือหยู…เจ้าเด็กนี่มีความมั่นใจมากนัก!
  เล่าอ๋ายโกรธจนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง!ปัญหาระหว่างเขากับซือหยูได้ถึงหูของเจ้าสำนักขวาแล้ว และเขาก็ได้ยินว่าซือหยูเอาชนะร่างเงาของเจี๋ยนอู๋เชิงได้ เจ้าสำนักขวาจึงต้องการตัวซือหยูอย่างมาก
  ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงคาดเดาได้เขาถูกลงโทษให้ออกจากสำนักในครึ่งปีให้หลังและป้องกันชายแดนของสำนัก นั่นหมายความว่าเขาจะถูกลบตัวตนออกไปจากสำนักและจะแก่ตายในชายแดนสำนักเมื่อเวลามาถึง
  การลงโทษนี้คือการทำให้ตำแหน่งของเขาว่างเพื่อซือหยูหรือพูดอีกอย่างก็คือ ในสายตาของเจ้าสำนักขวา ซือหยูนั้นมีความสำคัญมากกว่าเขา!
  มันควรจะพอเท่านี้แต่จากนั้นเจ้าสำนักขวาก็สั่งให้เขามาหาซือหยูและขอโทษเขา! เขาต้องทำให้ซือหยูให้อภัยและถูกเชิญเข้าฝ่ายขวาให้ได้! มิเช่นนั้นเขาจะถูกลงโทษอย่างร้ายแรงยิ่งกว่า
  นั่นทำให้ความแค้นต่อซือหยูของเขาอัดแน่นอยู่เต็มอกถ้าหากซือหยูทำให้เรื่องมันร้อนระอุขึ้นมาแบบนี้เขาก็ยินดีที่จะต่อสู้จนตัวตายไปพร้อมกับซือหยู! เล่าอ๋ายไม่อาจทนได้อีกต่อไปแล้ว!
  “ซือหยูเซี่ยน!เจ้าอยากจะจัดการสะสางเรื่องของเจ้ากับข้าแบบนี้ใช่หรือไม่?”
  เล่าอ๋ายหัวเราะด้วยความโกรธแค้น
  “ข้าจะให้โอกาสเจ้าตอนนี้ถ้าเจ้ากล้าพอ!”
  ซือหยูยืนขึ้นช้าๆโดยไม่เกรงกลัวพลังของเล่าอ๋ายแม้แต่น้อยเขาพูดอย่างใจเย็น
  “ว่ามา”
  เล่าอ๋ายหัวเราะเจ้าเล่ห์
  “ย่อมได้!มาสู้กับข้า!”
  เมื่อได้ฟังคำพูดของทั้งสองเจ้าตำหนักก็พูดแทรกขึ้นมา
  “เหลวไหล!ตำหนักห้ามศิษย์ในศิษย์นอกต่อสู้กัน! มิเช่นนั้นจะต้องโทษหนัก!”
  เล่าอ๋ายหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
  “ต้องโทษหนักงั้นเรอะ?มีโทษอะไรหนักหนากว่าเนรเทศข้าไปป้องกันชายแดนตำหนักเล่า? ชีวิตข้าจบสิ้นแล้ว! ข้ากลับไปบ่มเพาะต่อที่ตำหนักไม่ได้ แล้วข้าก็ไม่ได้การบ่มเพาะจากเจ้าสำนักขวา ถ้าชีวิตข้าเหลืออยู่แค่นี้ ข้าจะอยู่ไปทำไม?”
  เล่าอ๋ายตัดสินใจจะระเบิดความแค้นทั้งหมดก่อนออกจากตำหนักเจ้าตำหนักพูดอย่างไม่แยแส
  “เมื่อใดที่เจ้าลงมือเมื่อนั้นข้าจะลงโทษเจ้า”
  เล่าอ๋ายหัวเราะ
  “ข้าไม่ได้พูดว่าจะต่อสู้โดยขัดกับกฎของตำหนัก”
  ฟึ่บ!
  เล่าอ๋ายพลิกฝ่ามือแสดงตรามัจฉามังกรมันคือตรามัจฉามังกร!
  “นี่คือตรามัจฉามังกรที่ข้าได้หลังจากไปถึงขั้นที่เจ็ดสิบข้ามีสิทธิ์ที่จะท้าประลองใครก็ได้รวมถึงศิษย์นอก!”
  เล่าอ๋ายแสยะยิ้มเมื่อพูด
  มัจฉาข้ามประมูลมังกรเป็นสถานที่บ่มเพาะที่ยอดเยี่ยมและสิทธิ์ที่ได้รับนั้นก็มักจะเหนือกว่ากฎของตำหนัก
  เจ้าตำหนักใจหายเขาถาม
  “เจ้าคิดจะทำแบบนี้จริงๆน่ะรึ?”
  เล่าอ๋ายตั้งใจจะต่อต้านเขาเจ้าตำหนักทั้งซ้ายขวา และทุกคนที่สนใจซือหยู! เพราะซือหยูเป็นที่ต้องการกับทุกคนในตำหนัก ถ้าเล่าอ๋ายทำร้ายซือหยูในการประลองก็จะไม่มีใครปล่อยเขาไปง่ายๆแน่
  “ฮื่มมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าไม่มีอะไรให้เสียอีก พวกเจ้านั่นแหละที่บังคับข้าให้ทำ!”
  เล่าอ๋ายเหมือนกับผู้ที่โดนอสูรเข้าสิงเข้ามองซือหยูอย่างเยือกเย็น
  “ซือหยูเซี่ยนข้าจะถามเจ้าคำถามเดียว…เจ้ากล้าพอที่จะสู้กับข้าหรือไม่?”
  เจ้าตำหนักส่งสัญญาณให้ซือหยูไม่ขาดโดยขอให้เขาใจเย็นลงแต่ซือหยูดูจะไม่สนใจเลย
  “บอกสถานที่มา!”
  เล่าอ๋ายยิ้มออกมาในทันทีที่ซือหยูยอมรับคำท้า
  “ที่ลานตำหนักนอก!บอกมาว่าเมื่อไหร่!”
  “ตอนนี้!”
  ซือหยูตอบทันควันเมื่อพูดจบ เขาก็ยืนขึ้นออกจากตำหนักไปทางลานตำหนักนอก
  เล่าอ๋ายเดินตามไปพร้อมกับยิ้มเยาะศิษย์พี่ลู่กับศิษย์น้องเหือก็ตามไปด้วย
  “ฮื่ม!ไม่คิดเลยว่าซือหยูเซี่ยนจะอวดดีเช่นนี้! อยากจะเห็นนักว่าเล่าอ๋ายจะบดขยี้มันถึงขั้นไหน!”
  ศิษย์น้องเหือกล่าว
  ศิษย์พี่ลู่ขมวดคิ้ว
  “ทำให้ซือหยูอัปยศนั้นรับได้แต่ข้าเกรงว่าเล่าอ๋ายจะใช้การประลองนี้ทำร้ายซือหยูเซี่ยนจนบาดเจ็บหนัก จนถึงขั้นทำลายฐานพลังของเขาลง!”
  ศิษย์น้องเหือตกใจเมื่อได้ฟังความเป็นไปได้แต่นางก็กลับมาไม่สนใจอย่างรวดเร็ว
  “สมควรแล้ว!บางทีคงจะดีกว่าถ้าเขาไร้พลังเพราะเล่าอ๋าย ศิษย์น้องปิงจะได้บ่มเพาะพลังโดยไม่ต้องเสียเวลา”
  เจ้าตำหนักถอนหายใจเงียบๆและตามกลุ่มศิษย์ไปเวลาสำคัญเช่นนี้ เขาอาจจะให้ซือหยูยืมมือได้หากจะถูกเล่าอ๋ายรังแก
  กลุ่มคนเดินไปยังลานกว้างทุกคนจากตำหนักนอกให้ความสนใจ หลายคนสังเกตได้ว่าเรื่องสำคัญกำลังจะเกิดขึ้นและเดินตามไป ดังนั้นเมื่อมาถึงลานกว้าง คนหลายพันคนก็มารวมตัวกันแล้ว ทุกคนกำลังพูดคุยกัน…
  “เกิดอะไรขึ้น?”
  “ข้าก็ไม่รู้แต่รอดูก่อนเถอะ”
  เมื่อเล่าอ๋ายกับซือหยูเดินมาที่กลางลานผู้คนที่เดินตามมาก็ทิ้งที่ว่างให้ทั้งคู่ พวกเขารู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
  “สองคนนี้กำลังจะสู้กันจริงๆรึ?”
  “ศิษย์จากตำหนักในสู้กับศิษย์ตำหนักนอก…ภูติระดับห้ากับจ้าวเทวะ!นี่มัน…”
  ผู้คนสับสนเพราะการประลองที่ผิดพลาดนี้ไม่ใช่สิ่งที่สมเหตุสมผลสำหรับพวกเขาเลย
  เล่าอ๋ายยืนกอดอกและแสยะยิ้ม
  “ข้าสงสัยจริงๆที่เจ้ากล้ายอมรับ?เจ้าจะต้องอยากตายมากถึงพูดแบบนั้นออกมา!”
  เขามิได้ปิดบังความมุ่งร้ายเลยต่อให้เขาฆ่าซือหยูไม่ได้ เขาก็ตั้งมั่นว่าจะต้องทำให้ซือหยูสูญเสียพลัง
  ซือหยูห่างจากเขาห้าพันศอกด้วยความเบาใจเขาพูด
  “เดี๋ยวเจ้าจะได้รู้ว่าใครกันที่อยากตาย”
  คำพูดของเขาทำให้คนดูสาปแช่งในใจมันอวดดีเกินไปจริงๆ
  “มันจบแล้วซือหยูเซี่ยน!”
  พริบตาเดียวเล่าอ๋ายพุ่งเข้าใส่ซือหยูด้วยความเร็วของจ้าวเทวะระดับหนึ่ง ดัชนีของเขาได้กลายเป็นกรงเล็บซัดใส่ท้องของซือหยู เขาตั้งใจจะให้ซือหยูพิการ!
  แต่กระบวนท่าอันมั่นใจของเล่าอ๋ายได้ซัดใส่ความว่างเปล่า!
  “หืม?”
  เสียงเย็นชาดังมาจากด้านบนเล่าอ๋ายสั่นไปทั้งตัว
  เมื่อเงยหน้ามองก็พบปีกเพลิงสะบัดที่แผ่นหลังซือหยูปีกนี้ร้อนจนสามารถเผาเขาเป็นเถ้าถ่านได้!
  เจ้าตำหนักชักสีหน้าเขาตะโกน
  “ศิษย์ตำหนักนอกทุกคนถอยออกมา!”
  ถ้าหากเพลิงนี้กระจายสุ่มออกไปมันจะสังหารภูติหน้าไหนก็ได้! เล่าอ๋ายใจหายเมื่อเห็นปีกเพลิงนี้ ความหวาดกลัวที่พูดไม่ได้เอ่อล้นในหัวใจ เพลิงนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!
  ความโกรธในใจของเขาราวกับถูกน้ำเย็ดสาดใส่ทั้งถังเขาตัวสั่นขณะพยายามอย่างมากที่จะเรียกความใจเย็นกลับมา
  “ประลองจบแล้วข้ายอมแ…”
  เล่าอ๋ายถอยกลับไปปะปนกับผู้คน
  เขาตกใจและหวาดกลัวมาก…ซือหยูสำเร็จวิชาที่น่ากลัวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
  ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินซือหยูต่ำไปและต้องการสืบเรื่องซือหยูให้ถี่ถ้วนก่อนจะจัดการทีหลังเพราะเล่าอ๋ายนั้นเป็นผู้ที่จะลงมือหลังจากวางแผนมาอย่างดีแล้ว เขาเป็นคนที่เจ้าเล่ห์อย่างมาก ดังนั้นเมื่อเขาใจเย็นลง เขาก็วางแผนสำหรับอนาคตแล้ว
  แต่ถึงกระนั้นก่อนที่เขาจะพูดจบ คลื่นเพลิงก็ได้รุดหน้าเข้ามา ความเจ็บปวดแล่นแปลบมาที่ช่องท้องก่อนที่เขาจะรู้ตจัว พลังมหาศาลซัดเล่าอ๋ายกลับไปจนเขากระเด็นมาถึงกลางลาน
  “อ๊ะ!พลังข้า!”.ไอลีนโนเวล.
  เล่าอ๋ายจับท้องของตัวเองโลหิตไหลออกมาราวกับน้ำหลาก
  จุดกำเนิดพลังของเขาถูกทะลวงทะลุอย่างไร้ทางแก้เขาพิการและจะกลายเป็นผู้ไร้พลังไปตลอดชีวิต!
  ไม่มีศิษย์นอกคนใดเลยที่เห็นอย่างชัดเจนยกเว้นเจ้าตำหนักที่มองดูอย่างไม่วางตาเขาเห็นว่าซือหยูบินเข้าใส่เล่าอ๋ายด้วยความเร็วของจ้าวเทวะระดับห้า จากนั้นก็ชักกระบี่ทองคำกระซวกไปที่ท้องของเล่าอ๋าย! ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวน เล่าอ๋ายไม่รู้ตัวเลยว่าฐานพลังของเขาถูกทำลายด้วยวิธีอันใด!
  ฟึ่บ!
  ปีกซือหยูเหลือเพียงเงาเพลิงที่แผ่นหลังมอดดับ เขาถามอย่างไม่แยแส
  “เจ้าพูดอะไรนะ…ยอมแพ้รึ?โอ้ ทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านั้นเล่า? ข้าวางมือไม่ทัน! ขออภัย”
  เมื่อพูดจบซือหยูหันกลับเดินฝ่าผู้คนออกไป เมื่อผ่านศิษย์พี่ลู่กับศิษย์น้องเหือ เขาเหลือบมองและพูด
  “เจ้าของคนหาที่หารือกับข้าซะ”
  ศิษย์น้องเหือตัวแข็งทื่อจนขยับไม่ได้ร่างละเอียดอ่อนของนางสั่นระริก นางไม่กล้าจะมองตาซือหยูกลับ
  พลังของนางเทียบเท่ากับเล่าอ๋ายแต่เล่าอ๋ายนั้นไม่มีโอกาสได้รับมือกับซือหยูเลยก่อนที่จะพิการไป! เมื่อนางคิดถึงวิธีที่นางพูดกับซือหยูก็หนาวสั่นไปทั้งตัว
  ศิษย์พี่ลู่นั้นสีหน้าแปลกไปเขาฝืนยิ้ม
  “ซือ…ศิษย์น้องซือพวกข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงานกับศิษย์น้องปิง พวกข้าต้องกลับก่อน”
  จากนั้นเขาก็ดึงตัวศิษย์น้องเหือกลับไปอย่างเร่งรีบเพราะพวกเขาเพิ่งจะเห็นภูติระดับห้าจากศิษย์นอกทำร้ายจ้าวเทวะระดับหนึ่งจนพิการในกระบวนท่าเดียว ข่าวสะเทือนตำหนักนี้จะต้องรายงานให้เร็วที่สุด!
  เจ้าตำหนักตาเป็นประกายซือหยูทำให้เขาตกใจหลายครั้งหลายครา! ตั้งแต่ที่เป็นภูติระดับสาม เขาเอาชนะเฉาฉิงเฟิงที่เป็นภูติระดับแปด ในเวลาที่เป็นภูติระดับห้า เขาทำให้จ้าวเทวะอย่างเล่าอ๋ายพิการ ความเร็วและพลังของเขานั้นน่าพิศวงเป็นอย่างยิ่ง!
  “วิชาของเล่าอ๋ายโหดร้ายรุนแรงทีแรกเขาคิดอยากจะทำให้ซือหยูเซี่ยนพิการ แต่ซือหยูเซี่ยนป้องกันตัวได้ เขาสมควรได้รับกรรมแล้ว! ซือหยูเซี่ยนบริสุทธิ์…”
  เจ้าตำหนักประกาศ
  ป้องกันตัวหรือ?ทุกคนตัวสั่นเมื่อได้ยินคำประกาศ เล่าอ๋ายยอมแพ้ไปแล้ว จากนั้นซือหยูก็ไล่ตามมาทำลายฐานพลัง ผู้คนต่างคิดในใจ…นี่นับว่าเป็นการป้องกันตัวได้อย่างไร?
  แต่ก็ไม่มีใครกล้าจะมีปากเสียงกับเจ้าตำหนักเพราะเล่าอ๋ายเองก็เป็นคนใจแคบ เจ้าเล่ห์ และป่าเถื่อน หากไร้ซึ่งพลัง คนส่วนมากก็ย่อมปลอดภัย! ดังนั้นจึงไม่มีใครที่จะเสี่ยงนะคอขึ้นแท่นประหารเพื่อพูดแทนเล่าอ๋าย
  “ซือหยูเซี่ยนก้าวข้ามสี่อสูรไปแล้วไม่ใช่รึ?”
  หนึ่งในศิษย์คนหนึ่งพูดด้วยความอิจฉา
  “เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตำหนักนอก!”
  การต่อสู้ในวันนี้สั่นคลอนทั้งตำหนักโลหิตทั้งนอกในพลังอันน่ากลัวของซือหยูสามารถทำลายพลังของจ้าวเทวะระดับหนึ่งได้ในกระบวนท่าเดียว เขาได้รับฉายาว่าเป็น ‘หมายเลขหนึ่งแห่งตำหนักนอก’
  เมื่อได้รับฉายาซือหยูแอบออกจากตำหนักตรงไปยังป่าขังภูติ เมื่อถึงทางเข้าหุบเขาร้อยอสูร เขาก็เหลือบมองรอบๆ
  เขาเรียก
  “ข้ามาแล้วใยท่านไม่แสดงตัวออกมาเล่า?”
  “ฮ่าๆๆข้าคิดว่าเจ้าลืมข้าไปแล้ว”
  เสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากหุบเขาชายวัยกลางคนสวมหน้ากากสีเงินเดินออกมา เขามีป้ายสีครามอยู่และทำหน้าที่ดูแลสมาชิกสีม่วงใกล้ๆ
  “ข้าต้องไปทำภารกิจข้าเพิ่งจะได้ข้อความของท่านหลังจากกลับมาเมื่อไม่นานนี้”
  ซือหยูประสานหมัดทักทาย
  ชายหน้ากากเงินถาม
  “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?เจ้าทำใจว่าจะซื้อสายใยมังกรแล้วใช่หรือไม่?”
  ซือหยูพยักหน้า
  “ราคาตลาดล่ะ?”
  ชายหน้ากากเงินแปลกใจเขาคิด…เจ้าเด็กนี่มีเงินพอที่จะซื้อจริงๆรึ?
  “ราคาไม่แน่นอนนักหรอกสายใยมังกรไม่ได้หาได้ง่ายๆในท้องตลาด ไม่มีใครคิดจะขายมัน ข้าจะออกภารกิจไป ใครที่คิดขายจะติดต่อข้ามาแน่นอน จากนั้นค่อยว่ากันเรื่องราคา…”
  ชายหน้ากากเงินอธิบาย
  ซือหยูพยักหน้าและหยิบเอาแหวนมิติออกมาให้เขา
  “นี่แก้วสิบล้านดวงช่วยข้าออกภารกิจ ราคาสูงสุดคือสองล้านต่อหนึ่งสายใย มากกว่านี้ข้าไม่ซื้อ”
  “สิบ…ล้านเรอะ?”
  ชายหน้ากากเงินเบิกตากว้างเขาคว้าแหวนไปดู
  เขาตกใจยิ่งกว่าเดิมจนพูดไม่ออกเมื่อดูด้านในแหวนในเดือนเดียว เด็กคนนี้หาแก้วได้มหาศาล! มันยอดเยี่ยมเหลือเกิน!
  “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะขโมยไปหรือ?”
  เขาตาลุกวาว
  ซือหยูพูดตอบทันที
  “ท่านไม่ทำแน่!เพราะท่านจะถูกผาบั่นภูติตามล่า แล้วก็จะเสียคนที่ทำงานให้ไปมากมาย มันไม่คุ้มกันหรอกนะ!”
  ผาบั่นภูติมีกฎอันเคร่งครัดในการบริหารสมาชิกถ้าหากมีเรื่องการขโมยแก้วเกิดขึ้น ผาบั่นภูติก็คงเสียชื่อเสียงไปแล้ว
  ชายหน้ากากเงินหัวเราะ
  “มันไม่ใช่ความคิดที่ดีจริงๆนั่นแหละข้าจะรับแก้วเอาไว้ ข้าจะออกภารกิจทันที ในอีกสามเดือนอาจจะมีข่าวมาบ้าง ส่วนจะรับซื้อได้เท่าใด ข้าไม่รับประกัน”
  “ขอบคุณที่ลำบาก”
  ซือหยูประสานมืออีกครั้ง
  “นี่มันงานข้า…”
  เขากล่าว
  “ไว้พบกันใหม่เจ้าเด็กน่าสนใจ”
  หลังพูดจบเขาก็เดินทางกลับไปหลังจากซือหยูยืนมองเขา ซือหยูก็เตรียมทีจะกลับตำหนัก แต่เมื่อก้าวออกไปข้างหน้า เขาก็ต้องมองย้อนกลับไป
  เพียงได้มองซือหยูก็เบิกตากว้าง!แสงตะวันสีทองสะท้อนในดวงตา มีร่างหนึ่งปรากฏออกมา! และบนศีรษะยังมีมงกุฎสุริยันจันทราอยู่ด้วย!
  ซือหยูตกตะลึง
  “องครักษ์…แสง…กระจ่าง!”
  ก่อนเขาจะหัดไปไม่มีใครอยู่บนก้อนศิลานั้น แต่หลังจากหันไปหนึ่งรอบก็มีองครักษ์แสงกระจ่างคนหนึ่งอยู่! มันมาอย่างไม่มีคำเตือน! นี่คือศัตรูที่ตามล่าเอาชีวิตซือหยู องครักษ์แสงกระจ่าง!
  “ไอ้หนูเจ้าซ่อนอยู่ในตำหนักโลหิตนี่เอง! ตามหาเจ้านี่ช่างยากเย็นนัก!”
  องครักษ์แสงกระจ่างพูดเสียงนั้นดังมาจากหมู่ใบไม้จนใบไม้ร่วงกราว จากนั้นพลังน่ากลัวก็ได้ปะทุออกมาจากดวงตาของเขา
  ซือหยูใจเต้นแรง…องครักษ์แสงกระจ่างหาข้าเจอได้ยังไง?แล้วมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย!
  หรือว่าจะเป็นชายหน้ากากเงิน?ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่องครักษ์แสงกระจ่างปรากฏตัวทันทีที่เขาออกไป!
  แต่ซือหยูไม่มีเวลาให้คิดองครักษ์แสงกระจ่างต้องการจะฆ่าเขาตั้งแต่ที่ซือหยูมาถึงจิวโจว! ถ้าองครักษ์แสงกระจ่างยังไม่ตาย ภัยคุกคามถึงตายก็ยังอยู่กับซือหยูไม่ไปไหน!