บทที่ 111**: แลกเปลี่ยน**
ภรรยาจ้าวสำนักไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น เด็กคนนี้ไม่เคยกล่าวออกมาว่าจะมอบมันให้กับท่าน เขาเพียงแต่บอกว่าเขาไม่มีอุปกรณ์วิเศษดี ๆ และต้องพึ่งพาระฆังใบนี้”
“ฮ่า เป็นอย่างนั้นหรือ!” นักบวชฮัวอวิ๋นหัวเราะออกมาดังสนั่น “นั่นหมายความว่าเขาจะมอบระฆังให้กับข้าถ้าหากเขามีอุปกรณ์วิเศษระดับสูงใช้สินะ! ไม่เพียงแค่อุปกรณ์วิเศษดี ๆ เท่านั้น ข้ายังสามารถมอบสมบัติชิ้นหนึ่งของข้าให้เขาอีกด้วย!”
หลังจากกล่าวจบ นักบวชฮัวอวิ๋นโยนดาบบินระดับเจ็ดออกมาให้เจ้าอ้วนอย่างไม่แยแส ราวกับว่าเขากำลังโยนเศษเงินให้กับขอทานอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นการกระทำเช่นนั้น จ้าวสำนักถึงกับทนไม่ไหว คำรามออกมาดังลั่น “เขากล่าวเมื่อไหร่กันว่าจะทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้า? เจ้ากำลังบังคับให้เขาทำการแลกเปลี่ยนอยู่ เจ้าคนไร้ยางอาย!”
“อ้อ สงสัยว่าจะเป็นเช่นนั้น!” นักบวชฮัวอวิ๋นยิ้มออกมาพร้อมหันมากล่าวกับเจ้าอ้วน “อ้วนน้อย เจ้าทำให้ข้าสติแตกมากรู้หรือไม่! ศิษย์พี่ของเจ้าจะต้องพักฟื้นถึงสิบปีและหินจิตวิญญาณมากกว่าหนึ่งล้านก้อนต้องจ่ายเป็นค่ารักษา! เรื่องนี้ทำให้ข้าไม่พอใจอย่างมาก! แต่เจ้ายังคงเป็นลูกศิษย์ในสำนักและคงไม่ดีหากข้าจะคิดแค้นเจ้า ถ้าหากในวันนี้เจ้าสามารถทำให้ข้ารู้สึกพอใจได้ ข้าสัญญาว่าเรื่องราวระหว่างเราที่ผ่านมาทั้งหมดจะนับว่าไม่เคยเกิดขึ้น แต่ถ้าหากเจ้ายังดื้อด้านกับข้า… เหอะ ๆ ต่อให้ข้าจะต้องโดนหยามว่ารังแกเด็กก็ย่อมได้!”
“เจ้าคิดว่าเจ้ามีบุตรอยู่ผู้เดียวงั้นหรือ?” จ้าวสำนักโกรธจัด “ถ้าหากว่าเจ้าคิดว่าจะสามารถข่มเหงเด็กน้อยผู้นี้ได้ ข้าบอกไว้เลยว่าเจ้าพลาดแล้ว! ตราบใดที่ข้ายังไม่ได้ตายตกไป จะไม่มีผู้ใดรังแกเขาได้! เจ้าสามารถลองได้ถ้าหากไม่เชื่อคำพูดของข้า!”
“ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น สิ่งที่ท่านกล่าวมาช่างจิตใจคับแคบนัก!” ภรรยาจ้าวสำนักกัดฟันกล่าวออกมาอย่างเดือดดาล
“ฮ่า ๆ อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ทว่าสิ่งที่ข้ากล่าวออกไปทั้งหมดคือเรื่องจริงจากหัวใจ ข้าต้องการสร้างมิตรไมตรีที่ดีกับอ้วนน้อยผู้นี้จริง ๆ!” นักบวชฮัวอวิ๋นเผยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวออกมาพร้อมหันหน้าไปหาเจ้าอ้วน “เด็กน้อย ข้าคิดว่าเจ้าคงจะไม่ฉีกหน้าข้าหรอกกระมัง?”
เมื่อเห็นใบหน้าที่คุกคามของผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยิน แล้วเจ้าอ้วนจะกล่าวสิ่งใดได้งั้นหรือ? เขายิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์ไม่กล้าทำเช่นนั้น ถ้าหากว่าท่านชอบระฆังใบนั้น ข้าจะมอบมันให้กับท่านและไม่หวังสิ่งใดตอบแทน!”
เมื่อกล่าวจบ เจ้าอ้วนส่งดาบบินกลับคืนให้เขาอย่างสุภาพ
“ฮ่า ๆ ช่างเป็นเด็กดีอะไรเช่นนี้!” นักบวชฮัวอวิ๋นหัวเราะลั่นพร้อมกล่าวว่า “แต่การค้าย่อมเป็นการค้า ข้าได้มอบมันให้กับเจ้าแล้ว ดาบบินนี้เป็นของเจ้า จงเก็บมันซะ!”
“น่ารังเกียจ!” จ้าวสำนักตะโกนลั่น “ฮัวอวิ๋น เจ้าได้ละทิ้งใบหน้าและศักดิ์ศรีของเจ้าอย่างสมบูรณ์แล้ว!”
“นี่ท่านจ้าวสำนัก ท่านกำลังพ่นวาจาไร้สาระอันใดอยู่? ข้าเพียงแค่ทำข้อตกลงกับเด็กน้อยผู้นี้เท่านั้น! และข้าไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์อันใดจากเขาเลย!” นักบวชฮัวอวิ๋นโกรธจัด “อย่าบอกนะว่าข้าทำผิดกฎ?!”
“แม้ว่ามันจะไม่ผิดกฎ แต่ว่าเจ้ารู้ดีว่าสิ่งนี้มันถูกต้องหรือไม่!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวเสริมขึ้นมาหลังจากสามีของนางระเบิดอารมณ์จนถึงขีดสุดแล้ว นางกล่าวต่อ “สิ่งนี้อาจจะเป็นอุปกรณ์วิญญาณที่ซ่อนตัว อย่างไรก็ตาม ท่านพยายามแลกเปลี่ยนกับเขาด้วยดาบบินระดับเจ็ดเท่านั้น ท่านคิดว่ามันเหมาะสมแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“มันอาจจะเหมาะสมแล้วก็ได้!” นักบวชฮัวอวิ๋นรีบปกป้องตนเองอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์น้อง อย่าลืมว่านี่เป็นระฆังที่ผุพัง ข้าใช้อุปกรณ์วิเศษระดับเจ็ดซึ่งมูลค่าเทียบเท่ากับหินจิตวิญญาณหนึ่งแสนก้อนเพื่อแลกเปลี่ยน แล้วข้าเอาเปรียบเขาตรงไหนงั้นหรือ?”
“ระฆังที่ผุพัง? ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าจะมีหน้ามาพูดเช่นนี้อีก!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ระฆังที่ใกล้จะพังใบนี้ที่ท่านกำลังกล่าวถึง มันสามารถป้องกันการโจมตีของดาบเทวะเงาครามได้! ถ้าหากคิดว่ามันเป็นของที่เสียหาย แล้วอุปกรณ์วิเศษของท่านจะถูกประเมินว่าอย่างไรกัน? ขยะในขยะอย่างนั้นหรือไง?”
“เรื่องนั้น….” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาตะลึงไปชั่วขณะ ความจริงแล้วในโลกแห่งผู้ฝึกตน ค่าของสมบัติไม่ได้อยู่ที่วัสดุ แต่อยู่ที่ความสามารถของมัน แม้ว่าระฆังใบนี้จะเป็นเพียงระฆังที่ดูใกล้พัง แต่มันกลับป้องกันการโจมตีของอาวุธวิเศษได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มันควรจะอยู่ในระดับเดียวกับอาวุธวิเศษ ดังนั้นการที่นักบวชฮัวอวิ๋นได้นำอุปกรณ์วิเศษระดับเจ็ดมาแลกเปลี่ยนเช่นนี้ นับว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากผู้อื่นอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้ยางอายอย่างมากในโลกของผู้ฝึกตน
“ศิษย์พี่! ศักดิ์ศรีนั้นสำคัญต่อมนุษย์ดั่งเช่นเปลือกของต้นไม้!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเกรี้ยวกราด และเริ่มที่จะเหยียดหยามเขา!
นักบวชฮัวอวิ๋นรู้ตัวเองแล้วว่าตอนนี้เขาเดินหมากผิดไปสักหน่อย ดังนั้น เขารีบหาคำพูดเพื่อคลี่คลายสถานการณ์อย่างรวดเร็ว “ก็ได้ ตกลง! เห็นแก่ใบหน้าของศิษย์น้อง ข้าจะเพิ่มอุปกรณ์วิเศษระดับแปดให้อีกหนึ่งชิ้น แค่นี้ก็เพียงพอแล้วใช่หรือไม่?”
“มันไม่พอ!” ภรรยาจ้าวสำนักตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ยังห่างไกลกับคำว่าเพียงพอ! ท่านจะใช้เพียงอุปกรณ์วิเศษเพื่อแลกเปลี่ยนกับอาวุธวิเศษงั้นหรือ!”
“ใช้อุปกรณ์วิเศษเพื่อแลกเปลี่ยนกับระฆังผุพัง? เจ้าคิดว่าข้างี่เง่างั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นตะโกนออกมาอย่างอดกลั้น
“ศิษย์พี่ ท่านควรรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่พวกข้ากล่าวออกไปนั้นหาใช่เรื่องไร้สาระไม่! แต่ท่านกำลังทำตัวไร้ยางอาย! ระฆังใบนี้อาจจะเป็นอุปกรณ์วิญญาณ พื้นฐานของมันอาจจะเป็นอาวุธวิเศษ แต่ท่านตั้งใจที่จะลืมเรื่องนี้!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเหยียดยาม “อย่าบอกข้านะว่าท่านคิดว่าพวกเราโง่เขลาถึงขนาดที่จะมองเรื่องแค่นี้ไม่ออก?”
“จริงอย่างที่เจ้าพูด ถ้าหากเจ้าสิ่งนี่เป็นอุปกรณ์วิญญาณจริงก็ดี แต่พวกเราทั้งหมดรู้ดีว่ามันอาจจะไม่ใช่ก็ได้!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมา “ศิษย์น้อง กล่าวกันตามตรง ข้าคิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเสี่ยง!”
“มันคุ้มค่าที่จะเสี่ยงถ้าหากมันเป็นอุปกรณ์วิญญาณจริง! ถ้าหากเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าการเสี่ยงครั้งนี้คุ้มค่าเสียยิ่งกว่าอะไร!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด
“นี่ยังไม่แน่ชัดอีกหรือ? ศิษย์นับร้อยที่ด้านนอกนั่นได้พิสูจน์เรื่องมหัศจรรย์นี้ทั้งหมดแล้ว!” จ้าวสำนักกล่าวเสริมอย่างเกรี้ยวกราด “เด็กน้อยของพวกเรายังยินยอมมอบอาวุธวิเศษให้ ต่อให้พวกเราไม่ต้องการ และแม้พวกเราสามีภรรยาจะข้นแค้นเพียงใด อย่างน้อยพวกเรายังต้องตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อ!”
“สองชิ้น ท่านจะต้องนำอาวุธวิเศษออกมาสองชิ้น!” ภรรยาจ้าวสำนักเผยยิ้มพร้อมหันไปพูดกับเจ้าอ้วน “เราล้วนเป็นอาวุโสของเขาทั้งสิ้น อย่างน้อยพวกเราก็ต้องทำตัวให้เหมาะสมเพื่อให้พวกเขาให้เกียรติกับเราหรือไม่ใช่?”
“ขอรับ เป็นเช่นนั้น!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารีบตอบกลับอย่างยิ้มแย้ม “แท้จริงแล้ว ศิษย์ผู้นี้เพียงต้องการให้เกียรติ…”
“หุบปาก!” นักบวชฮัวอวิ๋นตื่นตระหนกทันทีเมื่อได้ยินและรีบตะโกนออกมา
“ศิษย์น้อง เจ้าไม่เข้าใจความหมายของลำดับฐานะ! สิ่งของชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ข้าต้องการและหยิบมันได้ก่อน! เพียงแค่อาวุธวิเศษเท่านั้นงั้นหรือ? ข้าจะเอามันออกมา!”
“ตกลง จงหยิบมันออกมา!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“เรื่องนั้น…” ในขณะที่นักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับกล่าวอย่างไร้เยื่อใย “ให้เวลาข้าสักสองสามวันได้หรือไม่? ข้าไม่มีอาวุธวิเศษที่เหมาะสมกับเขาเลยในตอนนี้ ข้าจะนำมันไปมอบให้กับเขาเอง!”
เดิมทีแล้วนักบวชฮัวอวิ๋นนั้นมีอาวุธวิเศษติดตัวอยู่เสมอ แต่เขาไม่สามารถที่จะนำมันออกมาได้ มันเป็นความลับที่มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ อีกอย่างคือมันเป็นอาวุธวิเศษระดับสูงที่เขาไม่สามารถจะหยิบยื่นมันออกไปได้ ดังนั้น เขาจึงต้องการเวลาสักสองถึงสามวันเพื่อไปรื้อในถังขยะว่ามีอาวุธวิเศษชิ้นไหนที่เหมาะกับเจ้าอ้วนบ้าง
จ้าวสำนักและภรรยาของเขาเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างแจ่มแจ้ง ทุกสิ่งอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น ทั้งสองถึงกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเลว่า “ต้องขออภัยต่อศิษย์พี่ การค้าก็คือการค้า การค้านี้คือมาก่อนได้ก่อน ธุรกรรมจำเป็นต้องดำเนินการด้วยสิ่งของสดใหม่แลกเปลี่ยนต่อกัน และจะไม่มีการติดค้างแต่อย่างใด หากศิษย์พี่ไม่ต้องการปล่อยมือจากสิ่งของ เช่นนั้นโอกาสที่ศิษย์พี่จะได้ครอบครองคือการจ่ายสด!”