บทที่ 112**: เหตุการณ์ไม่คาดฝัน**
“เป็นเช่นนั้น!” จ้าวสำนักรีบถากถางซ้ำเติมทันที “การค้าขายใดกันที่ต้องมาเฝ้ารอพวกยาจก!”
“ใครเป็นยาจก!?” นักบวชฮัวอวิ๋นคำรามออกมา “ของที่ข้าถืออยู่นี้มันไม่เหมาะสมและข้าเพียงขอเวลาสักครู่เท่านั้น!”
“ไม่จำเป็น!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวเสริม “ไม่ใช่ว่าท่านไม่มีของที่เหมาะสมหรอก ความจริงแล้วท่านมีสิ่งของที่มีค่ามาก แต่ท่านไม่อาจทนได้ที่จะต้องมอบมันให้กับเขา!”
“เจ้าหมายถึงของสิ่งใดกัน?” นักบวชฮัวอวิ๋นถามกลับอย่างกังวลใจ
“ฮ่าฮ่า ข้ากำลังบอกว่าท่านถี่เหนียวเกินไป!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมา นางหันไปหาจ้าวสำนักและกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านยังจำดาบวิญญาณห้าธาตุได้หรือไม่!”
“เหอะ ๆ!” จ้าวสำนักเปล่งเสียงเยือกเย็นออกมาเบา ๆ “แน่นอน ข้าจำได้! ศิษย์น้องฮัวอวิ๋นได้รับสมบัตินี้จากผู้เชี่ยวชาญโบราณเมื่อสองสามทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะไม่สามารถใช้มันได้ แต่เขาก็ยังคงเก็บมันไว้ในครอบครองมาเป็นเวลานาน!”
“@$!” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “พวกเจ้าต้องการให้ข้านำดาบวิญญาณห้าธาตุมาแลกกับระฆังผุพังเช่นนี้? เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
“ฮ่าฮ่า ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าควรล้มเลิกความคิดทุกอย่างซะ! ปล่อยโอกาสนี้ไปเถิด!” ภรรยาจ้าวสำนักหันกลับมาหาเจ้าอ้วน “เด็กน้อย ข้ามีอาวุธวิญญาณมากมายให้เจ้าได้เลือกตามใจชอบ!”
“เดี๋ยว รอก่อน!” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นเห็นสถานการณ์เช่นนั้น เขาตะโกนออกมาอย่างกังวลใจ หลังจากที่มีอาวุธวิญญาณมากมายมาเสนอให้ตรงหน้าและเขาอาจถูกล่อลวงออกไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่ในขณะนั้น เขาก็ไม่อาจทนได้ที่จะต้องเสียดาบวิญญาณห้าธาตุ ในตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาทำได้เพียงสูดหายใจลึกพร้อมกับกล่าวออกมา “ขอข้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักครู่ ตกลงหรือไม่?”
ในขณะนั้น เจ้าอ้วนหยุดชะงักทันทีพร้อมถามออกมาว่า “นายหญิง ดาบวิญญาณห้าธาตุคืออะไร?”
“ฮ่าฮ่า มันคือดาบบินที่ประกอบด้วยธาตุ อัคคี, วารี, ไม้, พสุธาและทองคำ ดาบถูกปรับแต่งซ้ำไปมาด้วยจิตวิญญาณแห่งธาตุที่บริสุทธิ์ นอกจากนี้มันถูกปรับแต่งยาวนานนับหนึ่งหมื่นปี ส่งผลให้ดาบนี้มีจิตวิญญาณเชื่อมต่อกับผู้ใช้ได้ จากดาบห้าชิ้นถูกนำมาหลอมรวมกันจนเกิดเป็นดาบที่ทรงพลัง แม้ว่ามันจะอ่อนแอกว่าสมบัติวิญญาณ แต่ทว่ามันได้รับการยกย่องให้เป็นอาวุธวิญญาณขั้นที่เก้า!” ภรรยาจ้าวสำนักยิ้มและกล่าวต่อ “อุปกรณ์นี้เป็นสิ่งที่ดีมาก แต่น่าเสียดายที่มันมีมูลค่ามากเกินไปและอาจารย์ลุงฮัวอวิ๋นของเจ้าไม่มีท่าทีว่าจะยอมละทิ้งมัน ทางเดียวที่เจ้าทำได้คือละทิ้งความคิดที่จะได้รับมันเสีย!”
เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ศิษย์ของท่านไม่ต้องการของชิ้นนั้น ข้าเพียงต้องการระฆังของข้าคืนเท่านั้น!”
“โอ้” หลังจากเจ้าอ้วนกล่าวจบ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าเขาเพิ่งเผลอกล่าวบางอย่างผิดไปและรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากตนเองทันที พร้อมกับแสดงท่าทีสงบนิ่งออกมา แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายยใจ ราวกับว่ากำลังเปิดเผยความลับในใจให้ใครบางคนรู้
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ภรรยาจ้าวสำนักตกใจไปชั่วครู่ ดวงตาของนักบวชฮัวอวิ๋นสว่างเป็นประกายออกมาและเขาหัวเราะ “อ้วนน้อย ในตอนนี้อารมณ์ของข้าแปรปรวนยิ่งนัก ยิ่งเจ้าไม่ต้องการสิ่งของที่ข้ามีเท่าไหร่ ข้ายิ่งอยากจะมอบมันให้แก่เจ้า! เอ้า รับไป มันคือดาบวิญญาณห้าธาตุ! และระฆังผุพังนี้เป็นของข้าแล้ว! ฮ่าฮ่า!”
เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาโยนดาบบินออกมาห้าชิ้น จากนั้นเขาหัวเราะลั่นพร้อมกับบินออกไปทันทีโดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม และไม่กล่าวลาจ้าวสำนักและภรรยาแต่อย่างใด
หลังจากที่เขาออกไป และเหลือเพียงพวกเขาสามคนอยู่ในห้องโถงนี้ ภรรยาจ้าวสำนักรีบถามออกมาทันที “เด็กน้อย อย่าบอกนะว่าระฆังใบนั้นเป็นสมบัติจริง?”
“เรื่องนั้น ข้าไม่ทราบ…” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส จากนั้นเขาพุ่งความสนไปใจไปที่ดาบวิญญาณห้าธาตุที่ยาวสองฟุตทันที
เมื่อจ้าวสำนักเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขารู้สึกวุ่นวายใจทันที “เด็กน้อย เจ้าต้องบอกความจริงมา! หากมันเป็นสมบัติวิญญาณซ่อนอยู่ภายในจริง ข้าจะช่วยเพื่อนำมันกลับมาแม้ว่าข้าจะต้องตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับเขา!”
“ใช่แล้ว รีบบอกความจริงมา! เจ้าไม่ต้องกลัว เราจะไม่ยอมให้ใครสามารถข่มเหงเจ้าได้ถ้าหากเรายังไม่ตาย!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสองวุ่นวายใจมากแค่ไหน เจ้าอ้วนรู้สึกตื้นตันใจอย่างมากและรีบตอบกลับพร้อมรอยยิ้มทันที “อย่าได้กังวลเลยขอรับ มันก็เป็นเพียงแค่ระฆังผุพัง จะมีสมบัติวิญญาณซ่อนอยู่ภายในได้อย่างไร!”
“จริงหรือ?” เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขารีบถามต่ออย่างงุนงง “แล้วเหตุใดเจ้าจึงกล่าวออกมาว่าต้องการระฆังคืนมา มากกว่าที่จะอยากได้ดาบวิญญาณห้าธาตุกันล่ะ?”
“ถ้าข้าไม่กล่าวเช่นนั้น อาจารย์ลุงฮัวอวิ๋นจะมอบสมบัติชิ้นนี้ให้ข้าได้อย่างไรกัน!” ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น เขากำลังนั่งลูบคลำดาบวิญญาณห้าธาตุอย่างตื่นเต้นพร้อมตอบกลับมา “สิ่งนี้มันช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน! แม้ว่าข้าจะขายชีวิตของข้าทิ้งไป ก็คงไม่สามารถจ่ายเพื่อครอบครองมันได้! แต่ในตอนนี้มีคนนำมันมาหยิบยื่นให้ข้า! เหอะ ๆ!” เมื่อจ้าวสำนักและภรรยาได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยน พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ทันที ผู้เชี่ยวชาญระดับหยวนหยินทั้งหมดในที่นี้ถูกหลอกให้ติดกับโดยเจ้าอ้วนน้อยผู้นี้ให้แล้ว!
ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างขมขื่น “เด็กน้อย… เรื่องเช่นนี้ เจ้าทำมันได้อย่างไร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารีบปกป้องตนเองทันที “นายหญิง ข้าไม่ได้บังคับให้เขาแลกเปลี่ยนกับข้า ในทางกลับกัน เขาคือคนที่อยากได้ระฆังใบนั้นและมอบอาวุธนี้ให้กับข้าเอง! ถ้าหากมีอาวุโสหยิบยื่นสิ่งของให้กับข้า ข้าคงไม่สามารถจะปฏิเสธมันได้! ไม่เช่นนั้นคงไม่ต่างอะไรกับการหักหน้าของเขา!”
ภรรยาจ้าวสำนักหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกับตะโกนอย่างร่าเริง “เจ้าเป็นคนที่เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก อีกทั้งยังทำตัวไร้เดียงสาเสียด้วย!”
“ฮ่าฮ่า!” จ้าวสำนักหัวเราะออกมาดังลั่นพร้อมกล่าวอย่างชอบใจว่า “ทำได้ดีมาก! ปล่อยให้เจ้าตัวบัดซบนั่นอาเจียนเป็นเลือดเพื่อลงโทษเขาแล้วกัน! ใครสั่งสอนให้เขารังแกศิษย์ผู้น้อยกันล่ะ! เขาสมควรได้รับการกระทำเช่นนี้แล้ว!” ภรรยาจ้าวสำนักส่ายหัวพร้อมกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม “เด็กน้อย เจ้าต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ถูกต้องแล้ว อย่าลงเอยด้วยการแลกเปลี่ยนเพียงดาบวิญญาณห้าธาตุเท่านั้น ไม่เช่นนั้นในกรณีเช่นนี้เจ้าจะเสียเวลาอย่างมาก!”
“ใช่ หลังจากที่ระฆังทำให้เจ็ดคนรอบสนามประลองเลื่อนขั้นได้ เจ้าแน่ใจงั้นหรือว่ามันไม่มีสิ่งใดผิดปกติ? เจ้าแน่ใจงั้นหรือว่ามันเป็นเพียงระฆังธรรมดาเท่านั้น!” จ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างคิดหนัก
“ข้ามั่นใจมาก!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างรอบคอบ ในขณะนั้น เขาคิดกับตนเองในใจ ‘ระฆังใบนั้นข้าสร้างมันขึ้นมาเอง ทำไมข้าจะไม่มั่นใจกันล่ะ!’
แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่ได้เป็นคนโง่เขลา หลังจากที่เก็บตัวฝึกตนเรียบร้อย เขาไม่ได้ออกจากบ้านทันที เขาหยิบระฆังทองแดงที่อยู่ด้านในออกจากเหล็กดำ แน่นอนว่าภายนอกของมันไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในตอนนี้มันกลายเป็นเพียงเปลือกว่างเปล่าที่ไร้สิ่งใดอยู่ด้านใน!
เหตุผลที่เขาทำเช่นนั้นเพราะว่าระฆังใบนี้ดึงดูดสายตามากเกินไป การที่เขาทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ปกป้องสมบัติของเขาเท่านั้น ในสนามประลองที่ผ่านมา ความสามารถของมันยังอนุญาตให้แม่นางฉุ่ยจิ้งก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น แน่นอนว่าความสามารถเช่นนี้จะดึงดูดสายตาของผู้อื่นอย่างชัดเจน ในสถานการณ์เช่นนี้ การให้ระฆังทองแดงซ่อนอยู่ในเหล็กสีดำนั้นอันตรายเกินไป ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงใช้โอกาสนี้นำระฆังออกจากเหล็กดำเพื่อความปลอดภัยของมัน เจ้าอ้วนไม่ได้คาดหวังว่าการที่เขาเสียชุดเหล็กดำครอบระฆังไป จะทำให้เขาได้รับดาบวิญญาณห้าธาตุมาครอบครอง!
ที่จริงแล้วเจ้าอ้วนนั้นอยู่ในฐานะที่ร่ำรวยอย่างมาก ในตอนนี้เขามีความสุขที่ได้รับดาบวิญญาณห้าธาตุ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาตื่นเต้นมากเท่าไหร่นัก ความจริงคือเขาสามารถหลอกลวงนักบวชฮัวอวิ๋นได้ กล่าวตามตรงก็คือเขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้หลอกลวงศัตรูของตนมากกว่า!