ผู้อาวุโสส่วนใหญ่จักนั่งกับเหล่าเด็กหนุ่มในสกุลของพวกเขา  กระนั้น พวกเขาก็มิได้ประสงค์จะแบ่งปั่นเครื่องดื่มกับเหล่าลูกหลาน  ดังนั้น เหล่าผู้อาวุโสจึงเริ่มออกเดินไปยังโต๊ะต่างๆเพื่อรวมตัวกัน  พวกเขาเริ่มลุกจากเก้าอี้และไปนั่งร่วมตัวกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน

และเป็นเช่นนั้นกับเหล่าผู้มีอายุราวจวินโม่เซี่ย ถังหยวน ตู่กู้เซี่ยวอี้  และพี่น้องของนาง วีรบุรุษและตำนานผู้มุ่งต่อไป  ซึ่งนั่งแยกโต๊ะกันไม่ห่างไกลนัก

 

เป็นครั้งแรกที่พวกเขากระทำเช่นนั้น  เด็กหนุ่มผู้ที่นั่งโต๊ะตรงข้ามคือ ลี่โย่วหลาน เขาหันหน้าให้กับ จวินโม่เซี่ย … เช่นเคย

 

นี่ คืออีกหนึ่งความบังเอิญ …

 

ถังหยวนประสงค์จะเอ่ยบางสิ่ง แต่ จวินโม่เซี่ยใช้ เสียงลับ เพื่อสกัดเขาไว้  เขาแอบบอกเจ้าอ้วนว่า นี่มิใช่เวลาจะเอ่ยวาจา  แม้นจักเป็นเรื่องสำคัญ … จะเป็นการดีหากจักถกกันในภายหลัง

 

จวินโม่เซี่ยตระหนักได้ว่าพวกเขาถูกเฝ้าจับตา ด้วยดวงตาสี่คู่ ตั้งแต่เจ้าอ้วนมาถึงท้องพระโรง  เขาเชื่อว่า ทั้งสี่คนนี้จะต้องมา เพื่อสืบสาวทุกการเคลื่อนไหวทุกอย่างที่เจ้าอ้วนถังอาจจะกระทำ  แต่ พวกเขามิอาจตรวจพบ เคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ ของคุณชายน้อยจวิน  เสียงของเขานั้นมิมีผู้ใดได้ยิน และพวกเขาก็มิรู้สิ่งที่เขาเอ่ย

 

พวกเรามิอาจดำเนินการอันใดได้ในเวลานี้  เจ้าอ้วนและข้ามิอาจถกเรื่องราวกันใดได้แม้นหลังจากงานฉลองนี้ได้จบลงไปแล้ว … จนกว่าพวกเราจะกลับถึงบ้าน !

 

จวินโม่เซี่ยปล่อยมุขตลกมากมาย  คิ้วของถังหยวนเลิกขึ้นขณะเขาหัวเราะลั่น  เขาค่อยๆกลับกลายเป็นตัวตนของตัวเองอย่างช้าๆ  แม้นว่าจะมิได้กลับคืนทั้งหมด แต่อารมณ์ของเขาก็เบิกบานขึ้นยิ่งกว่าแต่ก่อน  ตู่กู้เซี่ยวอี้ ผู้ซึ่งใกล้จะน้ำตานอง แต่นางก็เริ่มหัวเราะขึ้นมาบางแล้ว  นางมองจวินโม่เซี่ยอย่างชั่วร้าย และเอ่ยขึ้นด้วยโทสะ

” ข้ามิใส่ใจเจ้าปิศาจบ้ากามนี่ ! “

แต่เห็นได้ชัดว่านางมิได้มีโทสะอีกแล้ว

 

การกระทำของเด็กสาวผู้นี้น่ารักยิ่ง  อารมย์ของนางนั้นอาจเกิดขึ้นง่าย แต่กลับจางหายไปรวดเร็ว  ไม่มีสิ่งใดซับซ้อน  อารมณของจวินโม่เซี่ยเบิกบานเช่นเดียวกับเด็กสาว และเขาเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย  เขาเริ่มยิ้มเนื่องจากรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้นาง

 

” ข้าร้องขอให้แขกที่น่านับถือจาก นครพายุหิมะสีเงิน เข้ามาข้างใน ! “

ดวงตาของทุกผู้มุ่งไปยังประตูทางเข้าขณะที่ ขันทีราชสำนักผู้ที่กระทำตัวดังวิธารร้องประกาศขึ้น  คุณชายน้อยจวิน สัมผัสได้ว่า กล้ามเนื้องบนใบหน้าของท่านปู่เกร็งชั่วครู่ก่อนจักกลับเป็นเล่นเดิม  หัวใจเขาพุ่งพล่านด้วยโทสะต่อผู้คนจาก นครพายุหิมะสีเงิน

 

คนจาก นครพายุหิมะสีเงิน เป็นแขกที่มิได้รับเชิญของ นครเทียนเชียง จวินโม่เซี่ยพ่นลมทงจมูกขณะที่เขาหรี่ตาและมองขึ้นมา

เพียงมองจากความเสียงหายที่พวกเจ้ากระทำกับสกุลของข้า ข้ามิอภัยให้พวกเจ้าอย่างง่ายดายเป็นแน่ !

 

 

เซี่ยวฮั่น และ มูซื้อทง เข้ามาภายใต้สายตาของทุกผู้  ตามมาด้วย ฮั่นหยานเมิง และ เซี่ยวเฟิงวู แขกผู้มีเกียรติแต่งตัวด้วยชุดสีขาว  คล้ายดั่งดอกไม้ที่เบ่งบานออกไปเกินกว่าโลกแห่งสามัญ

 

ทุกคนรู้สึกสดชื่อและหนาวเย็นขณะทั้งสี่เข้ามาในท้องพระโรง

 

จวินโม่เซี่ยเห็นว่า ทั้งสี่นั้นนั่งอยู่ในโต๊ะที่แยกออกไป  เขาพ่นลมทางจมูกในใจ  เขามิได้สนใจอันใดในเรื่องนั้น  . แต่ เซี่ยวเฟิงวู ฟื้นตัวขึ้นเร็วเช่นนั้นได้เยี่ยงไร ?

เขาจดจำถึงความรุนแรงที่เขากระทำลงไปในครั้งล่าสุดที่พบกับเด็กหนุ่มผู้นั้นได้อย่างชัดเจน  เซี่ยวเฟิงวู ดูไม่สบายและเจ็บปวดเล็กน้อย แต่เขาสามารถเดินได้อย่างปกติ  ทั้งหมดนี้น่าฉงน

 

การฟื้นฟูมิควรรวดเร็วเช่นนี้ !  มิได้ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ?

 

ทันใดนนั้น เขาเริ่มรู้สึกตัวว่า เจดีย์หงส์จวินเริ่มหมุนอีกครั้ง  ซึ่งทำให้จวินโม่เซี่ยมีความสุข  ความรู้สึกนี้ คล้ายคลึงกับครั้งที่เขาต่อสู้และคว้าเอา จี้หยก มาจากผู้อาวุโสหก  แต่ เป็นความรู้สึกที่รุนแรงยิ่งกว่านัก …

 

ความคิดของจวินโม่เวี่ยเริ่มพุ่งพล่าน

เป็นไปได้หรือ ?  …ครั้งล่าสุดข้าได้ต่อสู้และช่วงชิงเอาสมบัตินั้นมา … กลับมีอีกชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น ?

จวินโม่เซี่ย ครุ่นคิด  ข้ามิอาจกลั้นไม่ให้รู้สึกว่าเขามีสมบัตินั้น … สมบัติที่เหมาะแก่การแย่งชิง  เขามิอาจกลั้นความรู้สึกเบิกบาน

ในตอนที่พวกเราพ้นประตูออกไป … อาวุโสผู้นี้จะทำทีเป็นขโมย  น่าเสียดายยิ่งที่ สิ่งลึกลับเช่นนั้นตกอยู่ในมือของเด็กเหลือขอ !

 

อีกทั้งผู้คนเหล่านี้เป็นเป้าหมายที่มีน้ำใจ !   พวกเขานำสมบัติเช่นนั้นมาให้ข้า … มิใช่เพียงหนึ่ง หากแต่เป็นสอง !

 

เขาเงยขึ้น และมองเห็น ฮั่นหยานเมิง ดึงหน้าใส่เขา

 

จวินโม่เซี่ยเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของริมฝีปากนาง และเข้าใจถึงความหมายที่อยู่ภายใต้การกระทำเหล่านั้นรวดเร็ว  ฝีมือของเขา ทำให้ง่ายต่อการเข้าใจการเคลื่อนไหวของปาก ” หลานชายผู้เชื่อฟัง น้าหญิงของเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว “

 

เจ้าเด็กสาวผู้นี้มิรู้ที่ต่ำสูง ข้าจักสั่งสอนเจ้า !  เด็กสาวผู้นี้อาจหาญอวดอ้างกระทำดั่งอาวุโส !

 

คุณชายน้อยจวิน หันหน้าหนีอ้อยอิ่ง

 

” องค์จักพรรดิเสด็จแล้ว ! “

 

ขันทีราชสำนักเอ่ยร้องดังก้อง  ในที่สุดองค์จักพรรดิเผยตัวออกมา  จวินโม่เซี่ย สถบออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ

บ้าเอ้ย !  อาหารเย็นชืดหมดแล้ว …

 

พิธีรีตองอันน่าเบื่อมากมายดำเนินไป และ พิธีฉลองนักปราชญ์ทองคำ จึงเริ่มขึ้นในที่สุด  จวินโม่เซี่ย คิดและกระทำไปตามปกติของเขา … เริ่มกิน  แต่ เหล่า ปราชญ์ผู้ทำงานหนักและมีพฤติกรรมที่ถูกต้องยังคงไม่เคลื่อนไหว

 

ในที่สุดองค์จักรพรรดิทรงตรัสขึ้น

” เหล่าผู้คนชั้นสู้จักกระทำในสิ่งที่พวกเขาประสงค์ ! “

จวินโม่เซี่ยเริ่มกินอย่างตะกระตะกลามหลังจากได้ยินประโยคนี้  ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงรอและลังเล … แต่หมีครึ่งตัวอยู่ในท้องพวกเขาแล้ว

 

” เจ้ามิมีอารยะเพียงเล็กน้อย ? เจ้ากินดั่งคนลาคลั่งในขณะที่ผู้อื่นยังมิเริ่มเลย ! “​

ตู่กู้อญิ่งยิ้มขณะเขามองไปยังจวินโม่เซี่ยด้วยความรังเกียจและวางมือกลางอากาศ

 

เขาคือบุตรชายจากสกุลตู่กู้  หน้าของเขามิได้หนา  แต่ หน้าของ คุณชายน้อยจวิน นั้นก็บางกว่ามุมของกำแพงเมือง  หลายคนตัดสินใจมองหาอุ้งตีนหมีสีเหลืองและกลิ่นหอมหวาน … เพียงแต่พบว่ามันอยู่ในปากของจวินโม่เซี่ย ขณะที่พวกเขาเอื้อมมือไปเพื่อดึงมันมา  แท้จริงแล้ว อาหารจำนวนครึ่งจานตกลงไปสู่ท้องของเขาแล้ว  ความเร็วของเขานั้นมิอาจเลื่อนได้

 

ความเร็วในการกินของเขานี้ ลำ้หน้ายิ่งจนมิอาจมีคุณชายน้อยจากสกุลใดจักจินตนาการ

เจ้าอาจได้รับเชิญมาจากสกุลทางทหารเช่นตู่กู้และจวิน แต่ นี่คือ พิธีฉลองนักปราชญ์ทองคำ !  เป็นที่รู้กันว่าเจ้ามิได้ใส่ใจการวางตัว แต่เจ้าควรจะพยายามกระทำตัวสงบเสงี่ยมไว้บ้างในสถานการณ์เช่นนี้ !   แต่ละสกุลในท้องพระโรงนี้ ขาดแคลนอาหาร ?

แต่ สิ่งนี้ทำให้ เหล่าพี่น้องสกุลตู่กู้เริ่มกระทำตามจวินโม่เซี่ย

 

แต่กระนั้น กฏที่มิได้กำหนดไว้ในเรื่องความสุภาพได้ถูกยกเลิกไปเมื่อมาถึงคิวของ คุณชายน้อยจวิน เขาสามารถอยู่ได้สามวันเต็มๆโดยไร้ซึ่งอาหารและน้ำในชีวิตก่อน … และยังคงความแข็งแกร่งและมีสติมากเพียงพอทำภารกิจจนจบ  ในทางกลับกัน เขาสามารถนั่งกินอาหารได้สามวันสามคืน

 

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังอยู่ในภารกิจการกระทำตัวเป็นดั่งพวกอันธพาล  และนี่เป็นเพียงพฤติกรรมเดียวที่คาดว่าเป็นของเหล่าคนพาล  ดังนั้นเขายังคงกินอย่างห้าวหาญต่อไป

 

” อารยะ ?  ตีค่าเป็นเงินได้เท่าใหร่กัน ? “

จวินโม่เซี่ยพ่นลมทางจมูกและยิ้ม  เขายื่นมือไปกลางโต๊ะ  มีชามใหญ่ที่มันย่องและใส่อยู่  เขาขมวดคิ้วขณะลิ้มรสซุปนั้น

” สิ่งนี้มิได้ปรุงอย่างเหมาะสม … พวกเขามิได้ชิมรสหรือ ?

 

จวินโม่เซี่ยตัดสินรสชาติของซุปอย่างชัดเจน

 

ถังหยวน ยกจามขึ้นถึงริมฝีปากเช่นกัน  เหล่า วีรบุรุษและตำนานผู้มุ่งต่อไป  ทั้งเจ็ดตกตะลึง และกรอกตา  ดวงตาพวกเขาปูดขึ้นราวกับจะระเบิดออกมา  เจ้าอ้วนยังมิได้หยิบตะเกียบ  ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆก็มิได้หยิบตะเกียบเช่นกัน  แต่สิ่งที่ดีที่สุดบนโต๊ะได้หายไปแล้ว คาดไม่ถึง คุณชายน้อยที่อ้วนดั่งหมูเอ่ยวาจาไร้สาระขณะที่เขากิน

พวกเราก็มาจากสกุลทหาร … แล้วเจ้าสามารถกินได้เร็วเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ?

” นั่นคอของเจ้าหรืออะไร ?  แม่เจ้าเอ้ย !  ความเร็วเช่นนี้  เจ้ามิเคยสำลักเลยหรืออย่างไร ?

 

พี่น้องทั้งเจ็บสถบในใจพร้อมเพียงกัน

 

” นี่คือแกงอะไร ?  เหตุใดเจ้าจึงเอามันไปหมด ? “

ดวงตาของ ตู่กู้เซี่ยวอี้  กลมโตดั่งจันทราด้วยความสุข

พี่โม่เซี่ยเหลือชามไว้เพียงหนึ่งจากสิบคน  หมายความว่าเช่นไร ?  มันจักบ่งบอกสิ่งใด ?

สาวน้อยรู้สึกเปรมใจยิ่งขณะนางยกชามขึ้นมาที่ริมฝีปาก และค่อยๆซดน้ำแกงอย่างแผ่วเบา  กลิ่นของมันค่อนข้างคาว  จากนั้นก้อนรูปหัวไชเท้าก็เข้าสู่ปากของนาง  นางเคี้ยวและตระหนักได้ว่า ยิ่งนางเคี้ยว … มันยิ่งเริ่มหอมหวาน

 

” มันคือหน้าผาก … “

จวินโม่เซี่ยเหลือบมอง  จากนั้นยื่นมือออกไป คว้าเอาจานปู และวางตรงหน้า ตู่กู้เซี่ยวอี้

” ลองชิมสิ “

 

พี่น้องทั้งเจ็ดตกตะลึงยิ่งเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า  แต่ พวกเขาต้องการจะกินให้รวดเร็วเพื่อแข่งกันเจ้าอ้วนถัง  จวินโม่เซี่ยเงยหน้าขึ้นและเห็นเจ้าอ้วน  ไม่มีความสุภาพใดสามารถขัดขวางเจ้าอ้วนอาจอาหารอันโอชะนี้  เขาคือนักเลงอาหารชั้นเลิศ  พี่น้องตู่กู้ทั้งเจ็ดเป็นเด็กเหลือขอจวินกองทัพ แต่เมื่อเห็นเขากินด้วยความเร็วเช่นนี้ ก็ทำให้พวกเขาต้องปรบมือ  ในเพียงชั่วครู่ ฉากที่แตกต่างเกิดขึ้นบนโต๊ะของพวกเขา  และกลายเป็นความวุ่นวายเล็กน้อย

 

ตรงกลางของโต๊ะที่เต็มด้วยจานเมื่อไม่นานนี้  แต่กระนั้น มันกลับว่างเปล่าไปอย่างรวดเร็ว  ทุกคนใช้มือประคองโต๊ะและคว้าเอาทุกจานที่พวกเขาคว้าได้  แต่ละคนดูตื่นตัวและพร้อมจะคว้าอาหาร  จากนั้น พวกเขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่ามิได้ยินเสียงใดรอบตัวเลย  ทำให้พวกเขาสับสน และเงยหน้าขึ้นมองไป  ทุกผู้เฝ้ามองโต๊ะของพวกเขาอย่างเงียบเฉียบ  พวกเขาเพ่งมองมาด้วยดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

 

ผู้คนในโต๊ะอื่นๆนั้นยังมิได้ทันเริ่มกินเลย … แต่โต๊ะนี้กลับว่างเปล่าเสียแล้ว

 

ตู่กู้ซ้งเฮง จวินจ้านเเทียน และ ถังหว่านลี่ ตกตะลึงอย่างรุนแรง  พวกเขานั้นหน้าหนา .. แต่แดงก่ำ  ผู้อาวุโสทั้งสามแสดงสีหน้าที่สื่อถึงความอับอาย

 

” ผู้อาวุโสจวิน ข้ามั่นใจว่า คุณชายน้อยสาม นั้นได้เชื้อสายของเจ้า  ดั่งประเพณี … เขาอาจจะยังมิได้ผ่านสงคราม แต่ข้าสามารถเห็นอุปนิสัยเล็กๆจากสกุลของเจ้าได้ … “

หัวหน้าสกุลมูล่ง มูล่งเฟิงยุ่นเอ่ยขึ้นขณะที่เขาพยักหน้า  สีหน้าของเขาค่อนข้างจริงจัง  วาจาของเขาคล้ายดั่งยกย่องและดูถูก ซึ่งกระตุ้นให้คิด

 

” เจ้ารู้ดี … “

ปู่จวินชำเลืองมองอย่างรวดเร็วและรุนแรง  อาวุโสสองสามคนข้างๆแทรกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ

” เจ้ามั่นใจได้เยี่ยงไร พี่มูล่ง ? “

 

” ลองดูด้วยตัวเองสิ … “

มูล่งเฟิงยุ่นชี้ตรงไปยังจวินโม่เซี่ย  มือและปากของเขาวุ่นวาย

” ความไร้ยางอายของเจ้าเด็กเหลือขอนี้คล้ายกับเจ้า … ในวันเก่าก่อน  อาวุโสผู้นี้คงตาบอดหามองไม่เห็น … “

 

ทั่วทั้งห้องดังขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ

 

มุมปากขององค์จักรพรรดิยกขึ้น ขณะที่พระองค์กระแอมเพื่อตั้งสติ  แต่กระนั้น สิ่งที่เด็กเหล่านั้นได้กระทำไปได้ทำให้งานฉลองพังทะลาย  เขายกจอกสุราขึ้น และยืนให้แก่ทุกผู้  ทั้งท้องพระโรงยืนขึ้น และ คำนับขอบพระทัย

 

มหาเสนาบดีแห่ง นครเทียนเชียงขึ้นหน้ามาและดื่มสุราของเขา พิธีฉลองเริ่มขึ้นแล้ว  เหล่าปราชญ์ที่อยู่ที่นี่ก็แข่นขันกับเหล่าสหาย  เจ้าหน้าที่พลเรื่องและทหาร คือผู้ตัดสินการแข่งขันนี้

 

เหตุการณ์อันยอดเยี่ยมเริ่มต้นขึ้น !