เสียงไอสองหนดังขึ้น จากนั้นผู้อาวุโส และอาจารย์ผู้อ่อนแรง แห่ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง เหม๋ยเกาเจี้ย ยืนขึ้น  ดูคล้ายร่างของเขาสั่นเทาเนื่องจากการไอนั้น เขาเผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดิ จากนั้นจึงคาราวะ แล้ว เขาหันหลังและคำนับทักทายผู้คนเช่นเดียวกัน

 ” คาราวะ ฝ่าบาท … พิธีฉลองนักปราชญ์ทองคำเป็นงานอันยอดเยี่ยมที่ ผู้ต้อยต่ำผู้นี้เคยประสบพบเจอมา  อาวุโสผู้นี้ ขอคาราวะต่อพระองค์และสมาชิกราชวงศ์ในนามของ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง ขอให้สวรรค์ปกปักษ์คุ้มครองพระองค์และเทียนเชียงของข้า  ขอให้ประชาชนของเราจงเจริญ !  ของให้เหล่ากองทัพเคลื่อนกำลังไปทั่วดินแดนและรวบรวมทุกแผ่นดินเป็นส่วนหนึ่งของเทียนเชียง  ขอให้ทั่วทุกแผ่นเจริญรุ่งเรื่องภายใต้พระคุณของพระองค์ !  พวกเราปราบปลื้มต่อความกรุณา และเมตตาของพระองค์ใน การสอบเคอจวี่ และให้เหล่าบัณฑิตอย่างข้าได้รับความรุ่งเรื่อง … “

เขาสูดหายใจลึกเพื่อเอ่ยวาจาทั้งหมดนี้ภายในคราเดียว  แต่ ฟังดูราวกับเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น  เขากำลังจะเอ่ยถึงหัวข้อหลัก … เมื่อเสียงบ่นดังขึ้น

” เจ้ากินมากมายเช่นนี้ ในงานฉลองอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้เช่นไร … เจ้าอ้วน !  ข้าเข้าใจว่าท้องของเจ้าใหญ่  แต่เจ้าจำต้องรู้ว่าแถวนี้มีผู้คนอีกมากมาย  เจ้าคนเดียวกินอาหารทั้งโต๊ะหมดถายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ …. “

 

เสียงนี้ต่ำมาก  ความจริงแล้ว ฟังราวกับผู้พูดจงใจเบาเสียงตัวเองลง  แต่ ทั่วทั้งท้องพระโรงกำลังเงียบเพื่อฟังวาจาของ เหม๋ยเกาเจี้ย ซึ่งมันเงียบจนได้ยินเสียงเข็มหล่น  ดังนั้น ทุกคนจึงได้ยินวาจานี้อย่างชัดเจน และใบหน้าพวกเขาเริ่มแสดงสีหน้าอันแปลกประหลาดออกมา

 

ผู้พูดนั้นมิใช่ใครอื่นนอกเสียจากจวินโม่เซี่ย  คุณชายน้อยจวิน ต้องการที่จะก่อกวน  ชัดเจนว่าเขาไม่ประสงค์จะให้โอกาสนี้ผ่านไป  เท่าที่ผู้ถูกกล่าวหาคิด ถังหยวนเพียงแต่มองกลับมาที่เขาด้วยสีหน้าตะลึงงันไร้เดียงสา  เขาถือปูครึ่งตัวไว้ในมือ

 เราทั้งสองผู้ใดกันที่กินมากกว่า ท่านพี่ ?  ชัดเจนว่าข้า  ข้ามิได้กินมากมาย แต่ข้ากินไปถึงครึ่งหนึ่งของเจ้าหรือไม่ ?  แล้ว … เหตุใดเจ้าจึงกล่าวหาข้า ?

 

เหม๋ยเกาเจี้ย กำลังเอ่ยวาจามาเพียงครึ่งหนึ่ง  แต่ เขากลับถูกรบกวน  ชัดเจนว่าเขาจำต้องมีโทสะ  ยิ่งไปกว่านั้น การรบกวนนี้เกิดจากผู้ที่ไร้ยางอาย และเหตุผลที่ไร้ยางอายเป็นที่สุด  ริมฝีปากเขาเริ่มสั่นด้วยโทสะขณะหันไป  แต่ เสียงที่ดังเหมือนฆ้องเสียงหนึ่งดังขึ้น ด้วยน้ำเสียงหยิ่งยะโส

” ข้าเคยประสบกับคนไร้ยางอาย แต่มิเคยประสบกับผู้ที่ไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน  ผู้ที่พยายามจะผลาญอาหารจานที่ดีที่สุด แต่ตัวเองก็กล่าวโทษผู้อื่น … คนเหล่านี้เป็นอันใดกัน … “

 

เสียงนี้เป็นของ ตู่กู้อญิ่ง  ต่อสู้เพื่อแย่งชิงอุ้งตีนหมีตั้งแต่ต้น  ดังนั้น เขาจึงมีโทสะอย่างชัดเจน  ด้วยเหตุนี้เขาจึงเพิ่มเสียงขึ้นเพื่อแสดงความไม่พอใจ  แต่ ความแข็งแกร่งของเขานั้นห่างไกลจาก คุณชายน้อยจวิน นัก  นี่อาจเป็นเพียงแค่การพูดปกติของเขา แต่เทียบได้กับเสียงที่ผู้อื่นตะโกน  คุณชายน้อยจวินประสบความสำเร็จในการก่อกวนผู้อื่น เนื่องจากกลุ่มคนทั้งหมดได้ยินเสียงแห่งความวุ่นวายนี้  การดำเนินงานได้รับการรบกวน แต่ แผนการของ จวินโม่เซี่ยนั้นก็ประสบความสำเร็จ

 

กำลังใจของจวินโม่เซี่ยเพิ่มขึ้นเมื่อเห็นว่าบางคนไม่รู้ว่าเขาได้ยืมมือมาใช้  เขากะตุกจมูก

 ” และตอนนี้ข้ากินไม่ทันหรือ ?  ไร้สาระ !  คนของสกุลเจ้ามาร่วมงานมากว่าสกุลอื่น  สกุลของเจ้า จักต้องทุกทรมาณในการหาเลี้ยงปากอันหิวโหยของเจ้า  พวกเขาจักต้องล่มจม  และตอนนี้เจ้าวางก้นอันอวบอ้วนของเจ้าไว้ที่โต๊ะนี้  ข้าคาดว่าข้า ข้าคงจะมิได้ลิ้มรสชาติแกงหากข้ามิสามารถกินได้เร็วพอ …. “

 

ถังหยวนยืนขึ้นเพื่อโต้แย้ง

” คุณชายน้อยสาม … การตอบโต้ของเขานั้นเข้าใจได้  เจ้าดูสิ … เขารู้ว่าเขามิสามารถซื้อหาอาหารเช่นนี้ได้ “

 

แม้แต่องค์จักรพรรดิก็มิอาจยับยั้งเสียงหัวเราะได้เมื่อได้ยินวาจาเหล่านี้  พระองค์ปลดปล่อยเสียง “หึหึ” ที่แปลกประหลาด ขณะที่พระองค์กำลังหัวเราะอยู่ในลำคอ   ใบหน้าของเหล่าผู้อาวุโสอื่นๆในท้องพระโรงเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดขณะพยายามยับยั้งการหัวเราะ  แต่ ตู่กู้อญิ่งเพ่งมองไปที่เจ้าอ้วน ราวกับต้องการจะกินเจ้าอ้วนเข้าไปทั้งตัว

 

โถงที่เคยเงียบงัน กลับดังก้องไปด้วยเสียง “หึหึหึ” ทันใด ขณะที่ทุกคนพยายามปิดปากตัวเองเพื่อยับยั้งเสียงหัวเราะ

 

อาวุโส เหม๋ยเกาเจี้ยเริ่มสั่นเทาด้วยโทสะ  เขากำลังจะพูดขึ้นเมื่อเสียงอันแปลกประหลาดดังขึ้น

” สกุลจวินจองหองยิ่งนัก เอ ชื่อเสียงของพวกเขาถูกต้องยิ่งนัก ! “

ทุกผู้หันมองตามไปยังต้นเสียง  ผู้เอ่ยวาจานั้นคือ ชายหนุ่มในชุดสีขาวผู้นั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งสงวนไว้สำหรับ แขกผู้มีเกียรติ เซี่ยวเฟิงวูแห่ง นครพายุหิมะสีเงิน

 

เซี่ยวเฟิงวูรู้เรื่องระหว่างน้า เซี่ยวฮั่นของเขาและจวินวูอี้แห่งสกุลจวิน  ยิ่งไปกว่านั้น องค์หญิงฮั่นหยานเมิงก็ยังมิได้หยุดยั้งความต้องการมีหลานชายตั้งแต่นางกลับจากจวนสกุลจวิน  ชัดเจนว่าสิ่งนี้ทำให้ นายท่านเซี่ยวไม่สบายใจ  ดังนั้นเขาจึงเริ่มรุกรานและเอ่ยวาจาเยาะเย้ยเช่นนี้

 

” และเจ้าคือผู้ใด ? “

จวินโม่เซี่ยเสแสร้งราวกับจำคนที่เขากระทำทารุณไม่ได้

 

” ข้าสกุลเซี่ยว ข้า เซี่ยวเฟิงวูจากสกุลเซี่ยวแห่งนครพายุหิมะสีเงิน ! “

คิ้วของ เซี่ยวเฟิงวูชี้ขึ้น  เขาดึงพัดมืออกมาจากหน้าอก และเริ่มพัดวีด้วยทีท่ามั่นใจและเรียบง่าย

 

” เป็นชื่อที่ดี ! “

ลี่โย่วหลานเอ่ยขึ้นรวดเร็ว

” ท่านพี่เซี่ยวมีชื่อที่งดงามยิ่งนัก !  ทำให้รู้สึกราวกับอากาศที่บริสุทธิ์ ! “

ศัตรูของศัตรูคือเพื่อน  สกุลจวินและสกุลเซี่ยวนั้นบาดหมางกัน  ลี่โย่วหลานจักไม่หาประโยชน์จากสิ่งนี้ได้อย่างไร ?

 

” ฮี่ฮี่ … ในเมื่อเจ้าเอ่ยถึงมัน … มีเรื่องสั้นๆที่อยู่เบื้องหลังจุดกำเนิดของชื่อข้า “

เซี่ยวเฟิงวู รู้สึกพึงพอใจกับตัวเองยิ่ง  ลี่โย่วหลานได้เกาไปโดนจุดคันของเขา  ดังนั้น เขาจึงเริ่มอธิบาย

” คืนหนึ่งก่อนข้าเกิดแม่ข้าได้ฝัน … ในความฝันนั้นนางได้พบเห็น ปักษาสวรรค์อันงดงามในนภา  ปักษาสวรรค์ตัวนั้นบินลงมาเกาะที่ต้นหูกวาง ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อข้าว่า เฟิงวู

 

” ชื่อของเจ้าได้รับการประทานจากสวรรค์อย่างแท้จริง “

ลี่โย่วหลานปรบมือ  ใบหน้าของเขาแสดงความชมเชย

 

” ฮ่าฮ่า …”

​จวินโม่เซี่ยหัวเราะลั่น

 

” เหตุใดเจ้าจึงหัวเราะ ? “

เซี่ยวเฟิงวูดูราวมีโทสะ  เขากำลังมีความสุขกับความภาคภูมิใจ  เขาจะยอมถูกรบกวนได้เช่นไร ?

 

” ไม่มีอันใด  ข้าเพียงแค่ประหลาดใจ … แม่ของเจ้าจักต้องมากความสามารถ นางฝันว่า ปักษาสวรรค์ร่อนลงมาที่ต้นหูกวาง และตั้งชื่ออันงดงามให้เจ้า … เฟิงวู … “

 

ราวกับ คุณชายน้อยจวิน ไม่สามารถยับยั้งเสียงหัวเราะได้  เขาโยกไปมาชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยต่อ

” แม่ของเจ้าฝันว่า ปักษาสวรรค์ร่อนลงมาที่ต้นหูกวาง … แต่เจ้าจักมีชื่อเช่นไร หากนางฝันว่า ไก่บินลงมาที่ต้นกล้วย ? ลองคิดดูสิ !  นางฝันดีในเวลาที่เหมาะสม  เจ้าจึงโชคดียิ่งนัก ! “

 

องค์จักรพรรดิ สำลักสุรา  ใบหน้าพระองค์แดงก่ำ ขณะที่ไอสองสามหน หัวเราะทั้งน้ำตา

 

. ฝันว่าไก่บินลงไปที่ต้นกล้วย ….​?

จากนั้น ทุกผู้คิดถึงชื่อของ เซี่ยวเฟิงวู จากคำนี้  และได้พบความจริงทันใด …

 

พวกเขาประสงค์จะหัวเราะ แต่ เกรงกลัวถึงความแข็งแกร่งของ นครพายุหิมะสีเงิน ดังนั้น ทุกผู้จึงพยายามยับยั้งเสียงหัวเราะไว้  บางคนเกือบสำลัก

 

” เจ้ากำลังจะเอ่ยถึงสิ่งใด ? “

แรกเริ่มเซี่ยวเฟิงวูยังมิอาจเข้าใจ  จากนั้นเขาจึงครุ่นคิดถึงประโยคเหล่านั้น  ใบหน้าของเขาแข็งขึ้นทันใด

” จวินโม่เซี่ย !  เจ้ากล้าดูหมิ่นข้าได้เช่นไร ? “

 

” ดูหมิ่นเจ้า ?  ข้าดูหมิ่นเจ้าเมื่อใดกัน ? “

จวินโม่เซี่ยเผยสีหน้าไร้เดียงสา

” เจ้าคิดว่าเจ้าจักเอ่ยทุกสิ่งที่เจ้าประสงค์ได้เพราะเจ้ามาจากนครพายุหิมะสีเงินหรือ ?  เจ้าจำต้องจับคู่การกระทำหากเจ้าประสงค์จักกล่าวหาว่าพวกเขาล่วงประเวณีกัน  เจ้าต้องหาของที่ถูกขโมยไปเสียก่อนที่เจ้าจักกล่าวหาหัวขโมย  มันคือหลักการพื้นฐาน ! “

 

” เจ้าดูหมิ่นชื่อข้า ! “

เซี่ยวเฟิงวูมิอาจควบคุมโทสะ  เขาตะโกนออกมาอย่างอดสู

” จวินโม่เซี่ย ข้าจักสังหารเจ้า ! “

 

” นครพายุหิมะสีเงินทรงอำนาจยิ่ง ควรค่าแก่การได้ขนานนามว่าเป็นกองกำลังที่ทรงพลังที่สุดในโลก “

จวินโม่เซี่ยพยักหน้ายอมรับ

” แต่ตอนนี้เจ้าอยู่ในนครของข้า … ในฐานะแขกขององค์จักรพรรดิ  เจ้าได้รับเชิญมายังงานฉลอง ในราชวังนี้ในฐานะแขกผู้มีเกียรติ  แต่ เจ้ากลับขู่จักสังหารทายาทเพียงคนเดียวของสกุลที่ทรงอำนาจ … และเช่นเดียวกันนั้น ต่อหน้าของเหล่าข้าราชบริพารแห่งอาณาจักร .. และองค์จักรพรรดิ ?  ข้าต้องยอมรับในความกล้าหาญของเจ้า ! “

 

สีหน้ของ เหล่า เสนาบดี และ ขุนนางต่างดูแปลกประหลาด

 

อ่าห์ !  เขาขู่สังหารทายาทเพียงคนเดียวของสกุลจวินต่อหน้าองค์จักรพรรดิ์ !  พระองค์จักหยิ่งยะโสเพียงใดหากปล่อยให้เขาออกไปจากท้องพระโรงนี้ ?

 

เซี่ยวฮั่นยืนขึ้นรวดเร็ว และบังคับให้หลานของเขานั่งลง  จากนั้นเขาประมือและขออภัย

” น้องเฟิงวูนั้นด้อยประสบการณ์  เขากระทำไปเพียงแค่อารมณ์  อภัยให้เขาด้วย “

เซี่ยวฮั่นมิได้สนใจในราชวงศ์มากนัก  แต่ เขาไม่ประสงค์จักก่อปัญหากับราชวงศ์ของอาณาจักรนี้โดยไร้ซึ่งเหตุผล  สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็มีสนธิสัญญาพันธมิติแก่กันนับแต่โบราณ  ยิ่งไปกว่านั้น องค์จักรพรรดิก็เรียกพวกเขามาด้วยความจริงใจ ดังนั้น แม้แต่ เจ้าเหนือหัวแห่ง นครพายุหิมะสีเงินก็คงไม่ปราบปลื้มหากพวกเขาก่อปัญหาในเมืองเทียนเชียง ในสถานการณ์เช่นนี้

 

องค์จักรพรรดิยิ้มอย่างใจกว้างเพื่อแสดงว่ามิใช่เรื่องร้ายแรงอันใด

 

จวินโม่เซี่ยถูกบังคับให้นั่งลง  แต่กระนั้น ตู่กู้เซี่ยวอี้ ได้ใช้โอกาสนี้ตักอาหารมากมาย  นางเบิกตากว้างขณะเซ้าซี้ถาม

” ไก่บินไปบนต้นกล้วย … แล้วชื่อเขาจักเป็นเช่นใด ? “

 

จวินโม่เซี่ยเกือบตกเก้าอี้ เมื่อได้ยิมคำถามของนาง  เขาเงยหน้าขึ้นหลังจากผ่านไปชั่วครู่ และเช็ดจมูกตัวเอง

 ” ถามพี่ของเจ้าสิ ?  พวกเขารู้  ข้าเอ่ยวาจาไปมากแล้วเมื่อครู่ … เปลืองน้ำลายไปมาก “

 

ตู่กู้เซี่ยวอี้ พ่นลมทางจมูก และหันไปหา ตู่กู้อญิ่ง ใบหน้าของ ตู่กู้อญิ่ง แดงด้วยความเขินอายชั่วครู่  พี่ชายจัดอธิบายเรื่องเช่นนี้กับน้องสาวเช่นไรดี ?  เขามองไปยังจวินโม่เซี่ยอย่างเดือดดาล ขณะปฏิเสธจะตอบคำถาม  ตู่กู้เซี่ยวอี้ มิพอใจ  จากนั้น นางจึงบุ้ยปากและเริ่มแสดงความไม่พอใจ พี่น้องตู่กู้ทั้งเจ็ดมีเพียงความงุนงงในสถานการ์ที่น่าอึดอัดนี้

 

บรรยากาศในท้องพระโรงเริ่มอึดอัด  ดังนั้น อาจารย์แห่งสถาบันอีกผู้ คุ้งหลิงหยาง ยืนขึ้นและเอ่ย

” คุณชายน้อยในสกุลใหญ่ได้ต่อสู้กับศิษย์ของ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงของเราเมื่อปีก่อน  สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงของพวกเราชนะ … แต่เพียงแค่บังเอิญ หลานชายแห่งราชครูลี่ ลี่โย่วหลาน ยังมิเคยแพ้ผู้ใดและน่าประทับใจยิ่ง  มีศิษย์มากมายของพวกเราที่ประสงค์จักเสวนากับ คุณชายน้อยลี่ … เขาสนใจหรือไม่ ? “

 

ทุกคนเริ่มมีชีวิตชีวา  สิ่งนี้คือ จุดเด่นของงานนี้

 

เหล่าศิษย์แห่ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง มีแววตาประกายแปลกประหลาดตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในโถง  พวกเขามิได้สนใจในรสชาติอาหารหรือสุราเลิศรสนัก  พวกเขารอคอยเพียงช่วงเวลานี้  หากพวกเขาสามารถพิสูจน์ตัวเองว่าเหนือกว่า ปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งนครเทียนเชียง ลี่โย่วหลาน … พวกเขาจักได้รับโอกาสอันไร้ที่สิ้นสุด

 

ลี่โย่วหลานยิ้มอ่อนโยน  เขาลุกขึ้นอย่างสุภาพ มองไปรอบๆและเอ่ย

” โย่วหลานผู้ต้อยต่ำเช่นนี้ มิควรค่าแก่การตั้งคำถามกับปราชญ์ผู้มากปัญญาเหล่านี้  แต่ มีชายผู้หนึ่งที่ โย่วหลานชื่นชม ดังนั้น ข้าประสงค์จักต่อสู้กับคนผู้นั้น … “

 

” ชายหนุ่มมากฝีมือผู้นั้นคือใคร คุณชายน้อยลี่ ? “

ทุกผู้ถามพร้อมเพรียง

” ในนครเทียนเชียงมีผู้ใดกันที่มากสามารถพอเพียงแข่งขันกับ ลี่โย่วหลาน ?  ผู้ที่แม้แต่ ลี่โย่วหลาน ชื่นชม ?  แต่เหตุใดข้ามิเคยได้ยินเกี่ยวกับคนผู้นี้มาก่อน ?

ดวงตาของทุกผู้เผยความสับสนใจใน

 

” คุณชายน้อยแห่งสกุลจวิน จวินโม่เซี่ย ! “

ลี่โย่วหลานเอ่ยจริงจังและชี้ตรงไปยังจวินโม่เซี่ย เพื่อแสดงถึงเป้าหมายที่ชัดเจนของเขา  จวินโม่เซี่ยทำได้เพียงเพ่งมองไปยังลี่โย่วหลาน ขณะที่เขายังคงแทะขาไก่มันย่องที่เขาถืออยู่ต่อไป

บ้าเอ้ย !  เจ้าประสงค์จักล่อลวงข้าไปติดกับดักหรือ ?!

สิ่งนี้อาจก่อความวุ่นวายได้ !