เมิงไฮ่โจวและคนอื่นๆใช้โอกาสนั้นเพื่อเข้าฝ่าย ลี่โย่วหลาน และเริ่มยั่วยุจวินโม่เซี่ย พวกเขามิอาจรู้ได้ว่าลี่โย่วหลานได้ท้าทายความสามารถของเขาอย่างสุดซึ้ง
” คุณชายน้อยโย่วหลาน อารมร์ขันแท้จริง “
คุ้งหลิงหยางรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง
” บางที คุณชายน้อยจวิน… อาจมีฝีมือในด้านอื่นๆของชีวิต … แต่ ความรู้ในด้าน วรรณกรรมนั้นมิได้โดดเด่น … “
บางผู้มิอาจกลั้นหัวเราะอยู่ใต้ปลอกแขนได้ น้ำเสียงของ คุณชายค้งครุมเครือยิ่งนัก แต่ ทุกผู้ก็ได้ตัดสินไปว่า คุณชายน้อยจวินนั้นเป็นเลิศในเรื่องโสเภณีและ ตีหมาและตีไก่ และกิจกรรมน่ารังเกียจอื่นๆ เด็กหนุ่มผู้นี้จักรู้ถึงแง่มุมที่สำคัญของชีวิตได้เช่นไร ? ทุกผู้เริ่มนิยมชมชอบในตัว อาจารย์อาวุโสของสถาบัน
อาจารย์อาวุโสผู้นี้ปราดเปรื่องนัก พวกเขาสามารถดูถูกผู้คนด้วยทีท่าสุภาพเช่นนี้ได้!
” อาจารย์คง มิจำเป็นต้องกังวลสิ่งใด ฮี่ฮี่ … เหตุใดพวกเรามิให้ศิยษ์ของเจ้าแข่งขันกับจวินโม่เซี่ย จากนั้น พวกเราจักได้รู้ หากเขาคู่ควรกับคุณชายน้อยลี่ … ฮี่ ฮี่ … “
เมิงไฮ่โจวยิ้มและเอ่ยตอบ พวกเขาประสงค์ให้อาจารย์ค้งก่อสงคราม
คุ้งหลิงหยางมีโทสะยิ่งในเรื่องนี้ เขาคิด
ข้าดูแลศิษย์เหล่านี้อย่างเอาใจใส่ยิ่ง ข้าอาจจะแขวนคอตัวเองกับเพดานและยอมรับการปลิดชีพตัวเองหากศิษย์ของข้ามิอาจต่อกรกับเจ้าอันธพาลผู้นี้ได้
เขามิได้เอ่ยวาจาโตตอบอันใด เขาเพียงแค่โบกมือและเลือกศิษย์ผู้หนึ่งเพื่อเข้าแข่งกัขน
” ศิษย์ ฮั่นจีตุ้ง ขอให้ คุณชายน้อยจวิน แนะนำด้วย “
ชายหนุ่มยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นเขาประสานมือคาราวะและมองขึ้นมา ประกายความดูหมิ่นวาบขึ้นในดวงตาเขา ขณะมองไปยังคู่ต่อสู้
” เอ่อ … ข้าจะมิมอบคำแนะนำให้เจ้า แต่จักสั่งสอน สักหนึ่งหรือสองเคล็ดลับแก่เจ้า เจ้าจักเร่ร่อนอย่างไร้จุดหมายไปยัง ทะเลสาปหมอกวิญญาณ หลังจากที่ข้าเสร็จกิจกับเจ้าแล้ว สิ่งใดจักดีไปกว่าการแสดงให้เห็นถึงความลึกลับอันลึกซึ้งของจักรวาล ? ข้าจักนำทางหากเจ้ามิอาจคิดได้ “
จวินโม่เซี่ยมองเห็นถึงความคิดจากแววตาของชาอหนุ่มผู้นั้น ดังนั้นเขาจึงตระหนักได้ถึงการดูถูกที่เด็กหนุ่มมอบแก่จวินโม่เซี่ย ดังนั้น คุณชายน้อยจวิน จึงขยับตาขณะยืนขึ้น และหัวเราะลั่นท่ามกลางฝูงชนขณะเขาเสแสร้งกระทำเป็นอับอาย
” ศิษย์หนุ่มผู้นี้ได้หลบเลี่ยงอิทธิพลอันชั่วร้ายที่จะเข้ามาในชีวิต เขาจึงมิเคยได้เข้าใจความน่ากลัวของ ทะเลสาปหมอกวิญญาณ “
น้ำเสียงของ ฮั่นจีตุ้ง เย็นชา เขาคิดอย่างดูถูก
เขาชั่วร้ายยิ่ง ข้าขอคำแนะนำทางวิชาการแก่เขา และเข้าก็เริ่มเอ่ยถึง ซ่องโสเภณี ! เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นงานสาธารณะ ? น่าอัปยศยิ่ง !
” เจ้ามิเคยไปยัง ทะเลสาปหมอกวิญญาณ ? แล้ว เจ้าไปที่ใด ? “
หัวใจของจวินโม่เซี่ยโชติช่วงด้วยความดูหมิ่น
ข้ายังมิได้เสร็จกิจกับเจ้า
จากนั้นเขาไขว้ขาและเอ่ยต่อไม่รีบร้อน
” อ้า ใช่แล้ว คุณชายน้อยผู้นี้หลงลืมไปว่า นักปราชญ์ฮั่น มิได้ร่ำรวยเพียงพอที่จะจ่ายเพื่อรับบริการจากสถานที่แห่งนั้น เหมือนว่าเขาจักจับหอกของเขาด้วยมือภายในกระโจม ขณะจินตนาถึงกระบวนการต่อสู้ เขาจำเป็นจักต้องฝ่าฟันขึ้นๆลงๆในสนามรบ เขาจักต้องจัดการเพื่อปลดปล่อยทหารนับล้านจนกว่าเขาจะหมดเรี่ยวแรง … “
ไร้สาระอันใดกัน !
ใบหน้าของ ฮั่นจีตุ้งแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับเลือดไก่ ความจริงแล้ว คอของเขาก็กลายเป็นสีแดงเช่นกัน
จวินโม่เซี่ยเลือกถ้อยคำที่สง่างามและน่าฮึกเหิม ทันใดนั้น ทุกผู้ที่อยู่ในโถงดูราวจิตใจล่องลอย พวกเขาครุ่นคิดวาจาของเขาอย่างถี่ถ้วนเพื่อหวังจักได้เข้าใจความหมายที่ถ่องแท้ แต่ ส่วนใหญ่เกือบต้องพ่นอาหารออกมาขณะที่พวกเขาเคี้ยวอยู่และหัวเราะลั่นเมื่อเข้าใจถึงความหมายของเขา …
เจ้าเด็กนี่…จักมากเกินไปแล้ว !
บุรุษทุกผู้ที่อยู่ในโถงนี้เข้าใจถึงวาจาของจวินโม่เซี่ยเมื่อครู่ แต่ การหัวเราะอย่างหยาบคายของพวกเขานั้นมิอาจเอ่ยเป็นวาจาได้ …
องค์หญิงหลิงเมิง ตู่กู้เซี่ยวอี้ ฮั่นหยานเมิง และหญิงสาวผู้อื่นมองดูด้วยแววตาประหลาดใจ พวกนางมิอาจเข้าใจถึงปฏิกริยาเช่นนี้ สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า สิ่งนี้มิใช่เรื่องดี แต่ พวกนางมิอาจคิดว่าอันใดคือสิ่งที่ผิดนั้น
วาจาของจวินโม่เซี่ยเซี่ยดูคล้ายดั่งการพรรณนาถึงขุนพลคู่บารมี .. แต่เหตุใดจึงรู้สึกถึงความแปลกประหลาด ?
ชายชราหลายผู้ แสดงอากัปกริยาออกมาด้วยสายตา แต่ พวกเขาเป็นเพียงไม่กี่ผู้ที่สามารถหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งได้โดยมิต้องกังวลถึงผลที่จะตามมา บางผู้ตบมือลงบนโต๊ะ ขณะบางผู้ตบลงบนต้นขา ขณะที่ดวงตาของพวกเขาหลับไปเนื่องด้วยการหัวเราะที่บ้าคลั่งนี้ ร่างของ ตู่กู้ซ้งเฮงสั่นสะเทือนเนื่องจากการหัวเราะ ขณะที่เขาตบไปที่บ่าของถังหว่านลี่ จากนั้นกระซิบ
” ผู้เฒ่าถัง ข้าเพิ่งนึกงถึงครั้งที่เราทั้งสองเพิ่งได้เข้าร่วมกองทับ พวกเราถูกส่งไปยัง หุบเขาหมาป่าสวรรค์… ผู้เฒ่าจวินยังเป็นเพียงแค่นายกองหนุ่ม…. พวกเรามองสายตาของเจ้าเมื่อครั้งออกไปสู้ศึกในยามอรุณรุ่ง … “
ถังหว่านลี่ หน้าแดงก่ำด้วยโทสะในทันใด เขาลืมถึงชื่อเสียงที่น่าหวาดกลัวของ ตู่กู้ซ้งเฮง ขณะยื่นมือออกไปกำคอที่แข็งแรงของเขา จากนั้นเขาคำรามด้วยเสียงกระซิบ
” เจ้าชั่ว ! เอาสิ หากเจ้ากล้าเอ่ยอีกวาจา …. “
ตู่กู้ซ้งเฮงเริ่มสำลัก เขาดูราวหัวเราะขณะวิงวอน หัวหน้าสกุลอื่นๆยกนิ้วขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะชี้ไปทาง ถังหว่านลี่ ราวกับมีผู้คนมากมายได้ยินวาจานี้ …
ใบหน้าผู้เฒ่าถังแดงเดือดด้วยโทสะ เขายืนขึ้นเหนื่อยหอบและพยายามออกไปจากโถง แต่ มีผู้เฒ่าสองสามผู้ลุกขึ้นในเวลาเดียวกัน และโน้มน้าวให้เขาใจเย็น
ตู่กู้เซี่ยวอี้ มองพี่ทั้งเจ็ดของนางหัวเราะด้วยริมฝีปากแบนราบ ใบหน้าสนุกสนานของพวกเขาเผยถึงความสุขในหัวใจขณะหัวไหล่ขยับเนื่องจากการหัวเราะ นางคิดว่าสิ่งนั้นจักต้องเป็นบางอย่างที่น่าขบขันยิ่ง ดังนั้นนางถึงมิอาจกลั่นใจ ถามไป
” สิ่งนั้นหมายความเช่นไร ? น่าขันหรือ ? “
เอ่อ ….
พี่น้องทั้งเจ็ดมองหน้ากันด้วนความตกตะลึง พวกเขาตระหนักได้ถึงสถานการณ์ที่อึดอัดนี้และรีบปรับตัว หยักหน้าพร้อมเพรียงขณะพวกเขาตอบ
” มิใช่เรื่องน่าขันอันใน มันน่าขันได้เช่นไร ? มันมิใช่เรื่องน่าขัน ! “
ตู่กู้เซี่ยวอี้ พ่นลมทางจมูก นางหันหัวไปทางอื่นด้วยโทสะ นางรู้สึกหงุดหงิดทันทีเมื่อเห็นพี่ชายของนาง และจวินโม่เซี่ย เนื่องจากวันนี้พวกเขามิอาจตอบคำถามนางได้เลย
นางหวนนึกถึงวาจาของจวินโม่เซี่ย และทวนมันซ้ำอีกครั้งเพื่อจดจำให้ฝังในใจ
เจ้าคิดว่าหากพวกเจ้ามิตอบ ข้ามิอาจหาคำตอบได้เองกระนั้นหรือ … ? ข้าจักกลับไปถามท่านแม่เมื่อถึงบ้าน … ข้าคิดว่านางมิอาจปฏิเสธข้า …
ฮั่นจีตุ้งสูดหายใจยาว เขารู้ว่าอันธพาลผู้นี้สร้างความได้เปรียบขณะที่เขาเอ่ย
“พิธีฉลองนักปราชญ์ทองคำทองคำนี้ดำเนินตามประสงค์ของฝ่าบาท แต่ ศิษย์หนุ่มผู้นี้ละอายใจที่ต้องเป็นคู่ต่อสู้ของเขา การจับคู่ศิษย์หนุ่มผู้นี้กับคุณชายน้อยจวินในการถกปรัชญาเป็นดั่งการจับคู่ ดอกเบญจมาศสีทอง และดอกหอมหมื่นลี้สีส้มโดยบังเอิญ
เขามิได้รอคอยการตอบกลับของจวินโม่เซี่ย และเอ่ยต่อ
” กลิ่นหอม เบญจมาศ กล้วยไม้ ดอกหอมหมื่นลี้จากสวนดอกไม้ของอาณาจักร … กลิ่นเล่านั้นล่องลอยไปทั่วเทียนเชียง … สุคนธรสสรวงสวรรค์ ล่องลอยนับพันลี้ .. และนับพันลี้ที่สุคนธรสสวรรค์ล่องลอยไป … “
กวีนี้จับใจของทุกคน
กวีบทนี้อาจฟังดูสามัญหากแต่ไม่ โดยเฉพาะส่วนท้าย เขาเลือกใช้คำว่า สุคนธรสสวรรค์ เพื่ออุปมาดั่งการประทานพรแด่เทียนเชียง ทุกผู้เริ่มหัวครุ่นคิดถึงการแสดงฝีมือของเขาต่อหน้าองค์จักรพรรดิ
พวกเขากำลังจะลืมการมีส่วนร่วมของจวินโม่เซี่ย
เขาสามารถทำให้เรื่องขบขันกลายเป็นบทกวีได้เช่นไร ? เขามิอาจทำให้หวนคืนได้แม้นจะมีชีวิตที่สอง …
” คุณชายน้อยจวินฝีมือของ ศิษย์หนุ่มผู้นี้ต่ำต้อย และความรู้ช่างตื้นเขิน ศิษย์หนุ่มผู้นี้ใช้คำได้เพียงผิวเผิน คงจักมิได้เป็นปัญหาใหญ่ในสายตาท่าน ? “
ฮั่นจีตุ้งหัวเราะ จากนั้นเขามองนอบน้อมไปยังจวินโม่เซี่ยด้วยสีหน้าจริงใจ
” ข้าหวัง คุณชายน้อยจักสองสอนข้าสักเล็กน้อย ! “
ทุกผู้ต่างรอคอยคำตอบจากจวินโม่เซี่ยในประโยคสุดท้ายที่ยังมิได้เอ่ยออกมา พวกเขาดูถูกเขาแต่มิได้กล่าวโทษหากเขาพ่ายแพ้รวดเร็ว เนื่องจากกวีบทนี้ยอดเยี่ยมและยากจักตอบโต้ ท้ายที่สุดไม่มีผู้ใดถือว่า เขาจักสามารถเทียบชั้นได้กับ ปราชญ์หนุ่มผู้นี้ ยิ่งไปกว่านั้น บัณฑิตหนุ่มได้ทิ้งผลกระทบที่พิเศษไว้ในใจของทุกผู้นามเนื่องจากเดิมทีฝีมือของเดิมทีแล้วน่าประหลาดใจ แต่ ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้ทุกผู้ต้องถอนใจ
ประโยคสุดท้ายซึ่งไร้เหตุผล เปิดเผยถคงความโหดร้ายในนิสัยของเขา และลดศักดิ์ศรีของเขาลง
เจ้าได้เล่าเรียนใน สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง มานานปี มีสิ่งใดที่น่าภูมิใจจากการเอ่ยบทกวีเพียงไม่กี่บรรทัด ?
เรียกได้ว่า ความสำเร็จของ บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นจบลงอย่างรวดเร็ว
ในภาพรวมแล้ว เขาอาจได้ไต่เต้าขึ้นไปตามอันดับในสกุล แต่ พวกเขาจัดไม่ส่งเสริมบุคคลเช่นนี้ให้ไปสู่สุดสูงสุด
สิ่งใดจักรับประกันได้ว่า เขาจักไม่กำจัดพวกเราทิ้ง ในครั้งที่เขาสร้างอำนาจแก่สกุลได้เพียงพอ ?
ฮั่นจีตุ้ง มิตระหนักรู้เลยว่าเขาได้ประกาศชะตากรรมแห่ง อาชีพทางการเมืองของเขาไว้แล้วด้วยประโยคสุดท้ายนี้ ดังนั้น เขาจึงยืนอยู่ด้วยความพึงพอใจในหัวใจ
จวินโม่เซี่ยย่นคิ้ว กลอนใดๆที่เขาคิดขึ้นมาเพื่อตอบกลับไปนั้นเป็นเพียงการลอกเลียน แต่ การลอกเลียนกวีในระดับสูงเช่นนี้เกินกว่าเขาจักสามารถ
เอ …หรือข้าจักคิดหากวีไร้สาระจากชีวิตก่อน ? ไม่ … มิอาจทำได้ นี่มันช่าง … !
อาจารย์ คุ้งหลิงหยางเลิกคิ้ว ราวกับพึงพอใจตัวเอง
“มิเป็นอันใดหากคุชายน้อยจวินมิอาจคิดหาบนกลอนที่เท่าเทียมได้ … คุณชายน้อยจวินจักมิต้องเสียหน้าเพราะเรื่องนี้ … “
ทุกผู้หัวเราะ
อาวุโสผู้นี้จักมิอภัยให้ง่ายๆ เขาเพียงแค่ใช้วิธีสามัญทั่วไป … เขาดูหมิ่นผู้อื่นโดยมิใช้วาจาเหยียดหยาม …
พลังพุ่งหล่านในหัวใจจวินโม่เซี่ย เขาตะโกนขึ้นเสียงดังรวดเร็ว
” สิ่งนี้มีอันใดที่ยากยิ่ง ? นั่นมิใช่บทกวี ? ข้าจักเหนือกว่าเขา และก้าวขึ้นสูงกว่าความโง่เขลาของ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง ! “
ผู้คนมากมายแสดงออกถึงความไม่พอใจ
เจ้าเด็กผู้นี้กล้ายิ่งนักเมื่อเอ่ยวาจา เขาถูกท้าทายให้คิดกวีแข่ง .. เขาเสียสติไปแล้ว เขาควรจักคิด ก่อนเอ่ยวาจา ราวกับเขาได้รับการสั่งสอนครั้งยิ่งใหญ่จากศิษย์หนุ่มผู้นั้น ….
แต่ สีหน้าของ ลี่โย่วหลาน และ จวินจ้านเเทียน แตกต่างจากหมู่คนยิ่งนัก ลี่โย่วหลานมั่นใจว่าเขามีฝีมือที่จักต้อบกลับ แต่ เขาเองก็พยายามแต่มิอาจทำได้ กระนั้น จวินโม่เซี่ยประกาศว่าเขาจักต่อกวีด้วยคำกลอนที่เหมาะสม ….
เขาเก่งกว่าข้า ?
ปู่จวินกระวนกระวายยิ่ง
เรามิควรเห็นด้วยหรือว่าเขามิได้กระทำโง่เขลา ? เขาจักชนะได้เช่นไร ?
คุ้งหลิงหยาง คำรามทางจมูก และเอ่ย
” คุณชายน้อยจวินดูเหมือนมั่นใจ ข้าขอเสนข้อตกลง สถาบันนี้จักยอมรับความพ่าย หาก คุณชายน้อยจวิน สามารถคิดหากลอนต่อได้ก่อนหมดก้านธูป แต่ หากเขาพ่ายแพ้ … คุณชายน้อยถัง จักต้องเป็นผู้ทำการไกล่เกลี่ยความพ่ายแพ้ของเขา หลังจากนั้น เขาจักต้องคืนศิษย์ผู้ยากจนของข้ากลับมา… ? “
ชัดเจนว่าเขาหมายถึงศิษย์ผู้ที่ ถังหยวนกลั่นแกล้งโดยการให้ซักชุดชั้นในของอิสตรี บัณฑิต โจเฉิงซ้ง อย่างไรก็ตาม ถังหยวนเป็นกังวลกับการปล่อยคนเช่นนี้อยู่ในบ้านของเขา ดังนั้น ถังหยวนจึงหวดเขาจนตายหลังจากถูกไล่ออกจากบ้าน เช่นนั้นแล้วเขาจักไปหาจากที่ใดมาคืนสู้สถาบัน ? กระดูกที่เน่าเหม็นมิอาจรองรับวิญญาณของเขาได้แม้นจักได้กลับมาจากนรก
” เป็นตามนั้น ! “
จวินโม่เซี่ยเกาคอ
ข้ามิได้มีปัญหาอันใดในการยอมรับเรื่องนี้ พวกเราจักคืนกระดูกของเขาหากข้าพ่ายแพ้ เจ้ามิได้บอกว่าเจ้าต้องการเขากลับไปเป็นๆหรือเป็นศพ … ? แล้วเหตุใดข้าต้องเป็นทุกข์ร้อน …
” อย่างไรก็ตาม เจ้าจักต้องยอมรับความเป็นเลิศของข้าหากข้าชนะ สถาบันของเจ้าจักต้องไม่เอ่ยคำว่า บทกวีต่อหน้าข้าอีกหลังจากนั้น ยอมรับหรือไม่ ? “
จวินโม่เซี่ยยิ้ม