ตอนที่ 14 บรรลุและเป็นนิรันดร์ โดย Ink Stone_Fantasy
ปีศาจชาด สัตว์ประหลาดแห่งโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมมีสีแดงเพลิงตลอดร่าง มีรูปร่างเป็นปักษาชาติตระหง่านกลางเวหา กลิ่นอายที่ปีกทั้งคู่แผ่ออกมายามกระพือปีก เมื่อได้กลิ่นแล้วผู้ที่พลังยุทธ์ค่อนข้างอ่อนแอก็จะเข้าไปสู่กับดัก จมดิ่งอยู่ในความฝันอันไร้ที่สิ้นสุด มันหยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งอยู่บ่อยๆ พื้นที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดบริเวณรอบๆ ต่างก็ติดอยู่ในเขตลวงทั้งหมด ถ้าหากมันอารมณ์ดี ผู้ที่ติดเข้าไปในเขตลวงก็ยังอาจจะถูกปล่อยตัวออกมาได้ ถ้าหากโชคร้ายก็อาจจะควบคุมวิญญาณของคนเหล่านั้นเอาไว้ภายในเขตลวงไปตลอดกาล มิอาจหลุดออกมาได้
“เคล็ดวิชาสืบทอดศาสตร์นี้ อาณาบริเวณที่เขตลวงปล่อยออกมากว้างใหญ่เป็นที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “แต่เช่นเดียวกัน ในบรรดาเคล็ดวิชาสืบทอดที่เหมาะสมกับข้า นี่คือสิ่งที่มีส่วนช่วยเหลือวิญญาณมากที่สุด”
อาณาบริเวณของเขตลวงต้องใหญ่พอ วิญญาณก็ต้องแข็งแกร่งพอ!
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สนใจระดับความลึกลับอันแปลกประหลาดของเขตลวง ไม่สนใจความช่วยเหลือที่มีต่อร่างกาย สนใจเพียงแค่สิ่งนี้… วิญญาณยิ่งแข็งแกร่งยิ่งดี! วิญญาณแกร่งกล้าก็มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญ ยามต่อสู้ อย่างเช่นตอนนี้สามารถสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สามสาย วิญญาณแข็งแกร่งแล้วก็อาจจะสามารถสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ออกมามากขึ้นได้ นี่ก็คือการยกระดับของพลังยุทธ์เช่นเดียวกัน
ถ้าหากเป็นผู้อ่อนแอก็อาจจะสนใจการยกระดับพลังยุทธ์ที่ ‘มองเห็นได้’ มากกว่า
แต่สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสนใจกลับเป็นส่วนเสริมของเคล็ดวิชาสืบทอดศาสตร์นี้ต่างหาก
……
วันเวลาต่อมา ตอนแรกตงป๋อเสวี่ยอิงรวบรวมทรัพยากรจำนวนหนึ่งผ่านความช่วยเหลือของหอทะเลสัตตดาราก่อน ทรัพยากรที่ต้องการเป็นที่สุดในการบำเพ็ญ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด’ ไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งทำให้ตนเองสิ้นเปลืองไปกว่าเก้าร้อยก้อนศิลาปฐมโลกาเต็มๆ ไม่แปลกใจเลยที่ศาสตร์โบราณให้ค่ากับทรัพยากรสมบัติล้ำค่าถึงเพียงนั้น ถึงอย่างไรหากไม่มีทรัพยากร ต่อให้ตระหนักรู้แล้วก็มิอาจบรรลุได้อยู่ดี
ภายในห้องเงียบของคูหาผู้อาวุโสสูงสุด ณ ภูเขาด้านหลังของสำนักปักษาเขียว
ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ จักรวาลภูมิลำเนาไม่เหมาะสมสำหรับให้เขาไปบำเพ็ญ อีกทางหนึ่ง สำหรับการบำเพ็ญของภรรยา ถ้าหากคอยดูอยู่ข้างๆ ก็จะต้องคอยกังวลอยู่ตลอด มิสู้รอคอยข่าวคราวของภรรยาอยู่ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์แห่งนี้ ทางด้านภรรยานั้นก็มีวัตถุส่งสารอยู่เช่นกัน ก็สามารถใช้เรียกตนได้ ยอดฝีมือที่ถูกตนปลิดชีพก็ยังมีดีอยู่บ้าง วัตถุส่งสารยังมีอยู่ค่อนข้างมาก
กลิ่นอายสีแดงแผ่ปกคลุมทั่วผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิง
กลางอากาศด้านหลังของเขามีปักษาชาติที่ปกคลุมด้วยขนนกสีแดงเพลิงทั่วตัวซึ่งกำลังสยายปีกตัวหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ นี่ก็คือร่างของ ‘ปีศาจชาด’
“ศาสตร์โบราณ ไปถึงระดับผู้ปกครองเทพแท้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเบิกตากว้างพลางเผยสีหน้ายินดี ปักษาชาติที่ปกคลุมด้วยขนสีแดงเพลิงหลอมรวมเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว “ความเร็วในการบำเพ็ญยังนับว่าไม่เลว ไปถึงผู้ปกครองเทพแท้ภายในสิบปี ต่อไปจะต้องมีความยุ่งยากเล็กน้อย”
ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดจะยังอ่อนแออย่างยิ่ง
แต่ระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงยกระดับขึ้นมาเกือบหนึ่งส่วน เชื่อมั่นว่าการบำเพ็ญในภายภาคหน้าจะต้องยกระดับอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“ฟิ้วๆๆ” มือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงคลายออก ผงแป้งจำนวนมากในมือขวาปลิวว่อน “เป็นวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ที่ดูดซับฟ้าดินอย่างแท้จริง”
เหตุใดพรสวรรค์ของศาสตร์โบราณจึงล้ำเลิศขึ้นเรื่อยๆ เล่า จะต้องมีเหตุผลที่ดูดซับสมบัติล้ำค่าหายากของโลกภายนอกโดยธรรมชาติ
“เสวี่ยอิง เจ้าจะกลับมาเมื่อใดหรือ” ทันใดนั้นก็มีข้อความอันหนึ่งมาจากป้ายคำสั่งส่งสาร
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะท้านไปถึงวิญญาณในทันใด “ข้าจะกลับไปแล้ว จะกลับแล้ว!”
……
ณ จวนจ้าวตงป๋อเหนือทะเลหมอกดำในจักรวาลภูมิลำเนา
ภายในโถงตำหนัก
อวี๋จิ้งชิวในอาภรณ์สีฟ้าเข้มตลอดร่างยืดกายลุกขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีความเข้าใจในวิถีพรั่งพรูออกมาเป็นจำนวนมหาศาลภายในความคิดเดียว แต่ในขณะนี้นางไม่มีกะจิตกะใจบำเพ็ญอีกต่อไปแล้ว นางได้เห็นการสัญจรกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่เป็นพื้นฐานที่สุดแล้ว นางเข้าใจแล้วว่าฉากนี้มีความหมายเช่นไร
“ข้าสามารถบรรลุได้จริงๆ แล้ว” อวี๋จิ้งชิวงุนงงอยู่บ้าง
บรรลุหรือ
ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว
สุดท้ายท่านพ่อประมุขรัฐโม๋เสวี่ยก็พ่ายแพ้จนตัวตาย นางเองก็เคยประสบกับการกลับชาติมาเกิด ภายใต้ความช่วยเหลือของตงป๋อเสวี่ยอิงผู้เป็นสามี ก่อนหน้านี้ค้างอยู่ที่จุดคอขวด ก็ยังคงเป็นสามีที่เข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านโดยไม่คำนึงถึงภยันตราย เสี่ยงอันตรายวิ่งวุ่นเสาะหาสมบัติล้ำค่าหายากอย่างที่สุดกลับมา คราวนี้ในที่สุดตนก็บรรลุแล้ว แม้สามีจะบอกว่าอาจต้องบำเพ็ญยาวนานถึงสามร้อยล้านปี
แต่เพียงแค่แปดล้านปีตนก็บรรลุแล้ว
“บรรลุและเป็นนิรันดร์” อวี๋จิ้งชิวเดินมาถึงหน้าประตูตำหนัก ประตูตำหนักก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ
อวี๋จิ้งชิวมองดูทั่วทั้งจวนจ้าว มองดูพื้นหญ้า แล้วหยิบป้ายคำสั่งส่งสารออกมาในทันใด ก่อนจะส่งข้อความหนึ่งออกไป “เสวี่ยอิง เจ้าจะกลับมาเมื่อใดหรือ”
ดูเหมือนจะเป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวหลังจากส่งสาร
ท้องฟ้ากระจ่างดาวที่อยู่ไกลออกไปบิดเบี้ยว เงาร่างสายหนึ่งเดินออกมาจากกลางท้องฟ้า ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง
“จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้ามาพลางมองดูภรรยาของตนอย่างละเอียด
“ในที่สุดข้าก็สำเร็จกฎเกณฑ์ฟ้าดินแล้ว” อวี๋จิ้งชิวพูดไปเพียงประโยคเดียวก็โอบกอดตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้เบาๆ ศีรษะแอบอิงอยู่บนแผ่นอกของตงป๋อเสวี่ยอิง
อารมณ์ของนางปั่นป่วนเหลือเกิน
ไม่สงบนิ่งเอาเสียเลย
อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ นานาปั่นป่วน …บรรลุเป็นนิรันดร์ เป็นความปรารถนาสูงสุดของผู้บำเพ็ญ เพราะมันหมายถึงอายุขัย! ต่อให้เป็นเหล่าเทพจักรวาลผู้สูงส่ง เพื่อญาติสนิทมิตรสหายอันเป็นที่รัก ก็คิดหาวิธีการเสาะแสวงหาสมบัติล้ำค่าที่ทำให้สามารถบรรลุได้โดยตรง… นั่นเป็นสมบัติที่มิอาจประเมินค่าได้ ล้ำค่ายิ่งกว่าชีวิตของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเสียอีก
“ท่านพ่อ” อวี๋จิ้งชิวพึมพำ
นางบำเพ็ญมากี่ครั้งแล้ว ทั้งยังสิ้นหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
ท่านพ่อเองก็เป็นเช่นนี้ ทว่าตอนนี้นางทำได้แล้ว เพียงแต่ท่านพ่อไม่อยู่แล้ว
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน…
ตงป๋อชิงเหยาและตงป๋ออวี้ที่อยู่ไกลออกไป เมื่อมองไกลๆ เห็นภาพที่บิดามารดากำลังใกล้ชิดกันอยู่ก็มิได้มารบกวน
ผ่านไปเนิ่นนาน อารมณ์ของอวี๋จิ้งชิวฟื้นฟูกลับมา นางจึงผละออกจากตงป๋อเสวี่ยอิง
“ยังดีอยู่ใช่หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองภรรยายิ้มๆ ในขณะนี้เขารู้สึกว่าสีสันของบริเวณโดยรอบล้วนเปลี่ยนเป็นสีสันสดใส ท้องฟ้าพร่างพรายดาวก็เปลี่ยนเป็นงดงามระยิบระยับ
“อืม” อวี๋จิ้งชิวพูด “ข้ายังมิได้ออกมาจากในมหานทีแห่งกาลเวลาเลย”
พูดแล้วนางก็มองไปด้านข้าง
ฟึ่บ!
กลางท้องฟ้าเบื้องหน้ามีมหานทีแห่งกาลเวลาอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ปกติซ่อนเร้นอยู่ใต้โลกปรากฏออกมา ภายในมหานทีแห่งกาลเวลามีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังดำผุดดำว่ายอยู่
ณ ส่วนลึกของมหานทีแห่งกาลเวลา
ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนมีเงาร่างหญิงสาวขนาดมหึมาร่างหนึ่งอยู่ เป็นเงาร่างขนาดใหญ่ที่สุดในมหานทีแห่งกาลเวลาส่วนนี้ นั่นก็คืออวี๋จิ้งชิว รูปลักษณ์เหมือนกันทุกประการ
“ออกมา” อวี๋จิ้งชิวจิตใจวูบไหว
ภายใต้ความช่วยเหลือของพลังกฎเกณฑ์ฟ้าดิน เงาร่างหญิงสาวขนาดมหึมาร่างนั้นก็ทะยานออกมา ถึงแม้ว่ากระแสน้ำของมหานทีแห่งกาลเวลาจะฉุดรั้ง แต่กลับมิอาจฉุดรั้งเอาไว้ได้ เพียงแค่ก่อให้เกิดน้ำกระฉอกเท่านั้น เงาร่างสายนั้นทะยานมาหาอวี๋จิ้งชิวแล้วหลอมรวมเข้าไปภายในร่างกายของอวี๋จิ้งชิว
นับตั้งแต่บรรลุอย่างแท้จริง ภายในมหานทีแห่งกาลเวลาก็มิอาจพันธนาการชีวิตของนางได้อีกต่อไปแล้ว นางบรรลุและเป็นนิรันดร์แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเหตุการณ์นี้อยู่ข้างๆ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นี่คือภาพเหตุการณ์ที่เขาวาดฝันว่าจะได้เห็น ยามที่พวกบิดามารดา น้องชาย และท่านอาจงท่านอาถงจากไปนั้น เขาก็ไม่มีทางทนรับให้ภรรยาและบุตรชายบุตรสาวจากไปเช่นกันได้ หากเป็นเช่นนั้น ตนเองมีชีวิตอยู่ตามลำพังจะมีความหมายอันใดเล่า เดียวดายเกินไปแล้ว ตงป๋อชิงเหยาผู้เป็นบุตรสาวบรรลุด้วยตนเองไปก่อนแล้ว แล้วเหยียบย่างเข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านด้วยตัวเอง
โชคชะตายังไม่ย่ำแย่ มิได้เอาชีวิตไปทิ้งในอากาศอันสับสนอลหม่าน โชคดีได้เข้าสู่วังทวีสูญเร็ว ตลอดเส้นทางการบำเพ็ญมาจนถึงตอนนี้ ก็ปรากฏผลเช่นในตอนนี้
ในขณะนี้
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกพึงพอใจยิ่งกว่าได้เป็นเทพจักรวาลเสียอีก เพราะไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร อย่างน้อยก็มีผู้เป็นที่รักอยู่เป็นเพื่อน
“เสวี่ยอิง ตลอดมาก็มิได้ถามเจ้าเลย หัวใจหลิวเมฆาแดงที่เจ้าให้ข้ากินนั้น ที่แท้แล้วมีราคาเท่าใดกันหรือ” อวี๋จิ้งชิวหันหน้าไปถาม นางเดาได้ว่าจะต้องมีราคาไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ก่อนหน้านี้ก็มิได้ไถ่ถาม ตอนนี้บรรลุแล้วนางก็อยากจะถามดูสักหน่อย
“เจ้าเดาดูสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“จะต้องสูงมากอย่างแน่นอน”
“ไม่สูงค่าเท่าเจ้าหรอก”
………………………………………………………