การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์

สุดท้าย จางเซวียนก็ล้มเลิกความคิด

ความศักดิ์สิทธิ์ของความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์นั้นเป็นสิ่งที่ควรรักษาไว้ ในเมื่อฟงสืออี้เป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์หยาง ก็คงไม่เหมาะสมหากเขาดึงตัวชายหนุ่มมาเป็นศิษย์

ดูเหมือนในอนาคตเขาจะต้องหาเฟ้นหาบุคคลที่เหมาะสมเพื่อมาเป็นศิษย์ของเขาให้ได้

ด้วยความทรงพลังของหน้าหนังสือสีทอง คงจะดีที่สุดหากจางเซวียนสามารถสะสมมันไว้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ถ้าเขามีหน้าหนังสือสีทองสัก 2-3 ร้อยหน้าอยู่ในหอสมุดเทียบฟ้า ก็คงเอาชนะเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว!

เดี๋ยวก่อน*…ปรมาจารย์ขงมีลูกศิษย์ 3000 คนใช่ไหม?เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเหตุผลที่เขารับลูกศิษย์มากขนาดนี้ก็เพื่อหน้าหนังสือสีทอง?* จางเซวียนพลันนึกขึ้นได้

ปรมาจารย์ขงมีศิษย์สายตรงเพียง 72 คนแต่มีลูกศิษย์ธรรมดาสามัญรวมแล้วก็ 3,000 คน เป็นไปได้หรือไม่ว่าปรมาจารย์ขงมีหอสมุดเทียบฟ้าเหมือนกัน และเหตุผลที่เขารับลูกศิษย์ก็เพื่อสร้างหน้าหนังสือสีทองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้?

บางที ปรมาจารย์ขงอาจเอาชนะไอ้โหดได้ด้วยการขว้างหน้าหนังสือสีทองใส่มัน ทำให้มันเละกลายเป็นเนื้อบด!

การเอาชนะผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังได้นั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่เอาชนะได้ด้วยหนังสือเพียงหนึ่งเล่ม ก็แน่นอนว่าไอ้โหดจะต้องเผชิญกับความช้ำใจครั้งใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของมัน!

ต่อไปเราควรจะศึกษาภารกิจของปรมาจารย์ขงให้มากกว่านี้และดูว่ามีประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่าเขาใช้หนังสือเป็นอาวุธบ้างหรือเปล่าน่าจะเป็นเงื่อนงำที่บอกได้ว่าเขามีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในครอบครองหรือไม่*…*

ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นแค่สมมติฐานของจางเซวียน เขาจึงต้องศึกษาต่อไปเพื่อให้แน่ใจ

จางเซวียนสลัดความคิดเบ็ดเตล็ดเหล่านั้นออกจากสมอง เขาเพ่งสมาธิอยู่กับการถ่ายทอดแก่นสารของหนังสือเล่มนั้นให้กับเจียงเฟยเฟยและอธิบายข้อสงสัยของเธอ ซึ่งกว่าเธอจะเข้าใจหนังสือได้ทั้งเล่มก็ล่วงเลยเข้าดึกดื่นแล้ว

ยังพอมีเวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นลองดูดีกว่าว่าเราจะยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติได้หรือเปล่า! รู้ดีว่ายังพอมีเวลา จางเซวียนระบายลมหายใจยาวก่อนจะลุกขึ้นยืน

เหตุผลหลักที่เขามาเยือนตระกูลเจียงก็เพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณให้สามารถเข้าสู่ร่างของศพเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณตัวนั้น ในเมื่อเขาประมวลศิลปะแห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าขั้นการพักฟื้นภายในและร่างอันทรงเกียรติขึ้นแล้ว ทั้งยังมีทรัพยากรอยู่ในมือด้วย ก็สมควรจะฝ่าด่านวรยุทธให้เร็วที่สุด

จางเซวียนให้เจียงฟังโหย่วจัดเตรียมที่พักเงียบๆให้ เขาเข้าไปในห้องหนึ่งของบ้านพักหลังนั้น จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งและถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากกายเนื้อ และเริ่มปรับสภาวะตัวเอง

เอาล่ะเริ่มได้แล้ว!

เมื่อรู้สึกว่าสภาวะของเขาแข็งแกร่งถึงขีดสุด จางเซวียนก็สะบัดมือ แล้วทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนวรยุทธที่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นที่เขานำมาจากขุมสมบัติตระกูลเจียงก็ร่วงลงมากองอยู่กับพื้น แผ่รังสีเจิดจ้าออกมา

ฟิ้ววววว!

พลังจิตวิญญาณพุ่งเข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนอย่างดุเดือด

รังสีของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ภายใน 1 เวลาน้ำชา จางเซวียนก็มาถึงจุดสูงสุดของวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายใน พร้อมที่จะก้าวข้ามขั้นสุดท้ายได้ทุกขณะ

ดังนั้นเขาจึงพยายามฝ่าด่านวรยุทธ แต่หลังจากผ่านความพยายามไป 2-3 ครั้ง ก็พบว่าด่านคอขวดที่ปิดกั้นตัวเขาไว้แข็งแกร่งเกินไป

จางเซวียนวิเคราะห์พร้อมกับขมวดคิ้ว คงเป็นเพราะเราเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายในและยังไม่ได้ขัดเกลาวรยุทธของจิตวิญญาณ**ดังนั้นพลังจิตวิญญาณของเราจึงยังไม่เข้มข้นพอ

เขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายในได้ไม่ถึงครึ่งวัน พลังจิตวิญญาณจึงยังไม่เข้าที่ แล้วยังมาพยายามฝ่าด่านวรยุทธเอาตอนนี้อีก ต่อให้จางเซวียนทำสำเร็จ รากฐานวรยุทธที่อ่อนแอก็จะมีผลในการบั่นทอนอนาคตของเขา

ความยากในการยกระดับวรยุทธของจางเซวียนเพิ่มสูงขึ้นอีกมากตั้งแต่เขาเข้าถึงระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาไม่อยากทำให้อะไรๆยากไปกว่านี้อีก

แปลว่าเราต้องใช้เวลาอีก 2-3 วันในการขัดเกลาวรยุทธของจิตวิญญาณหรือ*?* จางเซวียนนวดขมับอย่างหงุดหงิด

ใช้เวลาอีก 2-3 วันเพื่อขัดเกลาวรยุทธ…นั่นช้ามาก ช้าเกินไป!

ด้วยสถานการณ์คับขันที่บีบรัดเข้ามา เขาต้องยกระดับวรยุทธให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ไม่อย่างนั้น ต่อให้มีอาวุธที่ทรงพลังอย่างหอกสวรรค์กระดูกมังกร เขาก็ไม่อาจสำแดงพละกำลังเต็มพิกัดได้อยู่ดี

“ถ้ามีอะไรที่ทำให้เราบีบอัดพลังจิตวิญญาณเข้าด้วยกันได้ เราคงทำได้เร็วกว่านี้…” ถึงจุดหนึ่ง ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวสมองของจางเซวียน เขาตาโตด้วยความตื่นเต้น “ใช่แล้ว ฉนวนแห่งจิตวิญญาณ!”

ต่อให้ไม่ใช้ความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ แรงกดดันที่ฉนวนแห่งจิตวิญญาณแผ่เข้าใส่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาก็ยังคงหนักหน่วงและยากจะต้านทานอยู่ดี หากเขาต้องขัดเกลาวรยุทธของจิตวิญญาณเพียงลำพัง ความเร็วในการพัฒนาก็ย่อมต่ำมาก หากปราศจากการฝึกฝนอย่างหนัก 3 วันเป็นอย่างต่ำ ก็คงยากที่เขาจะขัดเกลารากฐานของวรยุทธให้พร้อมสำหรับขั้นการพักฟื้นภายใน แต่ด้วยการใช้แรงกดดันของฉนวนแห่งจิตวิญญาณ กระบวนการดังกล่าวจะสำเร็จได้เร็วขึ้นมาก บางทีเขาอาจทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นได้ภายในคืนนี้!

“ออกมาเลย!”

ด้วยการสะบัดมือ ฉนวนก็ปรากฏที่ใจกลางห้อง ทันทีที่มันปรากฏขึ้น จางเซวียนก็พลันรู้สึกได้ถึงแรงกดดันหนักหน่วงที่โถมทับเข้าใส่เขา ราวกับว่าจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาถูกบีบอัดอย่างไม่ลดละภายใต้แรงกดดันนั้น

จางเซวียนไม่ใช้การขับเคลื่อนความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งจิตวิญญาณ จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาค่อยๆเข้าใกล้ฉนวนแห่งจิตวิญญาณทีละน้อย

ซรืดดดดด!

ราวกับกำลังคืบคลานเข้าหาภูเขาไฟที่กำลังปะทุ จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาถูกแผดเผาด้วยแรงกดดันหนักหน่วง อยู่ในสภาพที่ใกล้จะสูญสลายเต็มที

ศิลปะแห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า*!*

จางเซวียนคำรามและเริ่มขับเคลื่อนศิลปะแห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า และจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่ใกล้จะสูญสลายของเขาก็เริ่มมั่นคงขึ้น

สิ่งนี้เหมือนกับการที่เขาใช้แรงกดดันจากหอกสวรรค์กระดูกมังกรเพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาในครั้งนั้น

ทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายในสำหรับวรยุทธของจิตวิญญาณนั้นเหมือนกันกับวรยุทธของพลังปราณ มันให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของจิตวิญญาณเพื่อให้แข็งแกร่งและทรงพลังขึ้น

ด้วยแรงกดดันนี้ พลังจิตวิญญาณของเขาจะถูกบีบอัดให้เข้มข้นกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว ทำให้จิตวิญญาณต้นกำเนิดมีขนาดเล็กลงและทรงพลังขึ้นกว่าเดิม ประกายสีทองจางๆเริ่มแผ่ออกมาจากผิวหน้าของจิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียน เป็นสัญญาณว่าเขากำลังเข้าสู่กระบวนการของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติ

หรือนี่คือร่างอันทรงเกียรติ*?*

เมื่อรู้สึกได้ถึงประกายสีทองที่แผ่ออกมาจากจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา จางเซวียนรีบสำรวจการเปลี่ยนแปลง และพบว่าชิ้นส่วนของจิตวิญญาณส่วนที่เรืองแสงสีทองออกมานั้นแข็งแกร่งกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับส่วนอื่นๆ

ความแข็งแกร่งถือเป็นคำที่ไม่ค่อยใช้กันในการพรรณนาถึงจิตวิญญาณที่ไร้รูปแบบและจับต้องไม่ได้ แต่หลังจากที่ได้ซึมซับประกายสีทองนั้น จิตวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงขั้นที่เหนือกว่าของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุดเสียอีก

“น่าทึ่งจริงๆ!”

จางเซวียนอุทานด้วยความตื่นเต้นขณะดำเนินการบ่มเพาะจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาโดยใช้แรงกดดันจากฉนวนแห่งจิตวิญญาณต่อไป

4 ชั่วโมงต่อมาเขาก็หยุดพัก

หลังจากผ่านกระบวนการการฝึกฝนอย่างหนัก จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาที่ออกจะพองตัวขึ้นเล็กน้อยหลังจากสำเร็จขั้นตอนการพักฟื้นภายในก็ถูกบีบอัดให้เล็กลงอีกครั้ง ในเวลาเดียวกัน รูปลักษณ์ของจางเซวียนก็เปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง หากมองจากที่ไกลๆ ก็จะรู้สึกได้ถึงความสง่าราวกับเทพเจ้าจากสวรรค์

มีเส้นบางๆกั้นอยู่ระหว่างนักรบระดับเซียนกับนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ การก้าวข้ามเส้นแบ่งนั้นหมายถึงการเติบโตขึ้นอีกระดับหนึ่ง

ตอนนี้จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนมีเส้นสายสีทองพาดอยู่เต็มไปหมด หากเขาขับเคลื่อนประสิทธิภาพการต่อสู้ขึ้นถึงขีดสุด แสงสีทองเหล่านี้จะระเบิดออกจากตัวเขา ดูราวกับพระพุทธเจ้าที่มีรัศมีรอบตัว

“ไปต่อ!”

รู้ดีว่าเขาขัดเกลาวรยุทธของจิตวิญญาณได้จนถึงระดับแล้ว จางเซวียนจึงเก็บฉนวนแห่งจิตวิญญาณและเริ่มซึมซับพลังจิตวิญญาณเข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิดอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนนี้ ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นอีกมาก

เกิดเสียงหึ่งดังสนั่นขึ้นที่ด่านคอขวดซึ่งจำกัดวรยุทธของเขาไว้ จากนั้นมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เส้นสายสีทองที่พาดผ่านจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาหลอมละลายและครอบคลุมจิตวิญญาณทั้งหมดของเขาไว้ ก่อให้เกิดประกายสีทองที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง

ร่างอันทรงเกียรติ, สำเร็จแล้ว!

“ไร้เทียมทานจริงๆ…” เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณต้นกำเนิด จางเซวียนตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น

ด้วยระดับวรยุทธของเขาในตอนนี้ เขาสามารถเดินทางข้ามสิ่งกีดขวางและสำแดงการทะลุมิติได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกลัวว่าจิตวิญญาณต้นกำเนิดจะได้รับผลกระทบจากการบีบอัดของมิติ

ดูเหมือนลู่ชงจะสำเร็จวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติเช่นกัน…จางเซวียนคิดอย่างละอายใจ

มันเป็นเรื่องที่รบกวนจิตใจของเขาเสมอมากับการที่ลูกศิษย์ของเขาพัฒนาระดับวรยุทธของตัวเองได้รวดเร็วกว่าเขาเสียอีก แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะสภาวะพิเศษของคนเหล่านั้นและทรัพยากรล้นเหลือที่พวกเขามี แต่ก็ยังทำให้จางเซวียนอดรู้สึกท้อใจไม่ได้

ครืนนนน!

ขณะที่ความคิดของจางเซวียนกำลังล่องลอยไป สายฟ้าฟาดก็ดังสนั่นอยู่ด้านนอก จางเซวียนรีบออกไป และเห็นหมู่เมฆรวมตัวกันอยู่เหนือตระกูลเจียง พลังงานมหาศาลจากพื้นที่โดยรอบเข้ามารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว

“การทดสอบสายฟ้า? การฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติจะนำการทดสอบสายฟ้ามาด้วยหรือ?” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

ครู่ต่อมา หอกสวรรค์กระดูกมังกรที่รัดรอบเอวของเขาอยู่ก็อุทาน “นี่ไม่ใช่การทดสอบสายฟ้า แต่เป็นการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์! การทดสอบสายฟ้ามีไว้เพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณต้นกำเนิด ขณะที่เปลวเพลิงสวรรค์มีไว้บ่มเพาะร่างอันทรงเกียรติ!”

“การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์?”

จางเซวียนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น “เดี๋ยวก่อน…นั่นหมายความว่าผมจะแก้ไขสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดได้แล้วใช่ไหม?”