เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด
ครั้งหนึ่งปรมาจารย์ขงเคยพูดไว้ว่าในการแก้ไขสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิด จะต้องแผดเผามันด้วยเปลวเพลิงสวรรค์ เขาคิดว่าตัวเองคงต้องยกระดับวรยุทธของพลังปราณไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้เสียก่อน แต่ใครจะไปคิดว่าจะเรียกมันมาได้ด้วยวรยุทธของจิตวิญญาณ?
หากเขาสามารถใช้เปลวเพลิงสวรรค์บ่มเพาะกายเนื้อของเขาได้ ก็น่าจะแก้ไขปัญหาที่ทำให้เขากังวลใจตลอดปีที่ผ่านมาได้สำเร็จ?
“การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์จะแผดเผาจิตวิญญาณต้นกำเนิดของฉันโดยตรงหรือเปล่า?” จางเซวียนถามหอกสวรรค์กระดูกมังกรด้วยความร้อนใจ
การทดสอบสถาปนาเซียนนั้นแบ่งออกเป็นการทดสอบจิตวิญญาณ การทดสอบร่างกาย และการทดสอบหัวใจ ในเมื่อการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ก็เป็นการลงทัณฑ์ชนิดหนึ่งที่สวรรค์มีต่อเหล่านักรบ แล้วมันจะมาในรูปแบบเดียวกันไหม?
ได้ยินคำถาม หอกสวรรค์กระดูกมังกรครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์นั้นมี 3 ช่วง มีชื่อว่าการทดสอบแผดเผาวิญญาณ การทดสอบแผดเผาจิต และการทดสอบแผดเผาหัวใจ สำหรับระดับของคุณ คุณน่าจะผ่านการทดสอบแผดเผาวิญญาณไปได้ แต่เกรงว่าคงไม่เป็นแบบนั้นกับการทดสอบแผดเผาจิตและการทดสอบแผดเผาหัวใจ ความประมาทเพียงนิดเดียวอาจส่งผล ให้คุณเสียชีวิตได้!
“โดยเฉพาะสำหรับขั้นสุดท้าย คือการทดสอบแผดเผาหัวใจ บรรดาปีศาจใต้สำนึกจะพยายามทำลายความตั้งใจของคุณ และเมื่อเจตจำนงสูญสลายไป ทุกอย่างที่เหลือก็จะสูญสลายไปด้วย หากกายเนื้อของคุณสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 ร่างอันทรงเกียรติพร้อมๆกันกับประสิทธิภาพของจิตวิญญาณต้นกำเนิดที่เพิ่มขึ้น คุณก็น่าจะรับมือกับปีศาจใต้สำนึกได้ แต่ในสภาวะของคุณตอนนี้ ผมเกรงว่าคงยังยากที่คุณจะต่อต้านบรรดาปีศาจใต้สำนึกได้ด้วยจิตวิญญาณต้นกำเนิดเพียงอย่างเดียว! ในยุคสมัยโบราณ มีผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนที่ต้องตายเพราะการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ มีแต่ผู้ที่สวรรค์ประทานโชคให้และมีความปราดเปรื่องสูงสุดเท่านั้นที่จะรอดพ้นจากการทดสอบนี้ได้…”
หอกสวรรค์กระดูกมังกรได้เห็นจางเซวียนขัดเกลาจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาโดยใช้แรงกดดันหนักหน่วงมากับตา จึงรู้เรื่องที่ชายหนุ่มฝึกฝนวรยุทธของจิตวิญญาณ
“แกกำลังจะบอกฉันว่า…จะปลอดภัยกว่าที่จะเข้ารับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์หากระดับวรยุทธของพลังปราณของฉันเข้าถึงขั้นร่างอันทรงเกียรติแล้วใช่ไหม?” ได้ฟังคำพูดของหอกสวรรค์กระดูกมังกร จางเซวียนตั้งคำถาม
“ใช่แล้ว กายเนื้อนั้นรับมือกับปีศาจใต้สำนึกได้ดีกว่ามากหากเปรียบเทียบกับจิตวิญญาณ เมื่อมีกายเนื้อแบกรับแรงปะทะและได้รับความช่วยเหลือจากจิตวิญญาณ โอกาสที่จะผ่านการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ไปได้ก็จะมีสูงขึ้น ถ้าคุณเข้าท้าทายมันโดยใช้จิตวิญญาณต้นกำเนิดเพียงอย่างเดียว…พูดตามตรงนะ ผมยังไม่เคยพบใครที่ประสบความสำเร็จมาก่อน!” หอกสวรรค์กระดูกมังกรลอยออกจากเอวของจางเซวียนและตั้งข้อสังเกตอย่างกังวล
ในฐานะสมาชิกของเผ่าพันธุ์มังกร ไม่มีวันที่มันจะปล่อยให้นายท่านของมันซึ่งกว่าจะหาตัวพบก็ลำบากยากเย็นต้องถูกมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ไม่อย่างนั้น หากใครรู้เข้า มันจะต้องอับอายขายหน้าสักแค่ไหน!
ถึงตอนนี้มันจะเป็นแค่กระดูกกองหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีศักดิ์ศรี
“ตอนนี้กายเนื้อของฉันยังอ่อนด้อยอยู่…” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึมเมื่อได้ยินคำนั้น
เขายังไม่ได้กรรมวิธีฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงของปรมาจารย์ขงเพื่อยกระดับของพลังปราณไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายใน จึงยังไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธได้ตอนนี้
หรือต่อให้เขาฝ่าด่านวรยุทธของพลังปราณได้ตอนนี้ ก็ยังคงห่างจากขั้นร่างอันทรงเกียรติอยู่อีกขั้นหนึ่งเต็มๆ และเขายังไม่ได้ประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าขั้นร่างอันทรงเกียรติขึ้นมา จึงไม่อาจแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ได้
“ก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้นเถอะ! ฉันอยากเห็นเหมือนกันว่าการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์จะไร้เทียมทานสักแค่ไหน!”
ครั้งหนึ่งหอกสวรรค์กระดูกมังกรเคยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักปราชญ์โบราณหรันชิว แม้มันจะสูญเสียพละกำลังและความทรงจำไปมากหลังจากที่ถูกสกัดกั้นวรยุทธไว้ แต่ความสามารถในการหยั่งรู้และความรอบรู้ของมันก็ยังเหนือชั้นกว่านักรบส่วนใหญ่ในโลกใบนี้
ในเมื่อมันพูดแล้วว่าการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์เป็นเรื่องที่รับมือได้ยาก ก็น่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
แต่ในฐานะผู้ฝึกฝนศิลปะแห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า จางเซวียนมีความไร้เทียมทานกว่าเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณทุกคนในระดับขั้นของเขา การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์อาจทรงพลัง แต่เขาก็มั่นใจว่าเขาจะผ่านมันไปได้
ถ้าเคยมีผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่เอาชนะการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ได้เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน!
ครืนนนน!
ระหว่างการสนทนาของทั้งคู่ เมฆดำที่รวมตัวกันอยู่กลางอากาศก็เสร็จสิ้นกระบวนการของมัน
ก็เหมือนกับหมู่เมฆที่ก่อตัวกันเป็นพายุในการทดสอบสายฟ้า หมู่เมฆของการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์นั้นก็เป็นสีดำสนิท หากเข้าไปมองใกล้ๆ ก็จะรู้สึกได้ว่ามันกำลังสะบัดเร่าๆราวกับเปลวไฟ แม้เมื่อมองจากระยะไกล ก็ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนแผดเผาที่ลามเลียผิวหนัง บรรยากาศบริเวณนั้นค่อยๆระอุขึ้นจนยากจะทนทาน
ฟึ่บ!
ลูกไฟลูกหนึ่งร่วงลงมาจากกลางอากาศ พุ่งเข้าใส่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียน
มันไม่เหมือนกับเปลวเพลิงทั่วไปที่มีสีแดงก่ำ เปลวเพลิงนั้นเป็นสีดำสนิทเหมือนกับหมึก ถ้าไม่ใช่เพราะความร้อนแผดเผาที่มันแผ่ออกมา ก็อาจถูกเข้าใจผิดได้ว่าเป็นหย่อมหมึกที่ลอยอยู่กลางอากาศ
“นั่นคือเปลวเพลิงสวรรค์หรือ?”
ยังไม่ทันที่เปลวเพลิงจะร่วงลงมาถึงพื้น รอยแยกแห่งมิติก็เกิดขึ้นทั่วพื้นผิวบริเวณนั้น รังสีอันทรงพลังระเบิดออกมาจากเปลวเพลิง สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับผู้ที่อยู่ด้านล่าง จางเซวียนรู้สึกว่าเส้นผมของเขาตั้งชันไปหมด
เขาเคยพบกับเปลวเพลิงมากมายตลอดปีที่ผ่านมา เคยเผชิญหน้าแม้กระทั่งกับเปลวเพลิงปฐพีที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ยังไม่เคยพบกับเปลวเพลิงที่มีอำนาจโจมตีและดูน่าขยะแขยงแบบนี้มาก่อน!
มันดำสนิทราวกับหมึก ไม่มีแสงสว่างเรืองออกมาแม้แต่น้อย แต่ความร้อนที่มันแผ่ออกมานั้นมหาศาลเสียจนพื้นดินแทบจะต้านทานมันไม่ไหว สิ่งนี้เองหรือที่เรียกว่าเปลวเพลิงสวรรค์?
นี่คือสิ่งที่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะต้องรับทมือให้ได้ใช่ไหม?
อย่าว่าแต่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาเลย ต่อให้กายเนื้อของเขาซึ่งมีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุดโดยทั่วไป ก็คงต้องหลอมละลายหากสัมผัสกับมัน
“นี่-นี่…ไม่ใช่เปลวเพลิงสวรรค์ทั่วไป แต่เป็นเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด!”
ขณะที่จางเซวียนกำลังพรั่นพรึงกับอานุภาพของเปลวเพลิงสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้า หอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ตัวสั่นด้วยความไม่อยากเชื่อ
“เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด มันคืออะไร?” จางเซวียนถาม
“เปลวเพลิงสวรรค์ก็มีระดับขั้นเหมือนกัน เปลวเพลิงสวรรค์ชั้น 3 เป็นเพลิงที่มีสีแดงก่ำ ส่วนใหญ่จะถูกเรียกมาโดยนักรบที่มีวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติ เป็นเปลวเพลิงสวรรค์ที่อ่อนแอที่สุด”
“ส่วนเปลวเพลิงสวรรค์ขั้น 2 จะมีสีขาวขุ่นเหมือนขี้เถ้า มักถูกเรียกมาโดยยอดขุนพลและเหล่าปรมาจารย์ที่มีความเก่งกาจขึ้น”
“ส่วนเปลวเพลิงสวรรค์ขั้น 1 จะมีสีน้ำเงินเข้ม มีแต่นักรบที่ได้ฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่ดีที่สุดและมีพลังปราณที่บริสุทธิ์ที่สุดเท่านั้นถึงจะเรียกมันมาได้ ที่ผ่านมา คนกลุ่มเดียวที่ผมเคยเห็นว่าทำแบบนี้ได้ก็คือนักปราชญ์โบราณหรันชิวกับศิษย์สายตรงคนอื่นๆของปรมาจารย์ขง แน่นอนว่ายิ่งเปลวเพลิงสวรรค์มีระดับขั้นสูงเท่าไหร่ ความยากในการก้าวข้ามมันไปที่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติจะต้องเผชิญก็มีมากขึ้นเท่านั้น…”
“แต่ตำนานกล่าวไว้ว่ายังมีเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดที่เหนือชั้นไปกว่าเปลวเพลิงสวรรค์ขั้น 1 อีก เป็นที่รู้จักกันในชื่อเปลวเพลิงแห่งเส้นทางสู่สวรรค์ ลักษณะพิเศษก็คือความมืดมิดและสีดำสนิท เท่าที่ผมรู้ ปรมาจารย์ขงคือคนเดียวที่เรียกเปลวเพลิงแห่งเส้นทางสวรรค์มาได้และผ่านการทดสอบนั้นไปได้ด้วย อีกอย่าง มันจะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อระดับวรยุทธของพลังปราณของนักรบเข้าถึงขั้นร่างอันทรงเกียรติแล้วเท่านั้น…แล้วคุณเรียกมันมาได้อย่างไร?”
หอกสวรรค์กระดูกมังกรลอยอยู่กลางอากาศด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาของมันซึ่งอยู่ที่ปลายหอกกระพริบปริบๆด้วยความพรั่นพรึง
เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดคือแรงกดดันจากธรรมชาติที่ทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง อย่าว่าแต่จิตวิญญาณต้นกำเนิดเลย แม้แต่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานก็ต้องถูกแผดเผาจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านเพราะอานุภาพของมัน!
ชายหนุ่มเพิ่งจะฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณได้สำเร็จ แล้วเขาเรียกเปลวเพลิงสวรรค์อันน่าสะพรึงขนาดนี้มาได้อย่างไรกัน?
การก้าวข้ามเปลวเพลิงสวรรค์แบบธรรมดาก็ยากเย็นพออยู่แล้ว แต่การทดสอบที่เขาจะต้องเผชิญคือเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด…เรื่องนี้ ในทางปฏิบัติแทบจะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นในตอนนี้!
“ผมจะไปรู้ได้อย่างไร?” นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเปลวเพลิงสวรรค์ที่เขาเรียกมา จางเซวียนร้องด้วยความเสียขวัญ “มันควรจะเป็นแค่การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์แบบธรรมดาเท่านั้น”
มันเรื่องอะไรโลกถึงต้องมอบ ‘การคุกคามแบบพิเศษ’ ให้เขาด้วย?
จางเซวียนอกคับใจอยู่ข้างใน แต่ก็รู้ดีว่าไม่ใช่เวลาที่จะตีโพยตีพาย หลังจากรวบรวมความแข็งแกร่งแล้ว เปลวเพลิงสวรรค์สีดำก็มาถึงตรงหน้าจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาและล้อมรอบมันไว้
ทันทีที่เปลวเพลิงสีดำสัมผัสกับจิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียน มันก็เริ่มมอดไหม้ ความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวขณะที่ร่างกายสั่นสะท้านไม่หยุด
เขาเคยคิดว่ามันคงจะใกล้เคียงกับการทดสอบสายฟ้าที่เขาพอจะต้านทานไหว แต่เปลวเพลิงสีดำนี้มีอานุภาพร้ายแรงกว่าที่จางเซวียนคิดไว้มาก หากเขาสูญเสียสมาธิในการควบคุมจิตวิญญาณต้นกำเนิดไปเพียงนิดเดียว มันจะต้องมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านและไม่หลงเหลืออะไรไว้เลย
“ศิลปะแห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า!”
รู้ดีว่าต้องรีบลงมือทำอะไรสักอย่าง จางเซวียนกัดฟันกรอดและรวบรวมพลังงานทั้งหมดที่เขามีอยู่เพื่อต้านทานเปลวเพลิงสีดำ
วิ้งงง!
เส้นสายสีทองเรืองแสงออกมาและห่อหุ้มจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาไว้
จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนกลายเป็นสีทองทันที ทำให้จางเซวียนดูเหมือนกับพระพุทธเจ้าที่มีรัศมีเรืองรอง
อานุภาพของเส้นสายสีทองนั้นไร้เทียมทานมาก แต่เปลวเพลิงสีดำก็ยังแข็งแกร่งกว่า แม้จะสัมผัสกับเส้นสายสีทองแล้ว มันก็ยังฉีกกระชากพื้นที่โดยรอบให้แหลกเป็นชิ้นๆ ดูเหมือนพร้อมจะลากจางเซวียนเข้าสู่คลื่นรบกวนของมิติ
“สกัดกั้น!”
จางเซวียนเคาะนิ้วไปข้างหน้าโดยไม่ลังเลและสำแดงความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติของเขา
วิ้ง!
รอยแยกแห่งมิติสมานตัวเข้าหากันอีกครั้ง
แต่พละกำลังของเปลวเพลิงสีดำก็ยังคงไร้เทียมทานอย่างเดิม มันแผดเผาเส้นสายสีทองที่อยู่ล้อมรอบจางเซวียน ทำให้สีทองเหล่านั้นกลายเป็นสีดำสนิท