ตอนที่ 618 องค์หญิงใหญ่ (2)

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 618 องค์หญิงใหญ่ (2)

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง หยูซูหรงดูเหมือนจะพอใจกับสีหน้าที่อีกฝ่ายแสดงออกมา นางหัวเราะเบา ๆ แล้วหยิบถ้วยชาขึ้นเป่าให้หายร้อนแล้วเอ่ยต่อว่า “หนิงหยู่ชุนรับราชการตอนปีไท่เหอที่ 45 และได้บูรณะวิหารจี๋ยิงในปีไท่เหอที่ 48

จากนั้น ก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการทหารของกองทัพชายแดนตะวันออกในปีไท่เหอที่ 50 และในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 4 เขายังทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการชายแดนตะวันออกอีกด้วย

เมื่อเขากลับเข้าสู่ราชวงศ์หยูในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 6 เขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีของสำนักเสนาบดี พอรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 8 เขาถูกเยี่ยนเป่ยซีโยกย้ายให้ไปเป็นจือโจวของเขตจินหลิงแทนฉินโม่เหวิน

สำหรับคนผู้นี้ข้าคิดว่าเขาเป็นจือโจวมานานพอแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนเป็นสหายกับหนิงหยู่ชุนอยู่แล้ว แต่ทว่าการที่หนิงหยู่ชุนอยู่ในตำแหน่งสำคัญอย่างผู้ว่าการเขตจินหลิงนั้นเขากลับไม่เคยรู้มาก่อน

“เขาเป็นถึงจือโจวแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เป็นเช่นนั้น ! ข้าถึงได้เสนอว่าเขาเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดเพราะเจ้ามิสามารถเป็นเต้าถายที่ว่อเฟิงเต้าได้ตลอด ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจได้ในทันทีว่าองค์หญิงใหญ่วางแผนเรื่องในอนาคตไว้ให้ตนเองแล้ว

ว่อเฟิงเต้าเป็นหน้าต่างแห่งการปฏิรูปของราชวงศ์หยู สำคัญดุจถนนสายแรกของอีกสิบสี่สายในราชวงศ์หยู !

ย่อมเป็นไปมิได้ที่เขาจะเป็นเต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้าตลอดไป ดังนั้นผู้สืบทอดจะต้องเป็นคนที่มีความสามารถและแข็งแกร่ง ต้องเป็นผู้ที่ราชวงศ์ไว้วางใจได้อีกด้วย

ดังนั้นหนิงหยู่ชุนจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

แต่… เหตุใดองค์หญิงใหญ่ถึงมองหนิงหยู่ชุนในแง่ดีถึงเพียงนี้กัน ?

“ประหลาดใจใช่หรือไม่ ? ”

“…เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“อยากรู้ความจริงหรือไม่ ? ”

“…อยากรู้พ่ะย่ะค่ะ”

“ข้ามิมีทางบอกเจ้าหรอก ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกสับสนไปหมด หรือว่าองค์หญิงใหญ่กับหนิงหยู่ชุน… จะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน ?

หยูซูหรงวางถ้วยน้ำชาลง เหยียดแขนขึ้นแล้วใช้นิ้วก้อยเกี่ยวผมทัดหูอย่างอ่อนหวาน นางเงยหน้ามองฟู่เสี่ยวกวนและเอ่ยว่า “ตอนนี้มีข่าวลือว่าบัดนี้จวนฟู่เป็นประตูที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ถ้าใช้นิ้วมือไปถูจะมีเสียงดังออกมา ! ท่านฟู่…กิตติศัพท์ของท่านไปถึงหูอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนแล้ว ! ”

นางหยุดเอ่ยชั่วครู่จากนั้นแววตาก็ดูจริงจังขึ้น “มิว่าสิ่งใด ด้วยฐานะของเจ้าล้วนทำได้ทั้งหมด แต่หากเจ้ามิต้องการกลับไปที่ราชวงศ์อู๋เพื่อเป็นจักรพรรดิอย่างแท้จริง หากต้องการอยู่ในราชวงศ์หยูไปชั่วชีวิต… ท่านป้าคิดว่าควรมีคนเฝ้าประตูหลักอย่างน้อย 3 คน”

ฟู่เสี่ยวกวนถึงกับตื่นตกใจในคำเอ่ยของนาง เพราะเขาเข้าใจความหมายที่หยูซูหรงต้องการจะสื่อถึง เขามิรู้ว่าฝ่าบาทจะเล่นตลกอันใดกับเขาหรือไม่

ราวกับรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังคิดอันใดอยู่ หยูซูหรงจึงยกยิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา “มิต้องคิดมากหรอก เพิ่มคนเฝ้าประตูอีกสักคนถือเป็นสิ่งที่ดี…เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าที่มาหาข้าเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปที่หยูชิงหลานแล้วยิ้มออกมา “ยังมีอีกเรื่องที่จะขอให้ท่านป้าช่วย ท่านป้าช่วยออกหน้าเรื่องของฮั่วหวยจิ่นให้ได้หรือไม่ ? ข้าเป็นผู้จัดการให้เขาไปที่ถนนเจี้ยนหนานเอง ในเวลานั้นมีเรื่องเร่งด่วนจึงมิได้ขออนุญาตจากฝ่าบาท”

เมื่อได้ยินดังนั้น หยูซูหรงก็มองไปที่เขาอย่างรู้ทัน ทว่านางมิได้กล่าวสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่กำลังเตือนเขาว่า “หลานข้านั้นจะให้กำเนิดในเดือนหก ฝากเจ้าดูแลนางด้วย”

“หลานรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

“นอกจากนี้…เขตสลัมที่เมืองจินหลิง เจ้าจะลงมือสร้างเมื่อใด ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตื่นตกใจ ยกมือขึ้นแตะที่จมูกเบา ๆ “มิมีสิ่งใดปิดบังสายตาของท่านป้าได้เลย”

“เจ้าคิดผิดแล้ว มิใช่ว่าปิดบังป้ามิได้แต่เจ้าปิดบังฮองเฮาซั่งมิได้ต่างหาก”

“แท้ที่จริงแล้วนี่มิใช่เรื่องใหญ่อันใด ต้องรออีกสักสองปีถึงจะสามารถพัฒนาเขตสลัมนั้นได้”

“เพราะเหตุอันใด ? ”

“หลังจากนี้อีก 2 ปีเศรษฐกิจของราชวงศ์หยูจะดีขึ้น ผู้ที่มีเงินย่อมคิดที่จะพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน หลานคิดว่าในเวลานั้นจะมีผู้มั่งคั่งหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวง จากนั้นบ้านเรือนเหล่านี้ย่อมถูกสร้างขึ้นและขายได้ในมูลค่ามหาศาล”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยูซูหรงก็เข้าใจขึ้นมาในทันที “ก่อนหน้านี้ซูหลานมาถามข้า ตอนนั้นข้าก็มิได้คิดอันใดมาก ข้ารู้จักเจ้าน้อยไปเสียแล้ว ดูเหมือนว่าข้าต้องไปดูที่ดินไว้บ้าง พอถึงเวลานั้นจะได้มีเงินเข้ากระเป๋าเหมือนเจ้า ถือว่ามิเลวเลย…”

“เหตุใดท่านป้าต้องไปเปรอะเปื้อนกลิ่นทองแดงที่เขตสลัมด้วยเล่า เขตสลัมนั่น…ท่านป้าได้กำไรสิบส่วนดีหรือไม่ ? ”

“เจ้าเด็กนี่…” หยูซูหรงยิ้มน้อย ๆ แล้วส่ายศีรษะ นางบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามนี้

……

……

หลังออกจากพระราชวังเขาก็ได้ขึ้นไปนั่งบนรถม้าที่จอดรออยู่ ในหัวของฟู่เสี่ยวกวนมีเรื่องมากมายให้คิด

ตามอายุของหนิงหยู่ชุนแล้ว เขาอยู่ในช่วงวัยสามสิบกว่า ๆ อายุมิได้มากไปกว่าองค์หญิงใหญ่เลย

จากมุมมองด้านรูปลักษณ์ของหนิงหยู่ชุน เขาเหมือนดั่งต้นไม้หยกในสายลมซึ่งแตกต่างจากนักวรรณกรรมทั่วไป บุคลิกในตัวเขายังมีความแข็งแกร่งทางทหารแฝงอยู่ด้วย !

องค์หญิงใหญ่กับเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

ถ้าเขาได้อยู่ในความดูแลของข้าเมื่อใด ข้าจะลองถามเขาเรื่องนี้ดูสักครา

องค์หญิงใหญ่บอกว่าจะสนับสนุนตระกูลหนิงให้กลายเป็นประตูใหญ่ที่สามของเมืองหลวง สำหรับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว เขามิได้สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด แต่สิ่งที่เขาให้ความสนใจก็คือต้นเหมยต้นนั้นที่อยู่ในตำหนักขององค์หญิงใหญ่ต่างหาก

ความกังวลค่อย ๆ ลดลง หลังจากได้สนทนากับองค์หญิงใหญ่ที่ด้านหลังอุทยานดอกไม้และเขายังรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงจากหยูซูหรงที่มีต่อเขาและเหล่าภรรยา

เหมือนความห่วงใยนั้นมาจากใจจริง อย่างน้อยฟู่เสี่ยวกวนก็เข้าใจถ่องแท้แล้ว

ต้นเหมยต้นนั้นคล้ายกับต้นเหมยที่หายไปในอารามซุ่ยเยว่ เหตุใดนางต้องเอาต้นเหมยต้นนั้นมาปลูกที่นี่ด้วย ?

นางรู้ความลับของต้นเหมยนั้นเยี่ยงนั้นหรือ ?

เป็นไปได้หรือไม่ว่านางเป็นคนของลัทธิจันทรา ?

หรือเป็นคนของเช่อเหมิน ?

ฟู่เสี่ยวกวนหลงอยู่ในภวังค์ความคิด สุดท้ายก็คิดอันใดไม่ออก

ฐานะของหยูซูหรงเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ เหตุใดนางต้องไปข้องเกี่ยวกับลัทธิจันทราด้วยกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังสับสนเรื่องต้นเหมยอยู่ โดยมิรู้ว่าที่สวนดอกไม้ด้านหลังนั้น หยูซูหรงกำลังสนทนากับหยูชิงหลานอย่างเป็นกันเอง

“น้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอันใดอยู่ หวยจิ่นจะมิเป็นอันใด เพียงแต่จวนซีหวังเกรงว่าจะรักษาเอาไว้มิได้แล้ว เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกันเพราะเขาจะได้อาศัยอยู่ในเมืองหลวงให้ท่านน้าผู้นี้ได้เห็นเจ้าตลอด…”

“เมื่อครู่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวถึงเรื่องเศรษฐกิจในราชวงศ์หยูว่าจะก้าวหน้าขึ้นในอีกสองปีข้างหน้า ที่ดินในจินหลิงจะต้องแพงขึ้นมาอย่างแน่นอน เจ้าเองก็ควรจะมีไว้บ้าง จากที่ดูแล้วยังมีพื้นที่การเกษตรอยู่นอกเขตสลัม เจ้าลองไปหาซื้อดูเถิด แม้ว่าจะอยู่ไกลไปหน่อย แต่ก็ทำเงินได้มิยาก”

“ขอบพระทัยท่านน้าหญิงที่ชี้แนะเพคะ”

“เจ้าไปเถิด เรื่องตระกูลเซวี๋ยนั้นจบแล้ว น้าจะเอาจวนเซวี๋ยกลับมา พอถึงตอนนั้นจะมอบให้พวกเจ้าเป็นเรือนหอ”

หยูชิงหลานลุกขึ้นอย่างช้า ๆ จากนั้นก็กล่าวเคารพอย่างสง่างาม “ความเมตตาของท่านน้า หลานสาวผู้นี้จะมิมีวันลืม ! ”

จากนั้นหยูซูหรงก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วมุ่งหน้าไปที่สวนดอกไม้ “สิ่งที่น้าทำเพื่อพวกเจ้าได้ก็มีเพียงเท่านี้ เอาคำเอ่ยของน้ากลับไปบอกเสด็จแม่ของเจ้าว่าตระกูลหนิงยากจะลุกขึ้นมาอีกครา ส่วนเรื่องผู้อาวุโสหนิงไท่นั้น…ไม่ควรอยู่นอกสายตาอีก บัดนี้ทุ่งหญ้าที่เกี่ยวข้องกับม้าศึกของราชวงศ์หยูทั้งหมดมีตระกูลหนิงเป็นผู้ดูแล นี่คือผลงานอันยิ่งใหญ่ จะเอาหรือไม่นั้น…”

แท้ที่จริงแล้วนางยังเอ่ยไม่จบประโยคก็เดินมาถึงแปลงดอกไม้เสียก่อน

คำเอ่ยเหล่านั้นทำให้หยูชิงหลานรู้สึกตื่นตกใจเป็นอย่างมาก นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ล้ำลึกยิ่งแต่ทว่าก็มิใช่เรื่องที่นางควรต้องกังวล ดังนั้นนางที่อยู่ด้านหลังจึงกล่าวคารวะแล้วขอตัวลา

หยูซูหรงกำลังตัดแต่งดอกกุหลาบอยู่แต่ทว่าจิตใจกลับมิอยู่กับเนื้อกับตัว จึงทำให้นิ้วโดนหนามกุหลาบตำโดยบังเอิญ นางยกนิ้วที่โดนหนามกุหลาบทิ่มแทงขึ้นมาดู พบว่ามีโลหิตสีแดงสดไหลออกมา…