ความชื่นชมปรากฏในแววตาของมู่หรงอวิ๋นไห่ ทว่าเร็วเกินกว่าจะมีผู้ใดสังเกตเห็น
เห็นได้ชัดว่าเขาถูกคนจับตัวมาที่นี่ นางสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน โดยที่เขาไม่ได้พูดอันใดแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นี้ยังเป็นสตรี
อย่างไรก็ตาม มู่หรงอวิ๋นไห่อดชื่นชมไม่ได้
จากคำพูดของมู่หรงอวิ๋นไห่ ซูจิ่นซีจึงรู้ว่าที่นี่คือดินแดนต้องห้ามของสกุลจง ทว่าอยู่ตรงส่วนใดของดินแดนต้องห้ามนั้น กลับไม่สามารถระบุได้แน่ชัด เนื่องจากตอนที่ถูกจับตัวมา เขาถูกคลุมหน้าเอาไว้ จึงไม่รู้เส้นทางเข้าออก
คนที่จับตัวเขามาและคนที่เฝ้าคุ้มกัน ล้วนเป็นคนของแคว้นไหวเจียง
แม้ซูจิ่นซีจะมั่นใจว่าที่นี่คือดินแดนต้องห้ามของสกุลจง ทว่านางต้องกระทำการอย่างรอบคอบ ทั้งนางยังมีเรื่องสงสัยที่จำเป็นต้องซักถามให้กระจ่าง
“ในเมื่อถูกคลุมศีรษะ เช่นนั้น ฝ่าบาททรงมั่นพระทัยได้อย่างไรว่าที่นี่คือดินแดนต้องห้ามของสกุลจง? ”
มู่หรงอวิ๋นไห่จะทนต่อความสงสัยของซูจิ่นซีได้อย่างไร?
เขากระชากเสียงเย็นชาในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าถูกคลุมหน้าไว้ก็จริง ทว่าไม่ได้โดนปิดหูปิดจมูก ระยะทางระหว่างสกุลจงถึงดินแดนต้องห้าม เต็มไปด้วยกลิ่นสมุนไพร ข้าจะไม่ได้กลิ่นได้อย่างไร? ”
ผู้ฝึกวรยุทธ์ล้วนมีประสาทสัมผัสที่ฉับไว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะได้กลิ่นสมุนไพร
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีคิดว่า สาเหตุที่มู่หรงอวิ๋นไห่มีความรู้สึกว่องไวต่อกลิ่นสมุนไพร เป็นเพราะรูปภาพสตรีในตำหนักฉินเจิ้งหรือไม่?
จงซีจือ!
นางเป็นหมอ ทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องยาสมุนไพร
ทว่าความคิดเหล่านี้แล่นเข้ามาในใจซูจิ่นซีเพียงประเดี๋ยวเดียว ก่อนที่นางจะพูดเข้าประเด็น
“ฝ่าบาททรงแน่พระทัยได้อย่างไรว่า คนที่จับตัวฝ่าบาทมาที่นี่เป็นคนของแคว้นไหวเจียง? ”
ตราบใดที่สถานที่แห่งนั้นมีคนของแคว้นไหวเจียงอยู่ ที่แห่งนั้นย่อมมีสารพิษ หากมู่หรงอวิ๋นไห่ถูกคนของแคว้นไหวเจียงคุมขังไว้จริง ชะตากรรมคงหนีไม่พ้นถูกวางยาพิษตาย
ทว่าซูจิ่นซีกลับไม่พบสารพิษใดๆ บนร่างกายของมู่หรงอวิ๋นไห่ ทั้งระบบถอนพิษยังตรวจไม่พบสารพิษในบริเวณโดยรอบแม้แต่น้อย
ดินแดนต้องห้ามทั้งหมดของสกุลจง นอกจากในภาพลวงตาที่นางถูกวางยาพิษแล้ว ก็ไม่พบสารพิษอันใดอีกเลย
แม้ซูจิ่นซีจะสงสัย ทว่านางมีข้อสงสัยอีกมากมายที่ต้องได้รับความกระจ่างเสียก่อน
เห็นได้ชัดว่ามู่หรงอวิ๋นไห่เริ่มหมดความอดทนกับการตั้งคำถามมากมายของซูจิ่นซี เขากระชากเสียงเย็นชา และไม่ได้ตอบคำถามนาง
ซูจิ่นซีส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ นางเลิกสนใจมู่หรงอวิ๋นไห่ และเริ่มเปิดใช้งานอาคมกำไลปี่อั้นเพื่อตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบและหาทางออก
มู่หรงอวิ๋นไห่ทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิ พลางรักษาบาดแผลของตนเอง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขารวบรวมพลังภายในทั้งหมดไปที่จุดตันเถียน ก่อนจะลืมตาขึ้น และหยิบป้ายหยกสกุลจงของมารดาซูจิ่นซีออกมาจากอกเสื้อ
“นางหนู ป้ายหยกชิ้นนี้ เจ้าได้มาจากที่ใด? เจ้ากับเจ้าของป้ายหยกชิ้นนี้ มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร? ”
ก่อนที่ซูจิ่นซีจะพูดอันใด อู๋จุนก็ลุกขึ้นมาเสียก่อน
“แม่นางพิษน้อย อย่าบอกเขา เมื่อครู่เขายังไม่ได้ตอบคำถามของเจ้าเลย! ”
ซูจิ่นซีอดรู้สึกขำไม่ได้ อู๋จุนบุรุษผู้นี้ บางครั้งก็โมโหเหมือนเด็ก
เมื่อเห็นซูจิ่นซีมองอู๋จุนและแย้มยิ้ม มู่หรงอวิ๋นไห่จึงถามขึ้น “เจ้าเด็กผู้นี้เป็นคนรักของเจ้าหรือ? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น
มู่หรงอวิ๋นไห่ผู้นี้เป็นถึงฮ่องเต้ เหตุใดจึงใช้วาจาหยาบคายเช่นนี้?
ทว่าอู๋จุนกลับแย้มยิ้มหน้าระรื่น เขาคิดว่ามู่หรงอวิ๋นไห่พูดได้ถูกใจเขานัก
“ฮ่องเต้มู่หรง ข้าชอบท่านจริงๆ ! ”
อู๋จุนชอบมู่หรงอวิ่นไห่หรือ?
ซูจิ่นซีคิ้วกระตุกอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม พี่จุนของพวกเราไม่ได้ตระหนักถึงคำพูดอันผิดพลาดของตนเองแม้แต่น้อย
เขาราวกับลิงที่นั่งอยู่บนก้อนหินด้วยความตื่นเต้นดีใจ ยืนก็ดีใจ นอนก็ยิ่งตื่นเต้น
หากซูจิ่นซีไม่รู้จักอุปนิสัยของอู๋จุนตั้งแต่แรก นางคงคิดว่าอู๋จุนมีความรักแบบ ‘ชายรักชาย’ กับมู่หรงอวิ่นไห่เป็นแน่
ทว่ามู่หรงอวิ๋นไห่ไม่เข้าใจอู๋จุน!
เขากระชากเสียงเย็นชา พลางชักสีหน้าบึ้งตึง
“ฝ่าบาท พวกเรามาทำข้อตกลงกันดีหรือไม่? พระองค์บอกหม่อมฉันว่า เหตุใดจึงมั่นใจว่าคนที่จับตัวพระองค์มาเป็นคนของแคว้นไหวเจียง ส่วนหม่อมฉันจะบอกที่มาของป้ายหยกชิ้นนี้”
แววตาของมู่หรงอวิ๋นไห่เปล่งประกาย เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วย
“ข้าถูกคุมขังอยู่ที่นี่มานานหลายปี พวกเขาจะเข้ามาฝังเข็มให้ข้าเป็นระยะ โดยใช้ยาสมุนไพร แม้คนพวกนั้นจะแต่งตัวเลียนแบบคนของแคว้นหนานหลี ทว่าข้าได้กลิ่นสารพิษจากร่างของพวกเขา อีกทั้งกลิ่นเหล่านั้นยังเป็นกลิ่นที่มีเฉพาะในแคว้นไหวเจียงเท่านั้น”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ คงไม่ต้องถามให้มากความอีกแล้ว
และไม่จำเป็นต้องถามมู่หรงอวิ๋นไห่ว่า ผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องยาและการแพทย์ เหตุใดจึงได้กลิ่นยาสมุนไพรหรือยาพิษ ทั้งยังแยกแยะพิษจากแคว้นไหวเจียงได้
ทั้งหมดนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับสตรีที่มีนามว่า ‘จงซีจือ’ เป็นแน่
ดั่งคำพูดที่ว่า รักบ้าน ต้องรักอีกาที่เกาะอยู่บนบ้านด้วย [1]
หากรักคนผู้หนึ่ง ก็ต้องรักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของคนผู้นั้นด้วย
ความดี ความชั่ว ความชอบ และอารมณ์ต่างๆ ของนาง บางครั้ง กระทั่งลมหายใจของนางยังรู้สึกว่าเป็นจังหวะที่งดงามยิ่งนัก
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับลมหรือจันทรา ไม่เกี่ยวกับสิ่งอื่นใด เป็นเพียงความรักจากใจจริง เมื่อรัก… จึงยากลืมเลือน
ซูจิ่นซีนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ทว่านางก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้
“ป้ายหยกชิ้นนี้เป็นสมบัติของมารดาที่ข้าได้รับมา”
“มารดา… เจ้า? ”
“ใช่! ” ซูจิ่นซีพยักหน้า “‘มารดาของข้าคือคุณหนูสามแห่งสำนักแพทย์สกุลจง จงซีจือ”
เป็นการยากที่จะอธิบายท่าทีของมู่หรงอวิ๋นไห่ ยามที่เขาได้ยินคำพูดของซูจิ่นซี
ท่าทางเหล่านั้นมีทั้งยินดี ปลาบปลื้ม เศร้าโศก ดิ้นรน ทว่า… สิ้นหวังมากที่สุด
ซูจิ่นซีไม่เคยคิดว่าการแสดงออกของคนผู้หนึ่งจะซับซ้อนได้ถึงเพียงนี้
ผ่านไปไม่นาน มู่หรงอวิ๋นไห่ก็มองตรงมาที่ซูจิ่นซี
สายตาคู่นั้นสลักลึกลงไปในจิตใจของซูจิ่นซี จนนางไม่มีทางลืมเลือนไปตลอดชีวิต
เห็นได้ชัดว่าเป็นแววตาที่สงบนิ่ง ทว่านางมองออกว่าในแววตานั้นมีสิ่งใดบางอย่างที่บาดลึกและเจ็บปวดยิ่งกว่ามีดที่กรีดลงไปในหัวใจ
เขามองซูจิ่นซีและพูดว่า “หากเจ้าเป็นบุตรของซีจือ ข้าก็เป็นบิดาผู้ให้กำเนิดเจ้า”
บิดาผู้ให้กำเนิด?
เดิมที ซูจิ่นซีไม่เคยรู้ว่า นิยามของคำว่า ‘บิดา’ เป็นเช่นไร ทว่าวันนี้ นางกลับเข้าใจแจ่มแจ้งจนลืมไม่ลง
พูดกันว่าความรักของบิดาเปรียบดั่งภูผา
เป็นดั่งภูผาจริงๆ !
เพราะเขายืนอยู่ตรงนั้น ชัดเจนว่าเป็นการรู้จักกันครั้งแรก ทว่าเขากลับทำให้นางรู้สึกเสียใจที่ได้พบเขา เมื่อเลือดเนื้อที่แยกจากกัน ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง นางควรซึ้งใจและมีความสุขที่มีญาติสนิทเพิ่มเข้ามาในชีวิตอีกคน ทว่าเขากลับทำให้หัวใจที่อยู่บนก้อนเมฆร่วงหล่นลงไปในหุบเขาลึกที่เต็มไปด้วยธารน้ำแข็ง
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่เคลื่อนไหว เพียงส่งสายตาที่เป็นดั่งมีดปลายแหลม ทิ่มแทงมาที่หัวใจของนาง
เพราะท่าทางของเขาแสดงให้เห็นชัดเจนถึงความเย็นชา รังเกียจ และห่างเหิน
เพราะรังเกียจที่นางไม่ควรเกิดมาบนโลกใบนี้ จึงเย็นชาไม่แยแส
ทั้งหมดนี้ชัดเจนอยู่แล้ว ทว่าเขายิ่งเพิ่มความโหดร้ายในประโยคถัดไป “เจ้า… เกิดมาจนได้! ”
ราวกับถูกแทงทะลุหัวใจ ประโยคที่ว่า ‘เจ้าไม่ควรเกิดมาบนโลกใบนี้’ ฝังลึกลงไปในใจของนาง
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ซูจิ่นซีรู้สึกเจ็บปวดจนหายใจไม่ออก
นางอดกลั้นต่อความรู้สึกทั้งหมด “มารดาของข้า ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว”
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่คิดว่ามู่หรงอวิ๋นไห่จะตอบกลับมาว่า “ข้ารู้”
ความห่างเหิน ความรังเกียจ และความเย็นชา เป็นดั่งคำตำหนิที่อธิบายไม่ได้ ราวกับการเสียชีวิตของจงซีจือเกี่ยวข้องกับซูจิ่นซีโดยตรง
มารดาของนาง จงซีจือ เสียชีวิตอย่างไรกันแน่?
……
เชิงอรรถ
[1] รักบ้าน ต้องรักอีกาที่เกาะอยู่บนบ้านด้วย เป็นสุภาษิตจีน 爱屋及乌 ài wū jí wū (อ้าย อู จี๋ อู) โดย คำว่า 爱 ài (อ้าย) แปลว่า รัก , 屋 wū (อู) แปลว่า บ้าน ,及jí (จี๋) แปลว่า และ, 乌/烏 wū (อู) แปลว่า นกอีกา เมื่อรวมกันแล้วแปลว่า เมื่อรักหรือชอบบ้านหลังนี้ ก็ต้องรักหรือชอบนกอีกาที่เกาะอยู่บนหลังคาบ้านด้วย หรือ เมื่อรักเขาก็ต้องรักทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา สามารถอธิบายด้วยภาษาอังกฤษให้เข้าใจง่ายขึ้นคือ Love me love my dog นั่นเอง