บังคับให้เธอสารภาพความจริงออกมาดีกว่า

ผู้อาวุโสสีอาจเคยมีตำแหน่งสูงในอดีตแต่เขาเลือกที่จะปลีกตัวออกห่างจากเมือง A และมันก็เป็นธรรมดาที่อิทธิพลของเขาจะลดลง นั่นคือวิธีที่โลกเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ว่าคุณจะรุ่งเรืองมากแค่ไหน ชั่วขณะที่คุณทิ้งระยะห่างออกมาจากศูนย์กลางของทุกอย่าง คุณก็จะถูกลืมเลือนไปในที่สุด

 

 

ในทางกลับกันตระกูลถงและตระกูลเฉินยังอาศัยอยู่ในเมือง A ลูกหลานของพวกเขาก็เติบโตขึ้นและปักหลักในเมือง A ดังนั้นอิทธิพลของพวกเขาจึงมีแต่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

 

 

พูดง่ายๆ ก็คือตระกูลสีไม่ใช่ศัตรูที่คู่ควรอีกต่อไป อันที่จริงตระกูลสีถดถอยลงในสายตาของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ถ้ามีทั้งตระกูลเฉินและตระกูลถงอยู่ที่นั่นตระกูลสีก็จะต้องยอมแพ้

 

 

เว้นแต่ว่าตระกูลสีจะไม่สนใจอนาคตในโลกการเมืองของพวกเขาอีกต่อไปหรืออยากจะถดถอยต่อไป พวกเขาก็สมควรรู้ว่าต้องทำอย่างไร

 

 

ท่านผู้หญิงอ่านความคิดของเฉินหรูออกได้อย่างง่ายดาย

 

 

เธอเตือนเฉินหรูเมื่อสังเกตเห็นรอยยิ้มพึงพอใจของหล่อน “อย่าคิดง่ายจนเกินไป ไม่ว่ายังไงพรุ่งนี้เธอก็ควรจะไปขอโทษอย่างจริงใจ เพราะพวกเขาจะเลือกปล่อยเรื่องนี้ไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความจริงใจของเธอ”

 

 

คำเตือนของเธอลอยทะลุหูไป เฉินหรูเพียงแค่พยักหน้า “อย่าห่วงเลยคะพี่ ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง”

 

 

ไม่ว่ายังไงเธอก็มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเธอสามารถทำให้ตระกูลสียอมทำตามคำขอของเธอได้ เธอเริ่มที่จะมั่นใจในตนเองมากเกินไป

 

 

ท่านผู้หญิงยังคงพยายามเตือนด้วยความหวังดี “ว่าแต่เธอรู้หรือยังว่าใครเป็นคนโน้มน้าวให้เสี่ยวเยียนมาจัดการซิงเหอ”

 

 

เฉินหรูขมวดคิ้วด้วยความสับสน “ไม่มีคนแบบนั้นหรอกค่ะ เสี่ยวเยียนสาบานด้วยชีวิตว่ามันเป็นความต้องการของเธอเองที่จะสั่งสอนผู้หญิงคนนั้น เพราะว่าเธอไม่สามารถทนเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นได้”

 

 

“การฆ่าคนคือการสั่งสอนพวกเขาอย่างนั้นเหรอ!” ในที่สุดท่านผู้หญิงก็หมดความอดทน “รีบบังคับให้เธอสารภาพความจริงออกมาดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่”

 

 

“ได้ค่ะ ฉันเข้าใจ” เฉินหรูพยักหน้าอย่างว่าง่าย ท่านผู้หญิงหวังว่าเธอจะสามารถทำให้น้องสาวมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาบ้าง

 

 

 

 

หลังจากที่เฉินหรูจากไป ท่านผู้หญิงก็ไปที่ห้องนอนเพื่อตรวจสอบอาการสามีของเธอ สภาพร่างกายของเขาเสื่อมโทรมลงไปเรื่อยๆ

 

 

ถึงแม้ว่าลู่ฉีจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาสุขภาพของเขาไว้แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความเจ็บป่วยจากการลุกลามได้

 

 

อย่างไรก็ตามประธานาธิบดียังคงรักษาทัศนคติในแง่บวกของเขาไว้ ความตายไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกดดันมากเท่าเมื่อก่อนอีกแล้ว

 

 

ตอนที่ท่านผู้หญิงเดินเข้ามา เขาก็ยังทำงานอยู่ เขากำลังอ่านเอกสารบางอย่างด้วยการพิงตัวอยู่กับหัวเตียง

 

 

ท่านผู้หญิงบ่นเล็กน้อยเมื่อเธอเห็นเขาทำแบบนี้ “ทำไมคุณถึงยังทำงานอยู่อีกล่ะคะ คุณควรจะพักผ่อนนะ”

 

 

ประธานาธิบดีตอบด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น “ผมก็หวังว่าจะทำแบบนั้นได้ แต่ผมไม่สามารถพักผ่อนได้ง่ายๆ เมื่อรู้ว่ายังมีงานที่ต้องทำให้เสร็จ การพักผ่อนก็มีแต่จะทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น”

 

 

“นั่นไม่ใช่ข้ออ้างนะคะ” ท่านผู้หญิงพูดก่อนที่จะหันไปหาเลขา “เอาเอกสารออกไป ครั้งหน้าคุณต้องทำตามคำสั่งของหมอ อย่าให้ประธานาธิบดีทำงานมากกว่าหกชั่วโมงต่อวัน”

 

 

เลขาซึ่งยืนอยู่ข้างเตียงพยักหน้า “ได้ครับท่านผู้หญิง”

 

 

จากนั้นเขาก็ขยับเข้าไปเอาเอกสารออกมา ประธานาธิบดีอยากจะหยุดเขาแต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของภรรยา เขาก็หยุดตัวเองไว้

 

 

“เรื่องของถงเยียนเป็นยังไงบ้าง” ในเมื่อเขาไม่สามารถทำตัวให้ยุ่งอยู่กับงานได้ ประธานาธิบดีจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุย ท่านผู้หญิงนั่งลงข้างๆ เขาแล้วเล่าทุกอย่างให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงหมดหนทาง

 

 

“หวังว่าตระกูลสีจะไม่เอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่หากพวกเขาจะทำแบบนั้นก็คงไม่มีใครปกป้องเสี่ยวเยียนได้” ท่านผู้หญิงถอนหายใจ

 

 

ประธานาธิบดีพยักหน้าเล็กน้อย “เธอสมควรโดนลงโทษเพราะเธอทำเรื่องที่ผิดกฎหมาย”

 

 

“ฉันรู้ค่ะ แต่…” ท่านผู้หญิงไม่ได้พูดจนจบประโยคแต่ถอนหายใจออกมาแทน อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ

 

 

ประธานาธิบดีพูดความคิดของเธอต่อ

 

 

“แต่ตระกูลเฉินกับตระกูลถงจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นใช่ไหม”