บทที่ 500 พลังต้องห้าม

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 500 พลังต้องห้าม

 

 

“นี่มันพลังปราณปีศาจ”

 

 

เยว่เว่ยหยางอุทานด้วยความตกตะลึง

 

 

รอยฝ่ามือสีแดงบนหน้าอกของนางยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ปีกกระบี่บนแผ่นหลังของเยว่เว่ยหยางกางออกอย่างเชื่องช้า

 

 

พลังปราณปีศาจที่แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายถูกขจัดออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

อาการบาดเจ็บของนักบวชสาวก็ฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

 

 

พลังปราณศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้

 

 

“ปราณปีศาจอย่างนั้นหรือ?” มนุษย์รูปปั้นดินเหนียวแสยะยิ้ม “อิอิ แต่สำหรับข้า ไม่ว่าจะเป็นปราณปีศาจหรือว่าปราณเทวะ ถ้ามันมอบพลังให้แก่ข้าได้ ข้าก็ไม่เคยรังเกียจทั้งนั้น”

 

 

สีหน้าของเยว่เว่ยหยางเคร่งขรึมจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

“น่าสมเพช” นักบวชสาวพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “พวกปีศาจคือจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายบนโลกใบนี้ การที่มีสาวกปีศาจเช่นพวกเจ้าดำรงอยู่ คือสาเหตุที่โลกมนุษย์ปราศจากความสงบสุข”

 

 

บัดนี้ ปีกกระบี่บนแผ่นหลังของเยว่เว่ยหยางได้ปรากฏออกมาถึงสามคู่แล้ว

 

 

พลังลมปราณพวยพุ่งถึงขีดสุด

 

 

และนางก็ยังคงระเบิดพลังออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

 

เพียงพริบตาเดียว เยว่เว่ยหยางก็มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย

 

 

มนุษย์ดินเหนียวหัวเราะในลำคอเล็กน้อย

 

 

ร่างกายของมันถูกปกคลุมด้วยพลังลมปราณสีดำทมิฬ บัดนี้ เค้าโครงรูปร่างที่เคยเป็นหนุ่มฉกรรจ์กลับกลายเป็นรูปร่างของหญิงสาวอรชรนางหนึ่ง

 

 

“หุหุ ในเมื่อข้าสามารถใช้พลังปราณปีศาจในค่ายอาคมนี้ได้ นั่นย่อมหมายความว่าเทพีกระบี่เลือกที่จะอยู่ข้างเดียวกับข้าแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้านั่นแหละที่ต้องทบทวนการฝึกตนของตัวเองเสียใหม่” มนุษย์ดินเหนียวระเบิดเสียงหัวเราะเหยียดหยาม

 

 

“เหลวไหล”

 

 

เยว่เว่ยหยางคำรามตอบกลับไป

 

 

มันไม่เหมือนกับเสียงของนางอีกแล้ว

 

 

แต่เสียงของนักบวชสาวในขณะนี้ มีแต่ความเย็นชาอำมหิตราวกับว่าเยว่เว่ยหยางได้แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน

 

 

นี่คือเสียงแห่งความศักดิ์สิทธิ์

 

 

เสียงที่สมควรอยู่บนสวรรค์

 

 

ไม่สมควรอยู่บนโลกมนุษย์

 

 

มวลอากาศปั่นป่วน

 

 

“เจ้าปีศาจร้ายจงตายไปซะ!”

 

 

บนแผ่นหลังของเยว่เว่ยหยาง ปีกกระบี่ทั้งสามคู่กำลังกระพือพัดอย่างแรง

 

 

วูบ!

 

 

มวลอากาศเกิดการระเบิดตัว

 

 

กระบี่สีเงินเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของนักบวชสาว นางโผพุ่งกายเข้าไปประชิดตัวศัตรูอย่างรวดเร็ว

 

 

“นับว่าน้องสาวช่างเล่นแรงนัก…” มนุษย์ดินเหนียวหัวเราะในลำคอ ก่อนระเบิดพลังลมปราณ แล้วปีกสามคู่ก็งอกออกมาจากแผ่นหลังของนางเช่นกัน!

 

 

แต่มันเป็นปีกที่มีขนนกสีดำแดง พร้อมด้วยพลังแฝงไหลเวียนแปลกประหลาด

 

 

ครืน!

 

 

ปีกขนนกกระพือพัดปล่อยพลังลมปราณที่อยู่ในระดับยอดปรมาจารย์ตอนปลายออกมาทันที

 

 

ในขณะนี้ หญิงสาวทั้งสองนางเหมือนกลายเป็นนกอินทรีคู่หนึ่ง ฝ่ายหนึ่งมีสีขาว อีกฝ่ายหนึ่งมีสีดำ พวกนางหมุนวนในอากาศพร้อมกับปะทะกระบี่อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน การต่อสู้ดำเนินไปด้วยความเร็วระดับลำแสง ไม่มีผู้ใดที่รับชมการต่อสู้เห็นมากไปกว่าเงาพร่าเลือนอีกแล้ว!

 

 

ด้วยความรวดเร็วระดับนี้ แม้แต่ผู้มีพลังระดับยอดปรมาจารย์ตอนปลายก็ยังมองไม่ทันเช่นกัน

 

 

เพราะฉะนั้น สำหรับผู้คนที่เป็นชาวบ้านธรรมดา จึงรับชมการต่อสู้ระหว่างเยว่เว่ยหยางกับคู่ต่อสู้ไม่รู้เรื่องอีกแล้ว

 

 

ทุกคนได้แต่แสดงสีหน้าสับสนให้กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

 

 

ถึงแม้ความจริงจะเปิดเผยว่าคู่ต่อสู้ฝ่ายตรงข้ามจะไม่ใช่มือกระบี่เทพปฐพีตัวจริง แต่ระดับพลังนั้นเล่า หาได้น่ากลัวน้อยกว่ามือกระบี่เทพปฐพีตัวจริงไม่ มิหนำซ้ำ ยังมีพลังลมปราณสีดำทมิฬที่ดูแปลกประหลาดอีกด้วย

 

 

แต่ถ้าสามารถใช้งานในค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์ได้โดยไม่มีปัญหา ก็คงไม่ใช่พลังปราณปีศาจหรอกกระมัง

 

 

มันคงเป็นเพียงพลังปราณชนิดหายากที่น้อยคนนักจะมี

 

 

และสำหรับเยว่เว่ยหยาง…

 

 

นางไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับผู้คนที่ศรัทธาในวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่ง

 

 

ในระหว่างที่นักบวชสาวเดินทางไปศึกษาต่อยังวิหารหลวง ชื่อเสียงของเยว่เว่ยหยางก็โด่งดังมากขึ้นด้วยความสามารถและรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นเกินใคร ว่ากันว่าเด็กสาวถูกวางตัวให้เป็นนักพรตเทวะในอนาคตแล้วด้วยซ้ำ

 

 

แต่ไม่มีสิ่งใดจะได้รับความสนใจมากไปกว่าหน้าตาที่สวยงามสมบูรณ์แบบของนางอีกแล้ว

 

 

ดังนั้น ชาวเมืองจึงคิดไม่ถึงเลยว่าเยว่เว่ยหยางจะมีพลังสูงส่งถึงเพียงนี้

 

 

นางมีอายุเท่าไหร่กัน กลับมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย?

 

 

นี่มันขอบเขตพลังเดียวกับหัวหน้านักบวชประจำวิหารเลยไม่ใช่หรือ?

 

 

ทันใดนั้น กลุ่มคนดูก็ต้องตกตะลึงแทบลืมหายใจ

 

 

เพราะการต่อสู้ในเขตสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่สามดำเนินมาถึงขั้นที่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของทุกคน

 

 

ด้วยการต่อสู้ระดับนี้ แม้จะมีผู้คนมาชมดูถ่ายทอดสดอยู่รอบตัวภูเขาเป็นจำนวนมากมายมหาศาล แต่มีน้อยคนนักที่จะสามารถมองออกว่า การต่อสู้ดำเนินไปด้วยความอันตรายและดุเดือดขนาดไหน

 

 

คุณชายเหลียนซานเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ

 

 

“พลังศักดิ์สิทธิ์เลื่อนระดับขึ้นมาถึงขั้นนี้แล้วหรือ…”

 

 

“นอกเหนือความคาดหมายของพวกเราจริงๆ”

 

 

“โชคดีที่นางมารผู้นั้นปรารถนาจะเข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ มิฉะนั้นแล้ว หากตัวแทนจากฝ่ายเราเป็นมือกระบี่เทพปฐพี ป่านนี้ก็คงพ่ายแพ้ย่อยยับไปแล้ว”

 

 

คุณชายเหลียนซานก้มหน้ามองการต่อสู้ที่ด้านล่าง

 

 

เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายใต้ค่ายอาคมสนามรบศักดิ์สิทธิ์ทุกจุดได้ถนัดชัดเจน

 

 

เมื่อเห็นว่าเจียงฟานเสียชีวิตไปแล้ว สีหน้าของคุณชายเหลียนซานกลับไม่แสดงความรู้สึกสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย

 

 

“ฮ่าฮ่า…”

 

 

“นับว่าโชคชะตาเล่นตลกกับพวกเจ้าแล้ว ต่อให้พวกเจ้าเป็นฝ่ายชนะทั้งหมด คิดหรือว่าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้?”

 

 

 

 

“ตัวตลก ไม่ทราบว่าเจ้ากำลังหัวเราะเรื่องอะไรอยู่?” หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ชุดเทาพยักหน้าส่งสัญญาณบอกลูกน้องพร้อมกับเดินเข้าไปตะโกนใส่ฉุยหมิงโหลวด้วยความเกรี้ยวกราด “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเราเป็นใคร?”

 

 

ฉุยหมิงโหลวมีใบหน้าซีดขาว

 

 

ฉู่เหินที่ยืนอยู่ด้านข้างส่งเสียงหัวเราะเยาะ ตอบกลับมา “เราไม่ทราบว่าสุนัขข้างถนนอย่างพวกเจ้าเป็นใคร แล้วก็ไม่สนใจที่จะรู้ด้วย แต่ถ้าเจ้ากล้ามาแตะต้องคนของสถานศึกษากระบี่ที่สาม อย่าหาว่าข้าทำอะไรรุนแรงเกินไปก็แล้วกัน”

 

 

“สามหาวนัก”

 

 

หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ชุดเทาระเบิดเสียงคำราม “ข้าคือหัวหน้าองครักษ์ประจำตัวท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อัน วันนี้ข้าได้รับคำสั่งให้มาจับกุมตัวคน เจ้าเป็นเพียงอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียนบ้านนอก กล้าดีอย่างไรถึงขัดขวางพวกข้า? หรือว่าเจ้าอยากตาย?”

 

 

เพียงยกมือข้างหนึ่งขึ้นเหนือศีรษะ

 

 

กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดสีเทาหลายสิบคนก็นำธนูออกมาประทับลูกศร และพร้อมใจกันเล็งเป้าหมายไปที่พวกของฉุยหมิงโหลวเป็นจุดเดียว

 

 

จิตสังหารแผ่ออกมาจากร่างกาย

 

 

ฉู่เหินยิ้มมุมปาก ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเตรียมต่อสู้ พูดว่า “เก่งจริงก็ลองยิงดูสิ”

 

 

หลิวฉีไห่กับพานเว่ยหมินก็แผ่พลังลมปราณออกมาแล้วเช่นกัน

 

 

นี่คือพลังของผู้ที่อยู่ในระดับยอดปรมาจารย์

 

 

เจ้าพวกทหารจากต่างเมืองเหล่านี้ ไม่รู้เสียแล้วว่ากำลังพบเจออยู่กับใคร

 

 

แต่บรรดาคณะอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามไม่รู้เลยว่า ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันได้ออกคำสั่งเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าการตรวจสอบวิหารในวันนี้ พวกเขาจะต้องฆ่ากวาดล้างผู้คนบนวิหาร รวมถึงตัดหัวหลินเป่ยเฉินกลับไปเคารพหลุมศพบุตรชายของเขาให้ได้…

 

 

วันนี้ หากวิหารเมืองหยุนเมิ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ก็จะต้องมีคนเสียชีวิตมากมาย

 

 

รวมถึงพวกของฉู่เหินด้วยเช่นกัน

 

 

แต่ถึงแม้บรรดาคณะอาจารย์จะไม่รู้เจตนาของท่านอ๋อง ทว่าก็มีเรื่องหนึ่งที่พวกเขาตระหนักเป็นอย่างดี

 

 

สถานการณ์ในขณะนี้ ความหวังช่างเลือนราง

 

 

พวกเขาเตรียมตัวเผชิญหน้าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอยู่แล้ว

 

 

ดังนั้น กลุ่มชายชราจึงไม่คิดไว้หน้าท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันอีกต่อไป

 

 

เมื่อพลังกดดันแผ่ออกมาจากร่างกายของอาจารย์อาวุโสทั้งสามท่าน เม็ดเหงื่อพลันผุดพราวขึ้นมาบนหน้าผากของหัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ชุดเทาทันที

 

 

เกิดอะไรขึ้น?

 

 

ทำไมอาจารย์ในสถานศึกษาบ้านนอก ถึงมีพลังสูงส่งเช่นนี้?

 

 

มือที่ชูขึ้นสูงของชายฉกรรจ์ยังคงค้างอยู่ในอากาศ ไม่กล้าสับลงมาเป็นสัญญาณให้ยิงธนู

 

 

เพราะนี่เป็นเพียงลูกธนูที่สามารถทำอันตรายได้แค่กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์เท่านั้น

 

 

แต่พวกมันไม่ระคายผิวผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์อย่างชายชราทั้งสามคนนี้

 

 

ถ้าเกิดเขาออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชายิงธนู ชายชราทั้งสามคนก็ต้องระเบิดพลังตอบโต้กลับมา เมื่อถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่ท่านอ๋องจะตกอยู่ในอันตราย เกรงว่าแม้แต่ชีวิตของพวกเขาเอง ก็คงยากที่จะอยู่รอดอีกต่อไป

 

 

ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันนั่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น

 

 

ท่านอ๋องหันไปออกคำสั่งอะไรบางอย่างกับคนขับรถม้าผู้สวมหมวกคลุมศีรษะ ซึ่งขณะนี้เดินไปนั่งพักอยู่บนเกวียนบรรทุกกรงขังอันว่างเปล่า

 

 

คนขับรถม้ากระโดดลงมาจากเกวียนและย่างสามขุมตรงเข้าไปหาพวกของฉู่เหิน

 

 

ฉู่เหินเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย

 

 

เขารู้สึกเหมือนเคยพบเจอคนขับรถม้าคนนี้ที่ไหนมาก่อน โดยเฉพาะพลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายฝ่ายตรงข้าม บอกชัดว่าคนขับรถม้ามีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์เช่นกัน

 

 

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

 

 

ต่อให้ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันจะไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยเขาก็มีเชื้อสายราชวงศ์ เหล่าคนรับใช้ที่อยู่ข้างกาย ย่อมปราศจากคนธรรมดา

 

 

คนขับรถม้าหยุดยืนอยู่ห่างจากคณะอาจารย์อาวุโสประมาณสิบวา

 

 

เขาดึงหมวกคลุมศีรษะของตนเองลงมา

 

 

เปิดเผยให้เห็นถึงใบหน้าราบเรียบเหมือนแผ่นหิน

 

 

คนขับรถม้าเอียงศีรษะเล็กน้อย พยักหน้าไปยังกรงขังที่อยู่บนเกวียนด้านหลังและพูดว่า “ท่านอ๋องให้ข้ามาถามพวกเจ้าว่าจะเข้าไปในนั้นเอง หรือจะให้ข้าโยนศพของพวกเจ้าเข้าไป”