เมื่อเอ่ยออกไปเช่นนี้แล้ว บรรยากาศภายในห้องพลันเงียบสงัดทันที ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินชิ่งตี้เริ่มกลายเป็นสีแดง
ในขณะที่เจินจิ้งตกใจจนหน้าถอดสีไปนั้น เสื้อของนางพลันเกี่ยวไปโดนถ้วยสุรา ถ้วยสุราเคลือบสีฉลุลายประณีตวิจิตรกลิ้งตกลงไปอยู่ที่เท้าของเฉินชิ่งตี้และโดนเขาเหยียบเอาไว้โดยสัญชาตญาณ
สาวใช้สองคนที่คอยรับใช้อยู่ในห้องสีหน้าซีดเผือด พลันคุกเข่าลงกับพื้น หนึ่งในนั้นคือเฉี่ยวหรงผู้ที่เป็นคนพูดก่อนหน้านั้น
สาวใช้ทั้งสองหมอบลงกับพื้น ศีรษะของนางก้มต่ำ ร่างกายของพวกนางสั่นเทา ในใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกหมดหวัง
พวกนางเป็นคนเก่าแก่ในวังหลวง ชีวิตในทุกๆ วันของพวกนางคล้ายการลุยน้ำลุยไฟ หรือการยืนอยู่ริมหน้าผาที่หากพวกนางไม่ระวังร่างกายของนางอาจแหลกละเอียดไปในที่สุด
อยู่ในวังหลวง ยิ่งรู้เรื่องราวน้อยเท่าไหร่ ยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น ตอนนี้เมื่อพวกนางได้ยินคำพูดที่ถึงชีวิตเช่นนี้แล้ว เกรงว่าจะไม่อาจรักษาชีวิตของพวกนางเอาไว้ได้ต่อไปอีก
เมื่อเฉี่ยวหรงคิดได้ดังนี้ นางพลันเงยหน้าขึ้นมาแล้วจ้องเขม็งไปที่เจินเมี่ยวอย่างอาฆาต
นางคิดไม่ถึงว่าเจินเมี่ยวจะเหลือบมองมาทางนางในตอนนั้นพอดี เมื่อสบตากับนางแล้วพลันเห็นว่าปากนางกำลังอมยิ้ม
เฉี่ยวหรงตะลึงงัน ตอนนั้นเองนางถึงเข้าใจว่าเซี่ยนจู่ผู้นี้ตั้งใจทำเช่นนี้!
ทว่าเหตุใดนางจึงกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าฝ่าบาท ต่อให้ฝ่าบาทไม่ลงโทษนาง นางก็ควรกลัวบ้างว่าหากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไปจะทำให้นางเสียชื่อเสียง?
เจินเมี่ยวหันกลับไปมองเฉินชิ่งตี้เพียงผู้เดียว
นางคิดเอาไว้แต่แรกแล้วจริงๆ ว่าจะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ ถึงอย่างไรนางก็ได้รู้ความลับที่ไม่ควรรู้อย่างยิ่งไปแล้ว จะต้องมาอับอายต่อหน้าเขาแล้วปล่อยให้เรื่องนี้กลายเป็นเข็มทิ่มแทงนางลึกเข้าไปเรื่อยๆ เช่นนั้นหรือ
นางต้องถามให้รู้แล้วรู้รอดไป และต้องถามต่อหน้าเจินจิ้งด้วย!
ส่วนสาวใช้ทั้งสองคนนั้น ฮ่าๆ อยากหาเรื่องตนแทนเจ้านายของตัวเองดีนัก เช่นนั้นก็ให้เจ้านายของพวกนางไปช่วยออกจากคุกเอาเองก็แล้วกัน นางมิใช่ซาลาเปาที่ผู้ใดจะกัดนางเมื่อไหร่ก็ได้สักหน่อย
“จยาหมิง เจ้ากำลังพูดจาเหลวไหลอะไรกัน” เฉินชิ่งตี้เอามือลูบศีรษะอย่างเหลืออดและด้วยความอดทนที่ตนไม่คิดว่าเคยมี
เมื่อครู่เขาเอาสุราพิษลองใจนาง นางกลับเลือกความตาย เช่นนั้นแล้วเขาจะทำอย่างไรได้อีก หรือว่าต้องจัดการให้ถึงแก่ความตายจริงๆ?
เนื่องจากความเศร้าโศกที่เกิดจากการจากไปของเจินไท่เฟย ทำให้เฉินชิ่งตี้คิดออกแต่วิธีเช่นนี้ และเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับเจินเมี่ยวในขณะที่เขากำลังกลัดกลุ้มเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาไม่รู้ว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี
เขาไม่รู้ว่าตนเองเปลี่ยนใจไปแล้วหรือไม่ เพียงแค่เมื่อเขาได้เห็นใบหน้าของผู้ที่มีใบหน้าคล้ายไท่เฟย เขาก็ไม่อาจใจแข็งได้ต่อไป
เจินจิ้งสังเกตเห็นอากัปกิริยาทั้งหมดของเฉินชิ่งตี้เช่นนี้พลันร้อนใจ นางกลัวว่าเจินเมี่ยวจะเอ่ยอะไรออกไปอีก จึงดึงแขนเสื้อของนางเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “น้องสี่ อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท พูดจาเหลวไหลเช่นนี้ได้อย่างไร”
เจินเมี่ยวเอามือของตนวางไว้บนมือของเจินจิ้ง จากนั้นผลักมือนั้นออกไปอย่างแรง ทำเอากุ้ยเฟยผู้บอบางโซเซ
เจินจิ้งเดาได้แต่แรกแล้วจึงส่งเสียงร้อง ‘โอ๊ย’ แล้วล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้นจึงกุมข้อเท้าเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความเจ้าเล่ห์ของนาง นางยังขมวดคิ้วแล้วแสร้งทำเป็นหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรงอย่างน่าสงสารที่ทำให้ผู้พบเห็นต้องเห็นใจ
“พระสนม…” สาวใช้ทั้งสองรีบพุ่งเข้าไปประคองนาง
เฉินชิ่งตี้หันไปมองคราหนึ่งแล้วหันกลับไปถามเจินเมี่ยวว่า “ร่างกายดีขึ้นบ้างหรือยัง ยังไม่สบายตรงไหนหรือไม่ พักผ่อนเยอะๆ เถิด พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปส่งเจ้าแต่เช้า อย่าเอาแต่คิดเรื่องไร้สาระเช่นนี้เลย”
เจินจิ้ง…
นางโกรธจนตัวสั่น เหตุใดถึงไม่ทำทุกอย่างให้เหมือนอย่างคนปกติธรรมดาบ้างเล่า!
ฝ่าบาทแย่งภรรยาของขุนนางก็แย่แล้ว แถมยังลงมืออย่างอุกอาจเช่นนี้อีก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน นางจะไปฟ้องไท่โฮ่ว!
มิได้ ไท่โฮ่วเป็นป้าแท้ๆ ของจ้าวเฟยชุ่ย ส่วนตัวนางก็ไม่ถูกกับเจ้าเฟยชุ่ยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งนางพยายามขัดขวางมากเท่าไหร่ เจ้าเฟยชุ่ยก็ยิ่งสะใจ หากนางรู้ นางอาจจะช่วยให้คนทั้งสองมีโอกาสแอบพบกันอีกก็เป็นได้
เมื่อคิดว่าตัวเองมีจักรพรรดิเช่นนี้แถมยังมีหวงโฮ่วเช่นนั้น เจินจิ้งรู้สึกว่าวันเวลาของนางคงจะผ่านไปได้อย่างยากลำบากเสียแล้ว
เจินเมี่ยวกลับไม่อยากปล่อยเรื่องไปเช่นนี้ จึงเชิดคางขึ้นแล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “หม่อมฉันไม่ได้เหลวไหลเพคะ”
นางชี้ไปที่เฉี่ยวหรงที่กำลังประคองเจินจิ้ง “สาวใช้ผู้นี้เป็นคนพูดเพคะ แถมยังบอกอีกว่ากุ้ยเฟยกลัวว่าหากหม่อมฉันรู้ความจริงเข้าจะคิดมาก เช่นนั้นหม่อมฉันขอถามฝ่าบาทต่อหน้ากุ้ยเฟยตรงนี้เลยว่า หม่อมฉันทำเรื่องอะไรผิดหรือ หรือว่าฝ่าบาททำเรื่องอะไรที่ผู้อื่นไม่อาจล่วงรู้ได้หรือ หม่อมฉันถึงจะต้องคิดมาก”
“หุบปาก!” เฉินชิ่งตี้ทั้งโกรธทั้งสุดจะทน “จยาหมิง เจ้าเป็นสตรี คำพูดเช่นนี้พูดส่งเดชได้หรือ”
เมื่อเขาเอ่ยจบก็ส่งสายตาคมกริบไปที่เฉี่ยวหรง “คำพูดพวกนี้ เจ้าเป็นคนพูดให้เซี่ยนจู่ได้ยินหรือ”
เฉี่ยวหรงสังเกตเห็นมานานแล้วว่าเฉินชิ่งตี้มีความอดทนต่อเจินเมี่ยวมากกว่าปกติธรรมดา ร่างกายของนางจึงทรุดฮวบลงกับพื้น แล้วเอ่ยอ้อนวอนว่า “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต ต่อให้บ่าวกล้าหาญเทียมฟ้า บ่าวก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้เพคะ! ฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมด้วยเพคะ!” เมื่อเอ่ยจบก็โขกหัวลงกับพื้น
หัวใจของเจินจิ้งขึ้นมากระจุกอยู่ที่คอ จากนั้นนางจึงค่อยๆ ถอนใจ พลางคิดในใจว่าน้องสี่เจินช่างโง่เขลานัก คนในตำหนักนี้ล้วนเป็นคนของนาง ขอเพียงพวกนางตอบเป็นเสียงเดียวกัน นางจะมีหลักฐานอะไรได้ หรือนางคิดว่าแค่คำพูดเพียงอย่างเดียว ฝ่าบาทจะยอมเชื่อคำพูดของนาง ไม่แน่อาจจะคิดว่านางคิดเองเออเองเพื่อใส่ร้ายคนอื่นด้วยซ้ำ
“เจ้ากำลังบอกว่า จยาหมิงเซี่ยนจู่ใส่ร้ายเจ้าหรือ” เฉินชิ่งตี้หรี่ตาลง
เฉี่ยวหรงไม่กล้าพยักหน้า นางเพียงหันไปสบตากับเจินเมี่ยวคราหนึ่ง ท่าทางของนางบ่งบอกทุกอย่างออกมา
เฉินชิ่งตี้หัวเราะอย่างไร้อารมณ์ “น่าขัน เจ้าคิดว่าเจ้าคือผู้ใดหรือ เซี่ยนจู่ถึงคิดจะใส่ร้ายเจ้า”
“ฝ่าบาท…” ดวงตาของเจินจิ้งมีน้ำตาคลอ คำพูดของนางตีบตัน
นั่นคืออาการเตือน ฝ่าบาท คนที่น้องสี่เจินคิดจะใส่ร้ายแน่นอนว่าไม่ใช่สาวใช้เล็กๆ คนหนึ่ง แต่เป็นเจ้านายของพวกนางอย่างหม่อมฉันต่างหาก!
เหตุผลชัดเจนขนาดนี้ ฝ่าบาทไม่มีทางคิดไม่ได้แน่!
เฉินชิ่งตี้มองไปยังเจินจิ้งอย่างไร้อารมณ์แล้วเอ่ยปากว่า “ไม่ต้องเตือนข้าหรอก ข้าย่อมรู้แน่ว่าคำพูดนี้เป็นเจ้าที่ต้องการให้จยาหมิงได้ยิน!”
แน่นอนว่าเขารู้เรื่องที่สองพี่น้องคู่นี้ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่นัก แต่ที่เขาตัดสินใจให้จยาหมิงมานอนพักที่นี่สักคืนเพื่อไม่ให้เรื่องน่าสงสัยและตกเป็นขี้ปากของคนอื่น จากนั้นจะส่งนางกลับในวันรุ่งขึ้น เขาพยายามระงับอารมณ์เพราะเรื่องราวถือว่าผ่านไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนสร้างเรื่องให้เขาขึ้นมาอีก!
เฉินชิ่งตี้ผู้ที่รู้สึกรำคาญและกลัดกลุ้มใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นจึงไม่อาจไว้หน้าพระสนมได้อีกต่อไป
เจินจิ้งคิดว่าตัวเองฟังผิดไป จึงมองไปทางเฉินชิ่งตี้อย่างไม่อยากเชื่อตัวเอง
“กุ้ยเฟย เจ้าพยายามให้จยาหมิงเข้าใจข้าผิด นี่เจ้าคิดจะทำอะไรอยู่หรือ” เฉินชิ่งตี้ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
เจินจิ้งถอยหลังหนีโดยสัญชาตญาณ แล้วส่ายหัวเอ่ยว่า “หม่อมฉันเปล่า…”
นางรีบส่งสายตาไปที่เฉี่ยวหรงอย่างรวดเร็ว
ตอนแรกเฉี่ยวหรงเพียงตกใจ จากนั้นสีหน้าของนางก็เริ่มซีดเผือด จึงโขกหัวคารวะ “ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพระสนมนะเพคะ เป็นบ่าวเองที่ขี้สงสัยจึงหลุดปากพูดไปเช่นนั้น คิดไม่ถึงเลยว่าเซี่ยนจู่จะได้ยินเข้าพอดี…” คำพูดต่อจากนั้นไม่หลุดออกมาอีก เนื่องจากสายตาของเฉินชิ่งตี้จ้องมาที่นางอย่างไม่ปรานี
“ทหาร นำสาวใช้ทั้งสองออกไปตัดลิ้น แล้วเอาไปอยู่ที่เรือนซักล้าง”
ในเวลาอันสั้น หยางกงกงเดินนำขันทีกลุ่มหนึ่งเข้ามา แล้วมัดปากสาวใช้ทั้งสองอย่างเรียบร้อยและแบกออกจากห้องไป
ในห้องจึงเหลือเพียงคนสามคนเท่านั้น เฉินชิ่งตี้มองไปที่เจินจิ้งแล้วเอ่ยด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “กุ้ยเฟย เราคือใคร”
“ฝ่าบาท…คือจักรพรรดิเพคะ…” ใบหน้าเจินจิ้งซีดขาวไร้โลหิตหล่อเลี้ยง จากนั้นพลันรู้สึกขึ้นมาว่าความเข้าใจของนางในตัวเฉินชิ่งตี้ไม่ได้มากอย่างที่ตัวเองเคยเข้าใจมาก่อน
เฉินชิ่งตี้อมยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เราคิดว่า เจ้าคิดว่าเราคือตัวตลกเสียอีก”