ตอนที่ 460 การแต่งงานของคุณชายรองหลัว

วาสนาบันดาลรัก

“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้…” สีหน้าของเจินจิ้งหมองคล้ำ นางไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเวลาที่อยู่ต่อหน้าน้องสี่เจิน จิตใจของฝ่าบาทถึงเปลี่ยนแปลงไปได้เช่นนี้

 

 

เฉินชิ่งตี้เหลือบมองเจินจิ้งอย่างเหลืออดแล้วเอ่ยว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอให้กุ้ยเฟยเก็บตัวทบทวนเรื่องราวอยู่ในตำหนักฉงหวา เมื่อใดที่เข้าใจกฎระเบียบแล้วค่อยออกไปข้างนอก!”

 

 

“ฝ่าบาท!” ร่างกายของเจินจิ้งไร้เรี่ยวแรงทรุดฮวบลงกับพื้น

 

 

เฉินชิ่งตี้ไม่สนใจหันไปมองนางแม้แต่น้อย แต่เอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “จยาหมิง เจ้าตามเรามา”

 

 

เมื่อทั้งสองเดินมาถึงทางเดินยาว เฉินชิ่งตี้ก็หยุดเดินแล้วมองไปที่เจินเมี่ยว

 

 

“จยาหมิง วันนี้…เราควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่วันหลังจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว”

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าของเจินเมี่ยวเย็นชา จึงหัวเราะเย็นๆ แล้วเอ่ยว่า “สรุปก็คือ ต่อไปเราก็จะยังคงเป็นเสด็จพี่ของเจ้า เวลาล่วงเลยมามากแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้เช้าเราจะส่งตัวเจ้ากลับไป”

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เจินเมี่ยวหลุบสายตาลงแล้วทำความเคารพอย่างรู้พิธีรีตอง

 

 

เฉินชิ่งตี้ถอนหายใจเบาๆ โดยไม่ได้หันกลับไปมอง จากนั้นจึงก้าวเท้ายาวๆ เดินห่างออกไปจนร่างของเขาหายเข้าไปในความมืดที่ปกคลุมอยู่

 

 

ตอนนั้นเจินเมี่ยวถึงจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปยังทิศทางที่เขาหายตัวไป พลางคิดในใจว่า หากรู้แต่แรก จะมีเหตุการณ์ตอนนั้นหรือ หากรู้จักแยกแยะผิดถูก ไท่เฟยจะเดินไปสู่หนทางแห่งความตายได้อย่างไร

 

 

เมื่อนางคิดเช่นนี้ ความสงสารในใจของนางพลันมลายหาย เหลือเพียงความคิดที่จะเคารพและมองเขาอยู่ห่างๆ เท่านั้น

 

 

ความสุขของนางนั้นเล็กน้อยและธรรมดานัก ส่วนโอรสสวรรค์นั้นมีอำนาจของยิ่งใหญ่และเอาแต่ใจ จนสามารถทำลายแผนการที่นางตั้งใจเอาไว้พังทลายไปได้ทั้งหมด

 

 

นางหวังว่าคนเช่นนี้ ยิ่งหนีจากเขาได้ไกลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

 

 

คืนนั้น ไม่รู้ว่ามีคนสักกี่คนที่นอนไม่หลับกระสับกระส่ายด้วยใจว้าวุ่น

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวตื่นขึ้นมาแล้วเห็นเพียงความมืด นางจึงสั่งให้สาวใช้ที่เฝ้านางอยู่ไปต้มไข่ไก่ให้นาง เมื่อปอกเปลือกแล้วก็นำมากลิ้งใต้ตาของตน จากนั้นจึงใช้แป้งทาทับอีกที เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางไม่ได้ไปกล่าวลาเจินจิ้ง แต่ตรงไปยังตำหนักของไท่โฮ่วเลย ตอนนั้นจ้าวเฟยชุ่ยอยู่ที่นั่นด้วยพอดีจึงถือโอกาสกล่าวอำลานางไปด้วยแล้วออกจากวังหลวงไป

 

 

ก่อนที่จะขึ้นเกี้ยว เจินเมี่ยวหันกลับมามองกำแพงที่ทำจากทองของวังหลวง ยามต้องแสงอาทิตย์มันส่งประกายระยิบระยับสดใสราวกับปากใหญ่ๆ ของสัตว์ป่าดุร้าย ที่เมื่อเข้าไปแล้วจะไม่เหลือแม้แต่กระดูกทิ้งไว้

 

 

นางตัวสั่นด้วยความหนาวยะเยือก จากนั้นจึงเงยหน้ามองฟ้า

 

 

ตอนนั้นท้องฟ้าฉาบไปด้วยสีฟ้าราวสายน้ำอันสวยสด ก้อนเมฆสีขาวราวปุยนุ่น เจินเมี่ยวถอนลมหายใจยาวแล้วเอ่ยเร่งฝีเท้าคนขับเกี้ยวให้รีบมุ่งไปยังจวนเจิ้นกั๋วกง

 

 

เมื่อกลับถึงจวนแล้ว เจินเมี่ยวมุ่งหน้าไปยังเรือนอี๋อานก่อน

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเจิ้นกั๋วกงดูทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังดูพอมีเรี่ยวแรงอยู่พอสมควร หลังจากมองเจินเมี่ยวอยู่พักใหญ่จึงถอนใจแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู “หลานสะใภ้ เมื่อวานนี้คนในวังออกมาส่งข่าวว่าเจ้าไม่สบายจึงขอพักอยู่ที่นั่นก่อน ข้าตกใจแทบแย่ ดูสีหน้าของเจ้าตอนนี้ก็ยังไม่ดีนัก เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ไท่เฟยก็ได้จากไปแล้ว ย่าขอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดหน่อยเถิด ในวังหลวงการมีจุดจบเช่นนี้ถือว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว”

 

 

“เป็นความผิดของหลานสะใภ้เองเจ้าค่ะที่ทำให้ท่านย่าไม่สบายใจ” เจินเมี่ยวรู้สึกละอายใจและรู้สึกสงสารเจินไท่เฟย แต่น่าเสียดายที่สาเหตุของเรื่องนี้ไม่อาจบอกให้ผู้ใดล่วงรู้ได้

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าดึงนางให้ลุกขึ้นแล้วยิ้ม “เหตุใดต้องมากพิธีด้วย กลับมาเร็วเช่นนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว พอเสียงเกอกับอี้เกอไม่เห็นเจ้าก็งอแงทั้งคืน”

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวได้ยินดังนั้นก็เริ่มนั่งไม่ติด

 

 

เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเห็นดังนั้นจึงยิ้ม “เด็กทั้งสองอยู่ห่างเจ้าไม่ได้เลย เพราะเจ้าเป็นคนให้นมพวกเขาเอง พอเด็กๆ ไม่เห็นเจ้ามากล่อมเข้านอน เมื่อคืนจึงงอแงกันยกใหญ่จึงให้นอนกันที่เรือนของข้า หงฝู เจ้ามาพาต้าไหน่ไหน่ไปหน่อย”

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวออกไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงหันมาเอ่ยกับแม่นมหยางว่า “ไม่รู้เลยว่าการเข้าวังของหลานสะใภ้ครั้งนี้พบเจอเรื่องราวอะไรมาบ้าง”

 

 

แม่นมหยางอายุยืนดังนั้นจึงเป็นที่นับถือในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่า แม่นมที่นั่งอยู่เมื่อได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยดังนี้พลันตกใจจึงเอ่ยหยั่งเชิง “ฮูหยินผู้เฒ่า…”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้ม “นางกลับมาได้อย่างปลอดภัยเช่นนี้นับว่าสำคัญที่สุดแล้ว”

 

 

นางถอนใจ “เด็กทั้งสองอายุสามขวบแล้ว สามีภรรยาคู่นี้มีโอกาสอยู่ด้วยกันน้อยมาก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีหลานเพิ่มให้ข้าได้อีก”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างปวดหัวว่า “ก่อนหน้านี้ที่ให้ไปสืบเรื่องลูกสาวของหันหลังแห่งกรมพระคลังเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

แม่นมหยางส่ายหน้าแล้วเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ฮูหยินสามได้ส่งพี่สะใภ้ไปลองถามดูแล้ว เมื่อรู้ว่าเป็นคุณชายรองก็ปฏิเสธเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่านวดขมับตัวเองแล้วถอนใจ “เรื่องการแต่งงานของเจ้ารองยากจะจัดการยิ่ง”

 

 

“แม้ว่าจะผ่านมาสี่ห้าปีแล้ว แต่ข่าวลือพวกนั้นยังคงส่งผลต่อคุณชายรองค่อนข้างมาก แม้ว่าหันหลังจะตำแหน่งไม่สูงนักแต่ก็เป็นถึงขุนนางจิ้นชื่อ จึงให้ความสำคัญกับชื่อเสียงค่อนข้างมาก”

 

 

เรื่องที่คุณชายรองหลัวแอบชอบอนุของบิดาตัวเอง แม้ว่าจะถูกปกปิด แต่ช่วงก่อนที่เขาจะสอบ เขาถูกจับถอดกางเกงล่อนจ้อน ผู้คนจึงเห็นรอยปานของเขา ข่าวจึงแพร่สะพัดออกไปว่าเขาถูกโจรข่มขืนแถมยังโทษว่าเป็นน้องชายฝาแฝดของตัวเอง ซึ่งถือเป็นการดูถูกตำแหน่งซื่อหลิน

 

 

 

 

เท่านี้ยังไม่พอ เนื่องด้วยตระกูลเถียนเสื่อมสลาย ในฐานะที่ตัวเองเป็นยายแต่ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือคุณชายรองหลัวได้ เมื่อนางเถียนจากโลกไปแล้ว ท่าทางของนายท่านรองหลัวแสดงออกว่าต้องการเป็นคนว่างงานอยู่เช่นนั้นไปจนแก่

 

 

หลายปีมานี้นางได้แต่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เหล่าขุนนางไม่ใช่คนโง่จึงพยายามขัดเกลาให้หลัวเทียนเฉิงแข็งขืนกับบ้านรองตระกูลหลัว ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ใช้ชื่อว่าคุณชายจากจวนกั๋วกงก็คงไม่มีตระกูลใดยอมยกลูกสาวให้อยู่ดี

 

 

“หากตอนนั้นคุณชายรองร่วมสอบจอหยวนด้วยและสอบเป็นจิ้นซื่อได้ ไม่แน่เรื่องราวอาจง่ายกว่านี้”

 

 

เรื่องนี้หมายถึงช่วงเวลาที่คุณชายรองหลัวผ่านการไว้อาลัยมาแล้ว ตอนนั้นก็ตรงกับการสอบจอหยวนจิ้งเจ๋อปีที่สิบเจ็ดพอดี

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเม้มปากแน่น “แม้ว่าเจ้ารองจะสร้างบ้านอยู่เฝ้าหลุมศพตระกูลเถียนถึงสามปี แต่เท่าที่ข้าเห็น ความอาฆาตในดวงตาของเขายังไม่หายไป จะเป็นขุนนางได้ต้องเป็นคนดีให้ได้ก่อน มิเช่นนั้นหากไม่มีคุณธรรมแต่มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยิ่งทำเรื่องชั่วร้ายใหญ่โตมากเท่านั้น”

 

 

การสอบจอหงวนปีนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้สั่งให้คนนำของบำรุงร่างกายไปให้เขา เมื่อคุณชายรองหลัวดื่มเข้าไปจึงไข้ขึ้นในคืนนั้น ทำให้ไปสอบไม่ทัน ตอนนี้เมื่อเขาแต่งงานไม่ได้เสียที แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าย่อมรู้สึกเสียใจเช่นกัน

 

 

ตอนนี้ในความคิดของเหล่าไท่ไท่ จวนกั๋วกงมีฐานะสูงเพียงพอแล้ว สมบัติก็มากมาย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องสอบขุนนางเพื่อยกตัวเองให้ดีมากไปกว่านี้อีกแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหลานของตนต้องมีศีลธรรมพึ่งพาได้ นั่นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

 

 

แต่ความพยายามในสามปีที่ผ่านมาของคุณชายรองหลัว ไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำให้เขาควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เท่านั้น แต่ยิ่งทำให้ความชั่วร้ายในใจของเขาก่อตัวมากขึ้นอีก ตัวเขาคิดว่าคงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่เรื่องอะไรบ้างที่สามารถปิดบังฮูหยินผู้เฒ่าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปีได้

 

 

หลานเช่นนี้ นางขอกักตัวเขาเอาไว้ให้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านดีกว่า นางไม่มีทางปล่อยให้เขาทำเรื่องชั่วร้ายได้สำเร็จ

 

 

แต่ไม่ว่าจะพยายามกักตัวเขาไว้อย่างไร ตอนนี้คุณชายรองหลัวก็มีอายุยี่สิบสี่ปีแล้วจึงไม่สามารถผัดผ่อนเรื่องการแต่งงานออกไปได้อีก

 

 

“ไปตามนางไช่มา”

 

 

นางไช่เป็นภรรยาคนที่สองของนายท่านรองหลัว ก่อนที่จะเข้าจวนเป็นสมาชิกของตระกูลร่ำรวยที่กำลังตกต่ำ นางนับว่าเป็นสตรีที่มีนิสัยเกรี้ยวกราด

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าชอบนางเพราะว่านางเป็นลูกสาวคนโต ตอนอยู่ที่บ้านเดิม นางเป็นคนที่ช่วยเหลือครอบครัวได้ผู้หนึ่ง

 

 

บ้านรองมีเด็กอายุน้อยค่อนข้างมาก ส่วนเจ้ารองเองก็เป็นคนที่ไร้ความรับผิดชอบ หากแต่งงานกับสตรีที่หัวอ่อนเกินไป เกรงว่าแต่งงานกันไปไม่กี่ปีก็คงจะติดตามนางเถียนไป

 

 

ไม่นานนัก นางไช่ก็มาถึง หลังจากฟังฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยจบแล้วก็ครุ่นคิดเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “จะว่าไปแล้ว พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของบ้านท่านตาของข้า เขามีลูกสาวผู้หนึ่งที่มีนิสัยอ่อนโยน นับว่าเป็นคนที่เหมาะสมคนหนึ่ง เพียงแต่ฐานะอาจไม่สูงมากนัก มีเพียงพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของข้าเท่านั้นที่สอบตำแหน่งจวี่เหริน[1]ได้”

 

 

 

 

——

 

 

 

 

[1]จวี่เหริน ตำแหน่งบัณฑิตผู้สอบราชการผ่านระดับมณฑล