ตอนที่ 461 หลัวเทียนเฉิงกลับเมืองหลวง

วาสนาบันดาลรัก

เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินดังนั้นก็เกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมา “รอให้ถึงวันที่จวนจัดงานชมดอกไม้เมื่อไหร่ พวกเราค่อยเชิญแม่นางคนนั้นมาเที่ยว”

 

 

นี่หมายถึงการมาดูตัวของคนทั้งสอง

 

 

นางไช่ยิ้มแล้วเอ่ยตกปากรับคำ

 

 

ตั้งแต่นางแต่งงานเข้ามา นางมีโอกาสพบหน้าคุณชายรองน้อยมาก จากการเฝ้ามองมาตลอดสองปีนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าค่อนข้างเย็นชากับคุณชายรองมาก

 

 

ตระกูลเดิมของนางนั้นตกต่ำ ดังนั้นนางจึงเคยสัมผัสอารมณ์ด้านต่างๆ ของมนุษย์มามากพอแล้ว และกลับรู้สึกว่าข่าวลือเช่นการโดนโจรข่มขืนนั้น ต่อให้เป็นเรื่องจริงแล้วอย่างไรก็แค่ขายหน้าก็เท่านั้นเอง

 

 

การได้มาซึ่งข้าวของเครื่องใช้เพื่อดำรงชีวิตในแต่ละวันนั้น หน้าตามันช่วยอะไรเสียที่ไหน

 

 

คุณชายรองหลัวเป็นถึงจวี่เหริน ต่อให้เขาไม่สอบต่อแล้ว ขอแค่จวนกั๋วกงช่วยสักเล็กน้อยก็คงจะได้ตำแหน่งขุนนางสักตำแหน่งหนึ่ง แถมยังมีจวนกั๋วกงเป็นที่พึ่งพิงสำคัญ ชีวิตของเขาคงไม่ลำบากมากนัก

 

 

หากหลานสาวแต่งเข้ามาที่นี่ นางจะได้ช่วยเหลือตนได้บ้าง ถือเป็นการได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

 

 

เพียงแต่งานชมดอกไม้ครั้งนี้ ต้องถูกระงับไปเพราะข่าวลือจากทางเหนือ

 

 

หลัวเทียนเฉิงได้รับบาดเจ็บและกำลังจะกลับมาถึงในอีกไม่กี่วัน

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวได้ยินข่าวนี้ก็ตกใจอย่างมากจนนอนฝันร้ายไปหลายวัน จนกระทั่งวันที่นางได้รับข่าวว่าเขาเดินทางมาถึงจุดที่ห่างจากเมืองหลวงไปแค่ร้อยลี้ นางทนรอไม่ไหวจึงบอกกล่าวแก่ฮูหยินผู้เฒ่าแล้วพาชิงใต้กับเหยาหงขี่ม้ามุ่งหน้าออกไปนอกเมือง

 

 

ณ ค่ายทหารชานเมือง ขบวนทหารม้าหยุดลงเพื่อพักผ่อนที่นี่ คุณชายสามหลัวลงจากม้าเป็นคนแรกแล้วเอ่ยสั่งการว่า “เตรียมอาหารที่ดีที่สุด แม้แต่อาหารม้าก็ต้องเตรียมอาหารที่ดีที่สุดเช่นกัน”

 

 

เขาพูดพลางกำเงินยัดใส่ในมือของหัวหน้าค่าย

 

 

หัวหน้าค่ายยินดีอย่างยิ่งจึงรีบสั่งการให้คนไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย

 

 

หลังจากนั้นคุณชายสามหลัวจึงเดินมาหยุดยืนที่รถม้าคันหนึ่งแล้วเลิกม่านขึ้น จากนั้นจึงพยุงชายชุดดำผู้หนึ่งลงมาจากรถ

 

 

คนที่สัญจรอยู่แถวนั้นมีค่อนข้างมาก แต่ด้วยความน่าเกรงขามของขบวนทหารม้า จึงไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากเสียงดัง แต่กลับแอบมองชายชุดดำผู้นั้นด้วยความใคร่รู้

 

 

อายุของเขาราวยี่สิบเจ็ดหรือยี่สิบแปด ร่างกายสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลาของเขากรุ่นไปด้วยกระไอแห่งการฆ่าฟัน ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าจ้องมองหน้าเขาโดยตรง

 

 

เมื่อหัวหน้าค่ายเงยหน้าขึ้นจนเห็นท่าทางของชายชุดดำอย่างชัดเจน ร่างกายของเขาพลันสั่นเทาแล้วรีบก้มลงทำความเคารพ “ท่านแม่ทัพ…”

 

 

หลัวเทียนเฉิงโบกมือพลางยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องมากพิธี ข้าต้องรีบเดินทาง รีบไปเตรียมอาหารให้เรียบร้อยก็พอแล้ว”

 

 

เมื่อเขาเอ่ยจบก็ไม่ได้เดินเข้าไปในห้อง คุณชายสามหลัวประคองเขาเข้าไปนั่งรอในศาลาแปดเหลี่ยมของค่าย เพื่อเป็นการแสดงว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นี่นาน

 

 

หัวหน้าค่ายพอเดาฐานะของหลัวเทียนเฉิงได้ ขาของเขาพลันอ่อนระทวย สำหรับเขาแล้วนี่ถือว่ามีค่ามากกว่าพระราชโองการด้วยซ้ำ

 

 

เนื่องจากหัวหน้าค่ายตำแหน่งเล็กๆ อย่างเขาไม่มีโอกาสพบโอรสสวรรค์ แต่เขากลับได้พบกับแม่ทัพตัวเป็นๆ แล้ว

 

 

เมื่อครุ่นคิดดังนี้แล้ว เขาจึงกัดฟันแล้วตรงไปที่ห้องด้านหลังเพื่อเอ่ยกับภรรยาของตัวเองว่า “ยายแก่ เจ้าทำเนื้อตุ๋นน้ำแดงได้ดีที่สุดแล้วใช่หรือไม่ รีบไปตุ๋นมาเดี๋ยวนี้เถิด”

 

 

แม้ว่าจะเรียกว่ายายแก่ แต่ฮูหยินผู้นั้นเพิ่งจะมีอายุได้สี่สิบกว่าปีเท่านั้น เมื่อได้ยินหัวหน้าค่ายเอ่ยเช่นนี้ก็ก้มหัวลงกัดด้ายที่ตนกำลังใช้ปักผ้าเช็ดมืออยู่แล้ววางเอาไว้อีกด้าน จากนั้นจึงเดินออกมาพลางเอ่ยถามว่า “ท่านพี่ดูลนลานเช่นนี้ คนที่มาคือผู้ใดหรือ”

 

 

หัวหน้าค่ายเป็นเพียงขุนนางชั้นผู้น้อยและยากจนมาตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่าเขาย่อมไม่รู้จักลำดับขุนนาง อีกอย่าง เมื่อมีเจ้านายผ่านมาพักที่นี่พร้อมกันหลายคน ภรรยาของเขาก็ต้องเป็นคนออกมาจัดการเช่นกัน

 

 

ทว่าเรื่องนี้ก็มีข้อดี เพราะภรรยาของเขาทำอาหารอร่อยเป็นที่หนึ่ง ขุนนางจำนวนมากหากพอใจในอาหารก็มักจะตกรางวัลเป็นเงินรางวัลที่หาได้ยากยิ่งเพิ่มให้

 

 

แต่น่าเสียดายที่ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนัก คนส่วนมากที่เดินทางออกจากเมืองมักจะไม่แวะพักที่นี่ ดังนั้นการที่เขามีโอกาสได้พบกับหลัวเทียนเฉิงนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง

 

 

ไม่ต้องตกรางวัลให้เขาก็ได้ ขอเพียงแม่ทัพหลัวผู้นี้เอ่ยปากว่าหัวหน้าค่ายที่นอกเมืองจัดการทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อย แค่นี้ก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับเขามากแล้ว

 

 

เขามั่นใจว่าฝีมือการทำเนื้อตุ๋นน้ำแดงของภรรยาเขา ต้องทำให้แม่ทัพหลัวรู้สึกอิ่มสบายท้องได้อย่างแน่นอน

 

 

หัวหน้าค่ายคิดพลางยิ้มหวานออกมา จากนั้นจึงได้ยินเสียงออดอ้อนดังขึ้น “ท่านพ่อ ผู้ใดมากันหรือเจ้าคะ”

 

 

หัวหน้าค่ายได้สติกลับคืนมา เมื่อเห็นว่าเป็นลูกสาวตัวน้อยของตนสีหน้าก็เปลี่ยนไป “แม่นาง อย่าแอบฟังเรื่องราวพวกนี้เลย กลับไปปักดอกไม้ต่อเถิด!”

 

 

เด็กผู้หญิงคนนี้มีท่าทางราวอายุสิบห้าปี มีหน้าตาน่าเอ็นดูและแสดงออกว่าไม่เกรงกลัวหัวหน้าค่ายเลยแม้แต่น้อย นางกระทืบเท้าแล้วยิ้มกว้าง “ท่านพ่อไม่บอก เช่นนั้นลูกจะไปดูเอง!”

 

 

“เยี่ยนจื่อ เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้!” หัวหน้าค่ายตะโกนเรียก โดยที่ไม่เห็นเงาของลูกสาวตนเสียแล้ว เขาจึงส่ายหน้าแล้ววิ่งตามไป

 

 

เด็กสาวที่มีนามว่าเยี่ยนจื่อผู้นั้นกำลังปีนกำแพงขึ้นไปแล้วชะโงกหน้ามองไปยังศาลาแปดเหลี่ยมนั้น ตอนนั้นเองนางเริ่มตัวแข็งและหน้าของนางก็ปรากฏสีแดงระเรื่อ

 

 

นางไม่เคยเจอผู้ชายที่หล่อเหลาและสง่างามเช่นนี้มาก่อนเลย!

 

 

เยี่ยนจื่อเป็นหญิงสาวตัวน้อย แม้ว่าฐานะครอบครัวจะธรรมดา แต่กลับถูกบิดามารดาประคบประหงมมาจนโต อายุเท่านี้นางควรออกเรือนได้แล้ว แต่นางกลับไม่ถูกใจชายที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงเลยสักคน บิดาของนางก็ไม่กล้าฝืนใจนางเช่นกัน

 

 

ในความเป็นจริงนั้น ในใจของนางมีแผนการบางอย่างแล้ว

 

 

นางมีพี่สาวสองคน พี่สาวคนโตของนางแต่งงานกับเกษตรกรในหมู่บ้านแถมยังมีที่ดินน้อยผืน ผ่านไปไม่กี่ปีเมื่อนางกลับมาเยี่ยมบ้าน ใบหน้าของนางหมองคล้ำ มือหยาบกร้านไม่ต่างอะไรกับเกษตรกรหญิงชาวบ้านทั่วๆ ไป

 

 

ส่วนพี่สาวคนรองของนาง เมื่อสามปีก่อนได้พบกับขุนนางที่เดินทางผ่านมาแวะพักพอดีและเป็นที่ถูกใจของเขาจึงพานางกลับไปเป็นอนุ ปีที่แล้วขุนนางผู้นั้นพาพี่รองของนางกลับมาที่เมืองหลวงและมาแวะพักที่นี่คืนหนึ่ง พี่รองของนางสวมใส่เพชรพลอย แถมยังดูสวยกว่าเมื่อสามปีก่อนมาก

 

 

พี่รองของนางยังบอกด้วยว่า แม้ว่านางจะเป็นเพียงอนุ แต่เป็นเพราะนางเป็นสาวบริสุทธิ์แถมอายุยังน้อย ขุนนางผู้นั้นจึงโปรดปรานนางมาก จนมักจะทิ้งภรรยาเอกของตนเอาไว้ การกลับเมืองหลวงครั้งนี้ก็พานางมาเพียงคนเดียว

 

 

เมื่อเห็นชายที่นั่งพักอยู่ในศาลา เยี่ยนจื่อพลันยื่นมือมาคลำที่กระเป๋าเงินของตนที่แขวนอยู่ตรงเอว พลางคิดในใจว่า นางไม่มีทางกลายเป็นเกษตรกรอย่างพี่สาวคนโตของนางอย่างแน่นอน ในบรรดาพี่น้องสามคน หากนับเรื่องหน้าตาแล้ว นางสู้พี่รองไม่ได้ตรงไหน

 

 

ในศาลา หลัวเทียนเฉิงไม่รู้ว่าขณะที่ตนกำลังนั่งอยู่นี้ได้ดึงดูดความสนใจของดรุณีน้อยผู้หนึ่งเข้าแล้ว เขาจึงสนทนากับคุณชายสามหลัวต่อไป

 

 

“ไม่คิดเลยว่าลี่อ๋องจะเจ้าเล่ห์ถึงขั้นวางกับดักจนทำให้พี่ใหญ่ต้องได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ แถมยังหนีไปทางเหนือของไป๋หลิงอีก น่าปวดหัวยิ่ง!”

 

 

เนื่องด้วยได้รับบาดเจ็บ หลัวเทียนเฉิงจึงมีใบหน้าซีดขาว แต่เรี่ยวแรงของเขานั้นตรงข้ามกับหัวจิตหัวใจของเขาที่ยิ่งใจเย็นลง

 

 

หากเอ่ยว่าเมื่อก่อนเขาคือดาบคมกริบที่ออกจากฝัก ตอนนี้เขากลับกลายเป็นหยกที่ถูกฝนจนเนียนวาวขึ้นเงา ท่าทางตอนที่เขาไม่ได้ถือดาบไม่ว่าผู้ใดเห็นต่างต้องคิดว่าเขาเป็นคุณชายที่อ่อนโยนสง่างามคนหนึ่ง

 

 

“ลี่อ๋องเป็นผู้ที่อาจหาญดุดันผู้หนึ่งจึงไม่อาจมองข้ามเขาได้ ไป๋หลิงเป็นเกราะกันทางธรรมชาติชั้นดี กองทัพจิ้งเป่ยจึงถอยไปยังตอนเหนือของไป๋หลิง แผ่นดินของเขาจึงกลับมาสงบสุขได้อีกครั้ง เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องไม่ดี”

 

 

“พี่ใหญ่แต่ว่า…”

 

 

สองพี่น้องร่วมรบมาด้วยกัน ความรู้สึกกลับไม่เหมือนกัน คุณชายสามหลัวเป็นกังวลว่า เรื่องที่หลัวเทียนเฉิงผู้ที่ไม่เคยพ่ายแพ้ในสงครามต้องล้มเหลวกลับเมืองหลวงเช่นนี้จะถูกคนหัวเราะเยาะเอาได้

 

 

“แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต” หลัวเทียนเฉิงหัวเราะอย่างสบายใจ

 

 

แน่นอนว่าเขาไม่สนใจเรื่องการแพ้ชนะครั้งนี้ อันที่จริงลี่อ๋องจนมุมแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าตนคลายตาข่ายออก เขาจะหนีกลับไปยังไป๋หลิงได้อย่างไร

 

 

หลุมแบบเดียวกัน เขาไม่มีทางตกลงไปเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน เขาไม่อยากลิ้มรสความรู้สึกของการโดนกำจัดทิ้งหลังรบชนะอีกแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องกลัวเฉินชิ่งตี้กับขุนนางพวกนั้นรวมหัวกัน ชีวิตนี้เขาจะต้องกุมอำนาจเอาไว้ให้มั่นให้ได้

 

 

ศึกนอก ศึกใน ราชสำนักและกองทัพตระกูลหลัว หากเขาควบคุมทุกอย่างได้อย่างสมดุลจะสามารถแลกกับความสงบสุขของคนในตระกูลของเขาได้ตลอดไป

 

 

พี่น้องทั้งสองคนนี้นับว่าเป็นคนที่มีหูตาว่องไว พวกเขาหยุดการสนทนาพร้อมกันแล้วหันไปมองยังจุดเดียวกัน

 

 

สาวน้อยร่างอรชรถือสำรับน้ำชาเข้ามาด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ “ใต้เท้าทั้งสอง เชิญดื่มน้ำชาเจ้าค่ะ”