หลัวเทียนเฉิงเหลือบตามองแล้วพยักหน้าเบาๆ รอจนกระทั่งสาวน้อยคนนี้วางน้ำชาลงจึงหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบแล้วสนทนากับคุณชายสามหลัวต่อ
แต่เป็นเพราะมีคนนอกอยู่ด้วย พวกเขาจึงพูดคุยกันเรื่องทั่วๆ ไป
แต่สาวน้อยผู้นั้นไม่ยอมเดินออกไป
หลัวเทียนเฉิงมองนางอย่างสงสัยแล้วอมยิ้ม “ออกไปได้แล้ว”
เขาพูดแล้ว เขาพูดออกมาแล้ว เขาพูดกับนางแล้ว!
เยี่ยนจื่อจับแก้มตัวเองแล้วถอยออกไปอย่างมึนงง เมื่อเลี้ยวตรงมุมกำแพงไปแล้ว นางถึงเพิ่งจะได้สติขึ้นมา
เอ๊ะ ข้าออกมาได้อย่างไร ยังไม่ได้ทำผ้าเช็ดหน้าตาเอาไว้เลย!
ตอนนั้นพี่รองก็ทำผ้าเช็ดหน้าตกไว้แล้วนายท่านผู้นั้นเก็บได้ ถึงจะได้แต่งงานกัน
เยี่ยนจื่อกัดฟัน แล้วรีบต้มชาใหม่ จากนั้นยกเข้าไปอีกครั้ง
วันที่มีอากาศร้อนเช่นนี้ทำให้กระหายน้ำอย่างมาก เมื่อเห็นแม่นางคนนี้ยกน้ำชามาอีก หลัวเทียนเฉิงจึงไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพียงแต่รับมาแล้วดื่มเข้าไปอีก แล้วเอ่ยกับคุณชายสามหลัวว่า “หัวหน้าค่ายผู้นี้รอบคอบนัก”
เมื่อเยี่ยนจื่อได้ยินเช่นนี้ ก็ดีใจจนเม้มปากแน่น แล้วแอบทิ้งผ้าเช็ดหน้าปักลายนกนางแอ่นไว้ใกล้ๆ เท้าของหลัวเทียนเฉิง นางหน้าแดงแล้วหมุนตัวออกไป
เมื่อไปถึงมุมกำแพงก็พบกับหัวหน้าค่ายถืออาหารมาพอดี
หัวหน้าค่ายตกใจสะดุ้งโหยง “เยี่ยนจื่อ เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
หน้าของเยี่ยนจื่อแดงก่ำ นางเม้มปากโดยไม่เอ่ยอะไรออกไป
สายตาของหัวหน้าค่ายตกไปอยู่ที่ถาดน้ำชาในมือของเยี่ยนจื่อ จากนั้นจึงเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เจ้ายกน้ำชาไปให้ใต้เท้าทั้งสองหรือ เหลวไหล มีชุนหลีอยู่ทั้งคน”
ชุนหลีเป็นสาวใช้เพียงคนเดียวของค่ายแห่งนี้ นางมีลักษณะเช่นเดียวกับชื่อของนาง นั่นก็คือมีรูปร่างคล้ายสาลี่
เยี่ยนจื่อถอนใจ “ท่านพ่อ ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่า นั่นคือบุคคลสำคัญ ชุนหลีมือเท้าเงอะงะ หากสร้างเรื่องน่าอายจะทำอย่างไร เมื่อครู่นี้ใต้เท้าชุดดำยังบอกด้วยว่า…ท่านจัดการได้อย่างรอบคอบ”
หัวหน้าค่ายไม่ได้คิดถึงความหมายของคำพูดนี้ เมื่อได้ยินว่าหลัวเทียนเฉิงชมเขา ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้างด้วยความยินดีและไม่คิดจะตำหนิลูกสาวอีก เพียงรีบยกสำรับอาหารเดินเข้าไป
หลัวเทียนเฉิงได้กลิ่นเนื้อตุ๋นน้ำแดงมาแต่ไกลแล้ว จึงหันมองไปทางนั้น
“แม่ทัพทั้งสอง อาหารเตรียมเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นเพียงอาหารบ้านๆ เท่านั้น หวังว่าท่านทั้งสองจะไม่รังเกียจ” หัวหน้าค่ายวางสำหรับอาหารไว้บนโต๊ะหินในศาลา
หลัวเทียนเฉิงใช้สายตาจ้องมองเนื้อน้ำแดงถ้วยนั้น
สีของเนื้อเป็นประกายวาววับ กลิ่นหอมคละคลุ้ง เพียงมองก็รู้ได้แล้วว่าผู้ทำควบคุมไฟได้เป็นอย่างดี
เขายิ้มพลางพยักหน้า “ทำเนื้อออกมาได้ไม่เลวเลย”
หัวหน้าค่ายสีหน้าสดใสพลางเอ่ยว่า “นี่เป็นฝีมือของภรรยาข้าน้อย นางเป็นคนไม่เรียบร้อย ไม่มีความสามารถอย่างอื่น แต่มีความสามารถด้านการทำเนื้อตุ๋น”
เยี่ยนจื่อแอบอยู่ตรงมุมกำแพง เมื่อเห็นพ่อของนางเอาแต่ทำหน้าตาเบิกบานใส่ใต้เท้าทั้งสองแล้วเหยียบลงบนผ้าเช็ดหน้าของนาง นางก็โกรธจนกระทืบเท้า จากนั้นจึงยกน้ำชาออกไปอีก
หัวหน้าค่ายหันตัวไปมองแล้วจ้องเขม็งไปที่เยี่ยนจื่อ
เยี่ยนจื่อเชิดหน้าขึ้นแล้วเดินเข้าไปโดยไม่สนใจ
หลัวเทียนเฉิงกลับยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หัวหน้าค่ายมากพิธีเกินไปแล้ว ไม่เพียงแค่ปรุงเนื้อได้ดีเท่านั้น แต่ยังให้สาวใช้ยกน้ำชามาให้ข้าถึงสามรอบ อันที่จริงมิจำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย”
หัวหน้าค่ายยิ้มโดยไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรต่อดี ตอนนี้หน้าของเยี่ยนจื่อแดงก่ำ แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะเขินอาย แต่เป็นเพราะความโมโห
นางวางน้ำชาลงบนโต๊ะหิน พลางหมุนตัวแล้ววิ่งออกไปพร้อมดวงตาแดงก่ำ
หลัวเทียนเฉิงมองหัวหน้าค่ายด้วยความสงสัย สายตาของเขาแสดงความหมายออกมาอย่างชัดเจนว่า สาวใช้ของเจ้าอารมณ์รุนแรงเกินไปหรือไม่
หัวหน้าค่ายยิ้มแห้งๆ แล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพ กินกับข้าว กินกับข้าวเถิด”
หลัวเทียนเฉิงหยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วคีบเนื้อเข้าปากไปคำหนึ่ง ตอนนั้นดวงตาของเขาพลันเปล่งประกาย แล้วเอ่ยชมว่า “รสชาติดียิ่ง”
คุณชายสามหลัวจึงคีบขึ้นมาชิมเช่นกันแล้วพยักหน้า “อร่อยจริงๆ ฝีมือสูสีพี่สะใภ้ทีเดียว”
“หัวหน้าค่าย รบกวนท่านทำเนื้อตุ๋นน้ำแดงอีกสักชุดเถิด ข้าจะเอากลับไปด้วย” หลัวเทียนเฉิงยิ้มหน้าบาน
นี่นับว่าเป็นอาหารอันโอชะทีเดียว ดีที่ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนักจะได้เอากลับไปให้เจี๋ยวเจี่ยวชิมด้วย
“ได้ ขอรับ” หัวหน้าค่ายถอยออกไปอย่างงุนงง พลางคิดในใจว่า เขาทำงานอยู่ที่ค่ายทหารมาหลายปีเช่นนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีใต้เท้าขอให้ห่อเนื้อตุ๋นน้ำแดงของเขากลับไปด้วย!
เมื่อหัวหน้าค่ายออกไปแล้ว คุณชายสามหลัวก็คีบเนื้อมากินอีกแล้วยิ้ม “พี่ใหญ่ ท่านอย่าบอกนะว่าท่านดูไม่ออกว่าแม่นางผู้นั้นไม่ใช่สาวใช้”
“เอ๊ะ?” หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าดูไม่ออกจริงๆ”
คุณชายสามหลัวจะเชื่อได้อย่างไร จึงเอ่ยว่า “ครั้งแรกที่ยกน้ำชาเข้ามา ข้าเองก็ไม่ได้เอะใจเช่นกัน แต่เมื่อยกเข้ามาเป็นครั้งที่สอง ข้าก็รู้สึกว่าผิดปกติแล้ว นู่น ผ้าเช็ดหน้ายังอยู่ที่เท้าของท่านอยู่เลย”
หลัวเทียนเฉิงไม่แม้แต่จะก้มหน้ามอง เขาเพียงตั้งใจกินเนื้อน้ำแดงเท่านั้น เมื่อกินเสร็จจึงเอ่ยว่า “ในเมื่อนางยกน้ำชาเข้ามา ในความคิดของข้า นางก็คือสาวใช้ รีบกินอาหารเถิด กินเสร็จแล้วจะได้รีบไป”
เมื่อเห็นว่าเนื้อในถ้วยหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว คุณชายสามหลัวจึงรีบเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ บาดแผลท่านยังไม่หายเลย กินเนื้อมากๆ อาจเป็นร้อนในได้ ที่เหลือข้าจะกินแทนท่านเอง”
“ไม่กินเนื้อแล้วแผลจะหายเร็วได้อย่างไร ต่อไปเจ้าบาดเจ็บแทนข้าได้ แต่จะกินอาหารแทนข้าไม่ได้”
เมื่อหัวหน้าค่ายออกไปเห็นลูกสาวของตนแอบร้องไห้อยู่ตรงมุมกำแพงก็รู้สึกหัวเสียขึ้นมาจึงเอ่ยตำหนินางว่า “ข้าไม่เจ้าเข้าไป แต่เจ้ากลับเข้าไป เหตุใดจึงเจ้าแผนการเช่นนี้ ครั้งนี้ยังดีที่เขาเข้าใจว่าเจ้าเป็นสาวใช้”
“ท่านพ่อ ท่านยังจะมาพูดอีก ลูกสาวไม่เหลือหน้าจะมีชีวิตต่อไปแล้ว!” เยี่ยนจื่อกุมหน้าร้องไห้
หัวหน้าค่ายโกรธจนกระทืบเท้า “ยังจะร้องไห้อีก หากคนอื่นมาเห็นเข้าแล้วรู้ว่าเจ้าไม่ใช่สาวใช้แต่เป็นลูกสาวของข้า นั่นต่างหากที่เรียกว่าไม่เหลือหน้า!”
เยี่ยนจื่อตกใจจนไม่กล้าร้องไห้ออกมาได้แต่กัดริมฝีปากแล้วชะเง้อมองชายในศาลา ยิ่งคิดก็ยิ่งคับแค้นใจ
ตอนนั้นเองที่หัวหน้าค่ายพลันเงยหน้าขึ้นมาแล้วพึมพำขึ้นว่า “เอ ใครมาน่ะ”
เขาเดินไปยืนบนถนนแล้วมองออกไป จึงเห็นว่ามีคนสามคนขี้ม้ามา ไม่นานนักก็มาถึงตรงหน้า
และสิ่งที่ตกใจก็คือ คนทั้งสามคนนั้นคือสตรี
สตรีนางแรกสวมใส่ชุดเขียว และใส่หมวกเหวยเม่า[1] หลังจากลงจากม้าแล้ว สาวใช้ทั้งสองที่แต่งตัวอย่างสตรีก็เดินตามมาด้านหลัง
สาวใช้ชุดดำคนหนึ่งก้าวออกมาเอ่ยถามว่า “รบกวนสอบถาม มีแม่ทัพมาแวะพักแถวนี้บ้างหรือไม่”
ตามการคาดการณ์ของพวกนาง เวลานี้หลัวเทียนเฉิงกับขบวนน่าจะมาถึงที่นี่แล้ว หากยังมาไม่ถึงแสดงว่าหลงทางแล้ว เจินเมี่ยวจึงตั้งใจว่าจะรออยู่ที่นี่
“แม่ทัพ?” หัวหน้าค่ายประหลาดใจ จากนั้นจึงเริ่มลังเล
เมื่อชิงไต้เห็นสีหน้าของเขาก็พอเข้าใจจึงถือโอกาสเอ่ยว่า “มิผิด หมายถึงท่านแม่ทัพหลัว”
“อ้อ มาถึงแล้ว กำลังทานอาหารอยู่ที่ศาลาตรงนั้น”
ชิงใต้จึงหันไปทางเจินเมี่ยว “ต้าไหน่ไหน่ ซื่อจื่อมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เยี่ยนจื่อมองไปที่สตรีชุดเขียวด้วยความสงสัย จากนั้นจึงเห็นนางยกมืออันเรียวงามขึ้นถอดเหวยเม่าออก จากนั้นจึงหันมายิ้มให้หัวหน้าค่าย “รบกวนท่านนำพวกเราไปด้วยเถิด”
หัวหน้าค่ายตาค้างไป จากนั้นจึงเดินนำคนทั้งสามไปอย่างงุนงง เยี่ยนจื่อยืนอยู่ที่เดิมเช่นนั้นอยู่พักหนึ่งกว่าจะได้สติกลับมา
นางไม่ยอมจึงแอบตามไป ตอนนั้นเองจึงเห็นชายชุดดำในศาลาลุกพรวดขึ้นแล้วก้าวเท้าอาดๆ เดินมายังสตรีชุดเขียว จากนั้นจึงอุ้มนางขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคน
หัวใจที่เต็มไปด้วยความรักของดรุณีน้อยรวดร้าวจนแทบจะแตกสลาย นางปิดหน้าวิ่งเข้าไปในครัวแล้วร้องไห้จนเป็นลมคาอกมารดาของตัวเองไป
“นี่ ท่านรีบวางข้าลงเถิดเจ้าค่ะ บาดเจ็บอยู่มิใช่หรือ” เจินเมี่ยวตื้นตันใจขึ้นมา
หลัวเทียนเฉิงดีใจจนห้ามตัวเองไม่ได้ “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้ามาได้อย่างไร”
เมื่อเจินเมี่ยวเห็นคุณชายสามหลัวยืนอยู่ด้านข้างจึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มิได้เป็นเพราะข่าวการบาดเจ็บของท่านหรอกหรือที่ทำให้ทุกคนไม่สบายใจ”
หัวใจของหลัวเทียนเฉิงหวานเชื่อมราวเติมน้ำผึ้งเข้าไป เขายิ้มค้างอยู่เช่นนั้นเป็นนานกว่าจะเอ่ยออกมาว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้ามาได้จังหวะพอดีเลย เนื้อน้ำแดงยังร้อนๆ อยู่เลย”
——
[1] เหวยเม่า หมวกสตรีใบใหญ่ที่มีผ้าบางๆ ลงมาปกคลุมหน้า