หลัวเทียนเฉิงจูงมือเจินเมี่ยวมาที่ศาลา
“พี่สะใภ้” คุณชายสามหลัวเพิ่งจะมีโอกาสเอ่ยทักทายตอนนั้น
เจินเมี่ยวยิ้มหน้าบาน “น้องสาม เจ้าดูสดใสขึ้นนะ”
“แค็กๆ” หลัวเทียนเฉิงกระแอม “น้องสาม เจ้ากินอิ่มแล้วใช่หรือไม่”
กินอิ่มที่ไหนกัน
คุณชายสามหลัวเบะปาก แต่ด้วยสายตาตักเตือนของหลัวเทียนเฉิง เขาจึงได้แต่เหลือบมองถ้วยเนื้อตุ๋นน้ำแดงอย่างอาวรณ์แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “อิ่มแล้ว ข้าขอตัวไปดูก่อนว่าทางโน้นเป็นอย่างไรบ้าง”
เฮอะ เห็นว่าอยู่ต่อหน้าพี่สะใภ้หรอกนะ ไม่อย่างนั้นข้าไม่มีทางถอยให้เแน่!
เมื่อคุณชายสามหลัวเดินออกไปแล้ว สายตาของหลัวเทียนเฉิงจึงตกอยู่ที่ใบหน้าของเจินเมี่ยว และไม่ละสายตาไปทางไหนอีก
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาซีดขาวและร่างกายที่ซูบผอมไปมาก เจินเมี่ยวก็รู้สึกอ่อนใจแล้วหันไปจ้องเขา “รีบกินเถิด แล้วรีบกลับบ้านจะได้พักผ่อน”
คนทั้งสองมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา อ้อยอิ่งกันอยู่เช่นนี้จนกินข้าวเสร็จ จากนั้นคุณชายสามหลัวก็ใช้สายตาสุดจะทนเร่งให้คนทั้งสองขึ้นรถม้า
เมื่อขึ้นรถม้าแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงโอบเจินเมี่ยวมาไว้ในอ้อมอกโดยไม่ยอมปล่อยมือ คางของเขาวางไว้บนผมของนางแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าคิดถึงเจ้าอยู่ตลอด”
มือทั้งสองของเจินเมี่ยวโอบชายผู้นี้เอาไว้ จิตใจของนางในตอนนี้สงบนิ่งแต่ก็รู้สึกปวดใจจึงถามว่า “บาดเจ็บได้อย่างไร เจ็บหนักหรือไม่”
“ไม่ต้องกังวล”
“ไหนข้าขอดูหน่อย” เจินเมี่ยวเลิกเสื้อของเขาขึ้นแล้วมองบาดแผลบริเวณซี่โครงพลันถอนใจแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก บาดแผลยาวขนาดนี้แถมตอนนี้ยังเป็นฤดูร้อนอีก ท่านควรรักษาตัวอยู่ที่เป่ยจิ้งให้หายแล้วค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย หากติดเชื้อระหว่างทางจะทำอย่างไรเล่า”
“ไม่มีทาง” เมื่อหลัวเทียนเฉิงเห็นนางกังวลใจ เขาจึงมองนางอย่างอ่อนโยนแล้วกุมมือนางมาวางไว้ที่หัวใจของตนเอง “มีเจ้ากับลูกอยู่ ข้าไม่มีทางยอมเป็นอะไรแน่ จึงอยากรีบกลับมาหาพวกเจ้าให้เร็วที่สุด จริงสิ เสียงเกอกับอี้เกอยังเป็นเด็กดีอยู่หรือไม่”
เมื่อเอ่ยถึงลูกชายทั้งสอง เจินเมี่ยวอดยิ้มไม่ได้ “ข้าดูแล้ว เสียงเกอฉลาดกว่าเด็กทั่วไป อายุเพียงไม่เท่าไหร่ก็รู้จักอักษรมากมาย อี้เกอก็ดีเช่นกัน ข้อดีอย่างอื่นไม่น่าพูดถึง เพราะรู้จักแต่กินอย่างเดียว”
หากคนอื่นนั่งฟังอยู่ด้วยเกรงว่าคงจะนั่งกลอกตา ข้อดีอย่างอื่นไม่น่าพูดถึงหมายความว่าอะไร แค่ได้ลูกชายสองคนก็ถือว่าเป็นข้อดีมากแล้ว
น่าเห็นใจหัวอกบิดามารดาใต้หล้านี้ หลัวเทียนเฉิงได้ยินแล้วจึงหัวเราะอ้าปากค้างพลางพยักหน้าถี่ๆ “ไม่เลว”
ตอนที่ขี่ม้ามารู้สึกว่าหนทางช่างยาวนาน แต่ตอนที่นั่งรถม้ากลับไป กลับรู้สึกว่าถึงบ้านอย่างรวดเร็ว
หลัวเทียนเฉิงพบหน้าเจิ้นกั๋วกงกับฮูหยินผู้เฒ่าได้ไม่นาน ขันทีก็มาเชิญเขาเข้าวังไป
เจินเมี่ยวค่อนข้างกังวลใจ นางอาบน้ำด้วยความหนักใจและไม่รู้ว่าตนอยู่ในอ่างอาบน้ำมานานเท่าไหร่แล้วกว่าจะลุกออกมา
คืนนี้ควรจะเป็นคืนที่ทุกคนกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา เมื่อเลยเวลากินข้าวไปแล้ว ในขณะที่นางรอจนรู้สึกกระวนกระวายใจสุดจะทนแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็กลับมาถึง
“รอนานแล้วกระมัง” หลัวเทียนเฉิงเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นเจินเมี่ยวนั่งไม่ติดก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มโดยไม่อาจบรรยายความตื้นตันใจได้
เมื่อเจินเมี่ยวได้กลิ่นสุราจึงขมวดคิ้ว “กลับมาช้าขนาดนี้ เหตุใดจึงดื่มสุราอีก”
หลัวเทียนเฉิงเดินมานั่งลงข้างๆ กายนาง “ฝ่าบาทไม่ยอมปล่อยให้ข้ากลับ รั้งข้าให้อยู่ดื่มสุรากับเขา”
“จริงๆ เลย…”
“จริงอะไรรึ”
“เอาแต่ใจเสียจริง” เมื่อเจินเมี่ยวนึกถึงเฉินชิ่งตี้ ก็นึกคำพูดดีๆ ไม่ออก
“ข้าลองแอบสังเกตเขา สีหน้าของเขาค่อนข้างเศร้าหมอง คงจะเสียใจกับการจากไปของอดีตไท่เฟยกระมัง”
“ไม่ใช่หรอก!” เจินเมี่ยวโต้แย้งโดยสัญชาตญาณ
บางทีอาจจะเป็นเพราะนางรู้ความจริง เมื่อได้ยินคนเอ่ยถึงเฉินชิ่งตี้กับเจินไท่เฟยพร้อมกันหัวใจพลันสูบฉีด จากนั้นจึงเอ่ยแก้ต่างทันที
เมื่อเห็นสายตาข้องใจของหลัวเทียนเฉิง เจินเมี่ยวจึงรู้ตัวว่าตนแสดงอาการรุนแรงมากเกินไป
นางกัดริมฝีปากพลางอธิบายว่า “ข้าหมายความว่า อดีตไท่เฟยจากไปแล้ว เขาก็คงเสียใจ แต่ตัวเขาเป็นถึงจักรพรรดิไม่เห็นต้องแสดงออกมากมายเช่นนี้”
“เจี๋ยวเจี่ยวไม่พอใจเรื่องอะไรอยู่หรือไม่”
เจินเมี่ยวไร้วาจา
หากนางเจอคนอันตพาลตามท้องถนนมารังแกนาง นางไม่มีทางปิดบังให้เขาต้องมากลุ้มใจเรื่องนางอย่างแน่นอน อ้อ ไม่ใช่สิ นางคงจัดการคนอันตรพาลนั่นพิกาลไปแล้วแน่ๆ แต่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างนางกับเฉินชิ่งตี้เรื่องนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็พูดออกไปไม่ได้
บอกเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไร หากเขาไปคิดบัญชีกับจักรพรรดิ นั่นถือว่าเป็นความผิดมหันต์ แต่หากเงียบไว้ นางก็จะจัดการเรื่องราวได้ในที่สุด เพราะอาจจะไม่ดีต่อความรู้สึกมากนัก แต่สำหรับเขาแล้วคงจะยิ่งปวดใจยิ่งกว่า
ไม่ว่าจะทำอย่างไรล้วนไม่ดีทั้งนั้น สู้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับไปตลอดจะดีกว่า
เจินเมี่ยวกลับเปลี่ยนใจเพราะรู้ว่าหลัวเทียนเฉิงไม่ค่อยพอใจคำตอบนักจึงตอบออกไปด้วยความจริงเพียงครึ่งหนึ่ง “วันที่สองที่ข้าเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนอดีตไท่เฟยนั้น เป็นวันที่นางจากไป จักรพรรดิจึงเรียกข้าเข้าไปไต่ถามด้วยน้ำเสียง… ไม่ดีอย่างยิ่ง ข้าคิดว่าฝ่าบาทคงไม่พอใจนัก แต่สิ่งที่ท่านพูดก็ถูก อดีตไท่เฟยคือคนที่เลี้ยงฝ่าบาทมาตั้งแต่เด็กยันโต ฝ่าบาทต้องเสียใจมากกระมัง”
แม้ว่าหลัวเทียนเฉิงจะผ่านประสบการณ์มาแล้วถึงสองชาติ แต่กลับไม่ได้เข้าใจทุกเรื่องราวและเชื่อใจเจินเมี่ยวทุกอย่าง เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็ไม่สงสัยอะไรมากนักเพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะ พวกเราอย่าเอ่ยถึงคนอื่นอยู่เลย เสียงเกออยู่ที่ไหนกัน ข้าจะไปหาพวกเขา”
เจินเมี่ยวรู้สึกโล่งใจจึงเอ่ยเสียงดังว่า “มู่จือ ไปพาเด็กทั้งสองมา”
ไม่นานนัก มู่จือก็พาตุ๊กตาตัวน้อยทั้งสองมา
หลัวเทียนเฉิงยิ้มหน้าบานพลางอุ้มเด็กทั้งสองไว้ทั้งซ้ายขวา
เจินเมี่ยวรีบเอ่ยว่า “รีบนั่งลงเร็วเข้า แผลที่ตัวท่านยังไม่หาย หากแผลฉีกขึ้นมาจะทำอย่างไร”
หลัวเทียนเฉิงนั่งลงแล้วนำเด็กทั้งสองวางไว้บนขาคนละข้างของตน เขายิ้มพลางเอ่ยถามว่า “ยังจำพ่อได้อยู่หรือไม่”
อี้เกอมองหลัวเทียนเฉิงพลางผละออกจากอกช้าๆ ขาสั้นๆ ของเขาก้าวไปหยุดอยู่ข้างๆ เจินเมี่ยวแล้วคว้าแขนเสื้อของนางเอาไว้แน่น
เสียงเกอยังพอจำได้ อ้าปากเอ่ยว่า “ท่านคือท่านพ่อ”
หลัวเทียนเฉิงสบตากับเจินเมี่ยวแล้วยิ้ม
เจินเมี่ยวคิดว่า ลูกชายคนโตของนางความจำดีใช้ได้จะต้องเป็นเหมือนอย่างนางแน่นอน
ขนาดที่กำลังพออกพอใจอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเกอเอ่ยออกมาอีกว่า “ท่านพ่อกลับมาเสียที ท่านแม่คิดถึงท่านจนร้องไห้หมอนเปียกทุกวัน”
เจินเมี่ยวเบะปากใส่คราหนึ่ง
เจ้าเด็กตัวแสบ สรุปแล้วจะอยู่ฝ่ายใครกันแน่
“จริงหรือ” หลัวเทียนเฉิงอมยิ้มพลางมองไปที่เจินเมี่ยว
หลายวันก่อนหน้านี้เจินเมี่ยวร้องไห้อยู่หลายครั้งจริง แต่นั่นเป็นเพราะโกรธเฉินชิ่งตี้ คิดไม่ถึงเลยว่าเสียงเกอจะเห็นเข้า ตอนนั้นจึงรู้สึกเคืองเล็กน้อยพลางจ้องเขม็งไปที่เสียงเกอ
เสียงเกอเอ่ยต่อไปอย่างปกติว่า “ท่านพ่อกลับมาแล้วเช่นนั้นข้าขอยกท่านแม่ให้ท่าน เฮ้อ เอาแต่ทำให้ผู้อื่นเป็นห่วง”
เมื่อเอ่ยจบก็เดินมาดึงอี้เกอออกไปข้างนอก แต่จะทำอย่างไรอี้เกอก็ไม่ยอม “ข้าไม่ไป ที่ตัวท่านพ่อมีกลิ่นเนื้อ!”
อี้เกอแข็งแรงกว่าเสียงเกอมาก เขาขัดขืนอยู่อย่างนั้น สุดท้ายแล้วเด็กทั้งสองก็อยู่ที่นั่นต่อโดยนอนเบียดทั้งสองคนอยู่บนเตียงผืนใหญ่นั้น
กลางดึก หลัวเทียนเฉิงจับมือของภรรยา จากนั้นจึงมองเด็กอ้วนทั้งสองที่นอนเบียดอยู่ด้านข้างแล้วก็ทำได้เพียงถอนใจ
ตั้งแต่วันนั้น หลัวเทียนเฉิงอยู่รักษาตัวอยู่แต่ที่จวนไม่ค่อยออกพบหน้าผู้ใด
ฮูหยินผู้เฒ่ากำหนดวันงานชมดอกไม้แล้วส่งจดหมายเชิญออกไป ความจริงแล้วต้องการทำให้การดูตัวหลานสาวของนางไช่ไม่โจ่งแจ้ง แน่นอนว่าโดยปกติแล้ว ฮูหยินก็มักจะพาลูกสาวของตัวเองมาด้วย จึงเป็นโอกาสที่เหมาะสมในการดูตัว
สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ วันนั้นมีฮูหยินพาลูกสาวมาค่อนข้างน้อย เพราะการว่าราชการเช้ามีขุนนางเสนอเรื่องให้เลือกสตรีเข้าวังหลังเพิ่ม