ตอนที่ 99-4 ทำชั่วได้ชั่ว สมน้ำหน้าเจ้านัก

จำนนรักชายาตัวร้าย

หากมิใช่เพราะเป็นห่วงมืออวี้เฟยเยียนละก็ เขาคงจับตี้อู่เฮ่ออีที่เอาแต่พิรี้พิไรโยนออกไปตั้งนานแล้ว

 

 

“แมวน้อย เจ้าไปพักผ่อนสักครู่เถอะ!”

 

 

ในขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนประคองอวี้เฟยเยียนเข้าไปพักผ่อนในห้องนั่นเอง ตี้อู่เฮ่ออีก็ถลามาตรงหน้าของเขาแล้วทำจมูกฟุดๆ ฟิตๆ ราวกับได้กลิ่นอะไรบางอย่าง

 

 

“เอ๋”

 

 

ตี้อู่เฮ่ออีตาโตด้วยความตกใจ แล้วยังอ้อมไปด้านหลังของซย่าโหวฉิงเทียนดมต่อ

 

 

“อะไรกัน!”

 

 

มองดูตี้อู่เฮ่ออีทำตัวราวกับสุนัข เอาแต่ดมกลิ่นไปทั่วร่างตน ซย่าโหวฉิงเทียนก็ก้าวถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว เพื่ออดกลั้นมิให้ตนเองโยนตี้อู่เฮ่ออีออกไป

 

 

“บนร่างของท่านไม่มีกลิ่นหอมแล้ว!”

 

 

คำพูดของตี้อู่เฮ่ออี ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

 

 

เป็นไปได้อย่างไรกัน

 

 

เพียงคืนเดียวก็หายไปเสียแล้ว

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนยกมือยกไม้ขึ้นดมกลิ่นตนเอง ซ้ายทีขวาที

 

 

เหตุใดเขาถึงไม่ได้กลิ่นอะไรเลยนะ…

 

 

ตรงกันข้ามกับอวี้เฟยเยียนที่เมื่อได้ยินคำพูดของตี้อู่เฮ่ออีเข้า ก็รีบยกไม้ยกมือของซย่าโหวฉิงเทียนขึ้นดมกลิ่นพิสูจน์ ซ้ายทีขวาทีทันที

 

 

“จริงด้วย กลิ่นนั้นหายไปแล้ว! ดีจังเลย!”

 

 

ปัญหาที่กวนใจซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนมาทั้งคืน ในที่สุดถูกขจัดไปได้ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้แน่ชัดในกรรมวิธีและอาจจะงงงวยไปบ้าง ทว่าในท้ายที่สุดก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

 

 

“หายไปแล้วจริงๆ หรือ”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนถาม เขาไม่มีประสาทสัมผัสรับกลิ่นที่ว่องไวเฉกเช่นตี้อู่เฮ่ออีและอวี้เฟยเยียนจริงๆ

 

 

“ท่านพี่ซย่าโหว ท่านกำจัดกลิ่นดอกไม้หอมนั่นอย่างไรกัน รีบบอกข้าเร็วเข้า! นี่เป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่เชียวนะ เมื่อคืนวานนี้ท่านไปที่ไหนมา หรือท่านใช้อะไร”

 

 

“ไสหัวไป…”

 

 

ถูกบุรุษด้วยกันลากไปลากมา ในที่สุดความอดทนเฮือกสุดท้ายของซย่าโหวฉิงเทียนก็หมดไป

 

 

ในตอนที่เขาหยิบตี้อู่เฮ่ออีเตรียมจะโยนออกไปนั่นเอง อวี้เฟยเยียนก็จับแขนห้ามเขาเอาไว้

 

 

พละกำลังอันน้อยนิดของตี้อู่เฮ่ออี ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ซย่าโหวฉิงเทียนได้ หากซย่าโหวฉิงเทียนตวัดมือโยนเขาออกไปละก็ มีหวังร่างที่บอบบางราวไม้แขวนเสื้อของตี้อู่เฮ่ออีคงจะกระเด็นไปไกล อย่างเบาก็อาจจะกระดูกหัก หากหนักก็แขนขาดหายไปเลยกระมัง

 

 

“อย่าทำร้ายเขาเลย! เขาเพียงแต่หลงใหลในวิชาแพทย์มากเท่านั้นเอง!”

 

 

สิ่งที่ตี้อู่เฮ่ออีถามขึ้น เป็นสิ่งที่อวี้เฟยเยียนอยากรู้เช่นกัน

 

 

เมื่อคืนนางอยู่กับซย่าโหวฉิงเทียนทั้งคืน ก็ไม่ได้มีเรื่องพิเศษอะไรเกิดขึ้นนี่นา!

 

 

ในฐานะที่อวี้เฟยเยียนเป็นผู้ที่รักในการศึกษาวิชาแพทย์คนหนึ่งซึ่งได้โคจรมาพบกับตี้อู่เฮ่ออีหมอผู้ที่รักในการแพทย์อย่างล้นเหลือเช่นกัน คนทั้งสองจึงเริ่มถกสาเหตุและที่มาที่ไปทันที

 

 

ความรู้สึกที่ถูกละเลยเช่นนี้ ช่างทรมานเสียเหลือเกิน!

 

 

เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนเริ่มปรึกษาหารือกับตี้อู่เฮ่ออีว่าด้วยเรื่องของกลิ่นหอมของตี้อู่หงเยี่ยถูกกำจัดไปจากร่างของเขาเมื่อไหร่ขึ้นมา ซย่าโหวฉิงเทียนก็เริ่มเบื่อหน่ายอย่างที่สุด

 

 

หากไม่เห็นแก่ที่ว่าตี้อู่เฮ่ออีช่วยชีวิตหนานกงจื่อหลิงเอาไว้ละก็ เขาคงเหวี่ยงเจ้าหนุ่มที่เอาแต่เกาะติดแมวน้อยกลับเมืองอู๋โยวไปตั้งนานแล้ว

 

 

สิ่งมีชีวิตเพศผู้ที่เข้าใกล้อวี้เฟยเยียน ล้วนแต่เป็นศัตรูของเขาทั้งสิ้น!

 

 

เป็นศัตรูทั้งสิ้น!

 

 

ได้ยินเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ใกล้ๆ ตี้อู่เฮ่ออีก็เงยหน้าขึ้นจึงได้พบกับใบหน้าที่เย็นชาราวน้ำแข็งของ ซย่าโหวฉิงเทียนเข้าอย่างจัง

 

 

“นี่คงมิใช่ผลข้างเคียงจากกลิ่นหอมนั่นใช่หรือไม่ แต่ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีมาก่อน”

 

 

ตี้อู่เฮ่ออีถามขึ้นอย่างแสนซื่อ

 

 

ส่วนอวี้เฟยเยียนที่สนิทสนมคุ้นเคยกับซย่าโหวฉิงเทียนอย่างที่สุด เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมเช่นนั้น อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกขำขันยิ่งนัก

 

 

ก่อนหน้านี้ใครกันที่หัวเราะว่านางว่าเป็นถังน้ำส้มสายชูน้อย ต่อไปบ้านเรามิต้องซื้อน้ำส้มสายชูอีกต่อไปกัน

 

 

เห็นชัดๆ ว่าตัวเองต่างหากที่เป็นน้ำส้มสายชูหมักแรมปีน่ะ!

 

 

“เรื่องที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้ หากข้านึกเรื่องอะไรออกอีก ข้าค่อยบอกเจ้าอีกดีหรือไม่”

 

 

อวี้เฟยเยียนรู้ดีว่าท่าทางนี้ของซย่าโหวฉิงเทียนคืออารมณ์ไม่ได้ดั่งใจราวกับเด็กๆ ต้องการการปลอบโยน จะต้องปลอบโยนให้ทันเวลาด้วย มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าเขาจะทำเรื่องสุดโต่งอะไรออกมาอีกนะสิ

 

 

“ได้! ไม่มีปัญหา!”

 

 

ตี้อู่เฮ่ออีมองตามหลังอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนที่กลับห้องไป จากนั้นเขาจึงหยิบยาของอวี้เฟยเยียนขึ้นมาศึกษา

 

 

“พี่ไม่ชอบที่เจ้าคุยกับชายคนอื่น!”

 

 

เมื่อกลับถึงห้อง ซย่าโหวฉิงเทียนก็นั่งลงเคียงข้างอวี้เฟยเยียนอย่างว่าง่าย

 

 

“ตรงนี้จะไม่สบาย!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนจับมืออวี้เฟยเยียนไปวางไว้ที่อกตนเอง

 

 

“พี่จะหึงหวง…”

 

 

ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็ยอมรับออกมาว่าตนหึงหวง เหตุใดท่าทางเขาถึงได้ดูน่ารักเพียงนี้นะ!

 

 

“คนโง่ มันไม่มีเรื่องอะไรก็เอาแต่หึงหวง! ในใจข้าท่านยอดเยี่ยมที่สุด เก่งกาจที่สุด หล่อเหลาที่สุด! และท่านดีกับข้าที่สุด! ในใจข้ามีเพียงท่านเท่านั้น!”

 

 

หลังอวี้เฟยเยียนสารภาพออกไปตั้งมากมาย ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ้มออกมา

 

 

“เป็นหนึ่งไม่มีสองใช่หรือไม่”

 

 

เขาถามต่อ

 

 

เจ้าหมอนี่! ภาคภูมิใจจริงๆ ใช่หรือไม่เนี่ย!

 

 

“ใช่! ไม่เพียงแต่เป็นที่หนึ่งไม่มีสอง อีกทั้งในโลกใบนี้มีเพียงท่านเท่านั้นที่อยู่ในใจข้า!”

 

 

คราวนี้ซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งยิ้มออกมาด้วยความปลาบปลื้มมากขึ้นไปอีก

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว พี่ย่อมดีที่สุด!”

 

 

หลังจากปลอบซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว อวี้เฟยเยียนก็มิได้พักผ่อนแต่อย่างใด นางกลับไปดูเชียนเยี่ยเสวี่ย

 

 

เสียงระฆังหลวงที่ดังขึ้นเมื่อคืนนี้ เชียนเยี่ยเสวี่ยย่อมต้องได้ยินเป็นแน่ ไม่รู้ว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยได้นอนหลับพักผ่อนดีหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ฉินจื้อเกิดเรื่องร้ายแรงเพียงนี้ อวี้เฟยเยียนควรจะบอกเชียนเยี่ยเสวี่ยให้รับรู้เสียหน่อย

 

 

กระทั่งอวี้เฟยเยียนไปถึงห้องของเชียนเยี่ยเสวี่ย ก็พบว่านางกำลังนั่งพิงหมอนทอดมองไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย

 

 

“เสวี่ย”

 

 

อวี้เฟยเยียนยกอ่างน้ำร้อนเข้าไป บิดผ้าชุบน้ำบิดหมาดแล้วส่งให้เชียนเยี่ยเสวี่ยเช็ดหน้าเช็ดตา

 

 

“ช่าช่า เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นใช่หรือไม่”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ย ‘มอง’ ไปที่อวี้เฟยเยียนนิ่ง

 

 

“ใช่ แต่สำหรับเจ้าแล้วนับเป็นข่าวดี!”

 

 

อวี้เฟยเยียนเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวังหลวงแห่งฉินจื้อที่นางได้รู้ได้เห็นมา ให้กับเชียนเยี่ยเสวี่ยได้รู้ทั้งหมดโดยละเอียด

 

 

เมื่อเล่าถึงตอนที่เชียนลั่วเฉิงเป็นอัมพาต ทั้งยังถูกเยี่ยอ๋องทรมาน เชียนเยี่ยเสวี่ยถึงกับหัวเราะออกมาพร้อมกับตบไปที่ขอบเตียง ท่าทางสบายใจมีความสุขเป็นอย่างมาก

 

 

ในปีนั้นเชียนลั่วเฉิงเป็นดั่งงูพิษที่ฉกเสด็จแม่และสกุลฉู่อย่างเ**้ยมโหด มาตอนนี้เขากลับกลายเป็นชาวนา ถูกงูเห่าที่เขาสู้อุตส่าห์เลี้ยงดูฟูมฟักมาจนโตแว้งกัดเขาอย่างจัง ทำชั่วได้ชั่วจริงๆ !

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยหัวเราะจนน้ำตาไหล ซึ่งถึงแม้ว่าดวงตานางยังขุ่นมัวมองไม่เห็น แต่สภาพจิตใจดีขึ้นมาก

 

 

ครั้นเมื่อได้ฟังเรื่องของหลิวกุ้ยเฟยและเชียนเจิ้นหยาง เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก

 

 

“น่ารังเกียจจริงๆ! สกปรกที่สุด!”

 

 

แม้แต่ชื่อคนทั้งสองเชียนเยี่ยเสวี่ยก็มิอยากเอ่ยถึง

 

 

“เหอะ! นี่ไงเล่าสตรีที่เสด็จพ่อข้าหลงรักหัวปักหัวปำ ยังมีลูกชายที่เสด็จพ่อรักนักรักหนา ดี! ดีจริงๆ เลย!”

 

 

อวี้เฟยเยียนรู้ดีว่า เชียนเยี่ยเสวี่ยอัดอั้นมานาน ต้องการหาวิธีระบายความอัดอั้นภายในใจออกมา ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวังหลวงอวี้เฟยเยียนจึงเล่าให้นางฟังทั้งหมดโดยไม่มีหมกเม็ด

 

 

โดยเฉพาะเรื่องที่เหล่าขุนนางทั้งหลาย ต่างก็พากันยืนอยู่ข้างหลิวกุ้ยเฟยและเยี่ยอ๋องสองแม่ลูก ไม่มีใครสนใจเชียนลั่วเฉิงสักคน

 

 

เชียนลั่วเฉิงถูกลูกเมียทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว กรรมตามสนอง เชียนเยี่ยเสวี่ยสุขใจอารมณ์ดียิ่งนัก

 

 

ยังดีที่เขาเนรเทศครอบครัวของท่านตาออกไป!

 

 

“มิเช่นนั้นเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น สกุลฉู่จะต้องยืนเคียงข้างเชียนลั่วเฉิง ยอมสู้ตายกับหลิวกุ้ยเฟยและเยี่ยน อ๋อง ในเมื่อแม่ทัพใหญ่เป็นพวกเดียวกับพวกมัน สามารถเข่นฆ่าขุนนางที่จงรักภักดีได้ เช่นนั้นพวกมันคงไม่ปล่อยสกุลฉู่! แล้วคนที่ต้องตายอยู่ที่ท้องพระโรงนั่นอาจจะเป็นท่านตาและท่านลุงทั้งหลายของข้าเป็นแน่!”

 

 

“เสด็จแม่ ท่านเห็นหรือยังเพคะ! สกุลฉู่มีโชคดีในความโชคร้าย หลบหนีจากเคราะห์กรรมนี้ไปได้!”

 

 

สิ่งที่เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวมา คือสิ่งที่อวี้เฟยเยียนคิด!

 

 

สิ่งเลวร้ายที่เชียนลั่วเฉิงพบเจอในวันนี้ เขาสร้างมันขึ้นมาด้วยมือของตนเองทั้งสิ้น

 

 

ใกล้ทรชน ห่างไกลขุนนางและปราชญ์ จึงตกต่ำลงจนถึงตอนนี้ ดังนั้นอวี้เฟยเยียนจึงขอมอบคำเดียวนี้ให้กับเชียนลั่วเฉิง นั่นก็คือ ‘สมน้ำหน้า ‘

 

 

“เสวี่ย ข้าได้คิดแผนการขั้นต้นเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”

 

 

อวี้เฟยเยียนเขยิบเข้าไปกระซิบแผนที่ข้างหูเชียนเยี่ยเสวี่ย

 

 

เมื่อนางกล่าวจบ เชียนเยี่ยเสวี่ยก็หัวเราะออกมา

 

 

“ช่าช่า ข้านึกไม่ถึงเลยว่า เจ้าก็เป็นนักวางแผนที่ร้ายกาจคนหนึ่ง! เดิมทีข้าคิดว่ารอให้ร่างกายข้าหายดีจะลอบเข้าวังสังหารพวกมันเสีย แล้วตัดหัวของพวกมันโยนให้หมากิน ตอนนี้ได้ฟังแผนการของเจ้า ข้าก็รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดีทีเดียว!”

 

 

“ให้พวกมันตายง่ายๆ สบายพวกมันเกินไป! เสด็จแม่ข้าสิ้นพระชนม์อย่างน่าอนาถ ข้าแค้นจนอยากจะกินเนื้อ ดื่มเลือด เลาะเส้นเอ็น ถลกหนังของพวกมันเสียด้วยซ้ำ!”

 

 

“ช่าช่า ทุกคืนข้ามักจะฝันเห็นเสด็จแม่ของข้า ร้องไห้อย่างน่าสงสาร ข้ายิ่งแค้นมันยิ่งนัก!”

 

 

พูดถึงตรงนี้ เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ยกมือปาดน้ำตา ปากก็เค้นรอยยิ้มเยาะออกมา

 

 

“ช่าช่าพูดถูก เช่นนั้นเรื่องนี้ข้าจะฟังเจ้าทุกอย่าง!”

 

 

รอจนอารมณ์เชียนเยี่ยเสวี่ยสงบลง อวี้เฟยเยียนจับมือนางเอาไว้

 

 

“เสวี่ย รอให้ร่างกายเจ้าดีขึ้นกว่านี้ ข้าจะรักษาดวงตาให้กับเจ้า! มีเพียงแต่ร่างเจ้าหายดี จึงจะสามารถล้างมลทินให้กับฮองเฮาและสกุลฉู่ได้ ดังนั้นเจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!”

 

 

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้ามากนะ!”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยเผยรอยยิ้มที่จริงใจออกมา

 

 

“ช่าช่า ได้มาพบกับเจ้า เป็นโชคดีที่สุดในชีวิตของข้า ข้าไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนเจ้าอย่างไรดี!”

 

 

“พูดอะไรอย่างนั้นเล่า เจ้ากับข้าเป็นอะไรกันเจ้าลืมแล้วหรือ พวกเราเป็นพี่น้องกัน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้านสิ!”

 

 

วาจาอวี้เฟยเยียน บรรยายความห้าวหาญในใจของเชียนเยี่ยเสวี่ยได้เป็นอย่างดี

 

 

“ใช่ พวกเราจะเป็นพี่น้องกันตลอดไป มีเจ้าก็มีข้า มีข้าก็มีเจ้า พี่น้องที่ดีต่อกันชั่วชีวิต!”

 

 

“ใช่ พี่น้องที่ดีต่อกันชั่วชีวิต!”

 

 

มือทั้งสี่จับกันเอาไว้แน่น สตรีผู้งดงามทั้งสอง ยิ้มกว้างออกมาจากหัวใจ