ตอนที่ 100-1 เล่นงานเจ้าไม่ตายให้มันรู้ไป!

จำนนรักชายาตัวร้าย

เพื่อให้เชียนเยี่ยเสวี่ยฟื้นตัวเร็วขึ้น อวี้เฟยเยียนจึงรับหน้าที่ทำอาหารทั้งสามมื้อให้กับนางรวมทั้งการสรรหาเมนูด้วย

 

 

หนานกงจื่อหลิงอิจฉาในความมีลาภปากของเชียนเยี่ยเสวี่ยเป็นอย่างมาก

 

 

“พี่อวี้ ท่านนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”

 

 

เมื่อตื่นนอน หนานกงจื่อหลิงราวกับแมลงวันตามก้นก็ไม่ปานตามติดเป็นลูกมือให้กับอวี้เฟยเยียนไม่ห่าง ซึ่งก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกเสียจากว่านางอยากจะเรียนรู้การทำอาหารบ้างนั่นเอง

 

 

ถึงแม้ว่าตี้อู่เฮ่ออีจะเป็นยอดฝีมือในการปรุงยา แต่กับข้าวที่เขาทำรสชาติแย่เสียยิ่งกว่ายาพิษเสียอีก มันกลืนแทบไม่ลง

 

 

ถึงแม้ว่าช่วงหลังมานี้ เขาจะว่าจ้างแม่บ้านคนหนึ่งมาทำกับข้าวและงานบ้านให้ แต่กับข้าวนั้นก็ยังไม่ถูกปากหนานกงจื่อหลิงอยู่ดี

 

 

ในฐานะที่เป็นถึงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหนานกง ถึงแม้บิดามารดาจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับนางเท่ากับหนานกงเช่อก็ตาม แต่ในเรื่องอาหารการกินความเป็นอยู่ พวกเขาก็มิได้ให้นางด้อยกว่าแต่อย่างใด ของทุกอย่างที่นางใช้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดทั้งสิ้น

 

 

ในระยะนี้ หนานกงจื่อหลิงรู้สึกว่าตนเองผอมจนหัวโต

 

 

จนกระทั่งอวี้เฟยเยียนมาจุดประกายเรื่องการบ้านงานครัว หนานกงจื่อหลิงจึงรู้สึกว่าชีวิตนางเริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

“หากข้ารสมือดีเช่นพี่ก็คงจะดี!”

 

 

เมื่อรู้ว่าหนานกงจื่อหลิงคือน้องสาวแท้ๆ ของซย่าโหวฉิงเทียน เป็นว่าที่น้องสามีในอนาคตของนาง อวี้เฟยเยียนจึงปฏิบัติต่อนางสนิทสนมใกล้ชิดขึ้นมาก

 

 

เพราะซย่าโหวฉิงเทียนเคยบอกเอาไว้ เมื่อตอนเขาอยู่บ้านตระกูลหนานกง หนานกงจื่อหลิงคือคนเดียวที่ดีกับเขาด้วยใจจริง และในครั้งนี้ที่หนานกงจื่อหลิงหนีมาก็เพื่อจะแจ้งข่าวสารให้กับซย่าโหวฉิงเทียนได้รับรู้

 

 

แม่นางน้อยผู้นี้เป็นคนดีคนหนึ่ง!

 

 

“ถ้าเจ้าชอบละก็ ข้าสอนเจ้าได้นะ!”

 

 

“จริงหรือ”

 

 

หนานกงจื่อหลิงดีอกดีใจเป็นอย่างมาก

 

 

“พี่อวี้ ท่านอย่างรังเกียจที่ข้าโง่นะ!”

 

 

“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน! เจ้าเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ จะต้องเรียนได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่!”

 

 

ได้รับกำลังใจจากอวี้เฟยเยียน หนานกงจื่อหลิงก็ยิ่งกระหายอยากเรียนมากยิ่งขึ้น ตี้อู่เฮ่ออีได้กลิ่นหอมของอาหาร จึงเดินตามมา

 

 

“แม่นางอวี้ กับข้าวที่เจ้าทำ เพิ่มตะเกียบอีกสักคู่จะได้หรือไม่”

 

 

ตี้อู่เฮ่ออีมองดูโจ๊กฟักทองที่กำลังเดือดพล่านอยู่ในหม้อแล้วก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ

 

 

“ข้ากินไม่เยอะหรอก จริงๆ นะ!”

 

 

ตี้อู่เฮ่ออีทำสีหน้านักเรียนดีเด่น ย้ำชัดอีกครั้ง

 

 

“พอแล้ว พอแล้ว!”

 

 

ด้วยรู้ว่าจุดประสงค์ของทั้งสองคือขอกินข้าวด้วย อวี้เฟยเยียนเองก็ใจกว้าง กวักมือเรียกอย่างมีน้ำใจ

 

 

“อีกเดี๋ยวกินข้าวด้วยกันนะ! มีข้าอยู่ พวกเจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะท้องจะหิว!”

 

 

“ดีจังเลย! แม่นางอวี้เจ้าช่างเป็นคนดีจริงๆ ”

 

 

ชื่นชมไม่หยุดปาก แล้วก็ผลุบกลับเข้าไปศึกษาส่วนผสมในยาของอวี้เฟยเยียนต่อ

 

 

เห็นอวี้เฟยเยียนตวัดมือตีแป้งเป็นวงกลม แล้วห่อด้วยกุ้ยช่ายอย่างรวดเร็ว หนานกงจื่อหลิงก็เริ่มทำตามท่าทางของอวี้เฟยเยียน ห่อมันขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ว่านางจะทำอย่างไร ก็ทำได้ไม่สวยเท่าอวี้เฟยเยียนทำเสียที

 

 

ทว่านางก็มิได้อารมณ์เสียแต่อย่างใด ต่อให้ห่อออกมาบิดเบี้ยว หน้าตาน่าเกลียดเพียงใด นางก็ยังไม่ยอมแพ้

 

 

“พี่อวี้ทั้งเก่งกาจทั้งอ่อนโยน หากได้แต่งงานกับพี่ใหญ่ก็คงจะดี!”

 

 

หนานกงจื่อหลิงมองไปที่อวี้เฟยเยียน พลางครุ่นคิดในใจ

 

 

ถึงแม้นางจะดูออกว่าซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนเป็นคนรักกัน แต่ในใจหนานกงจื่อหลิงก็ยังรู้สึกว่าพี่ใหญ่ต่างหากที่ดีที่สุด

 

 

ดูท่าทางซย่าโหวฉิงเทียนทั้งเย่อหยิ่ง เย็นชา โหดเ**้ยม…

 

 

คนเช่นนี้ไม่เหมาะสมจะเป็นสามีใคร!

 

 

พี่อวี้อ่อนโยนเพียงนี้ จะต้องถูกรังแกเป็นแน่!

 

 

เฉกเช่นเดียวกับพี่ใหญ่นาง ถึงแม้ว่าเขาจะพูดไม่เก่ง แต่ก็จิตใจดี นี่จึงเหมาะกับการที่พึ่งพาให้กับสตรี!

 

 

หนานกงจื่อหลิงยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่านิสัยอวี้เฟยเยียน รวมทั้งความสามารถในทุกด้าน เหมาะสมกับพี่ใหญ่นางทุกประการ อีกอย่างพี่ใหญ่ลำบากมาตั้งแต่เล็ก ต้องการดอกไม้ที่งามทั้งกายและใจเช่นนี้อยู่เคียงข้าง

 

 

คิดแล้ว หนานกงจื่อหลิงก็วิ่งเข้าไปหาอวี้เฟยเยียน

 

 

“พี่อวี้ ข้ามีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นคนดีมากนะ เอ่อ…ท่านอยากจะทำความรู้จักสักหน่อยหรือไม่ ข้าอยากได้ท่านเป็นพี่สะใภ้ของข้า จริงๆ นะ…”

 

 

ด้วยเกรงว่าอวี้เฟยเยียนจะถูกซย่าโหวฉิงเทียนชักจูงไป หนานกงจื่อหลิงจึงรีบอธิบายว่า

 

 

“พี่ชายข้าเป็นคนดีจริงๆ อย่างไรเสียให้โอกาสคนอื่นก็เท่ากับให้โอกาสตัวเองด้วย ใช่หรือไม่เจ้าคะ!”

 

 

“พี่อวี้ ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนปฏิเสธ รอให้ข้าตามหาพี่ชายข้าเจอเสียก่อน แล้วพวกท่านพบหน้ากันสักครั้ง ก็ได้นี่นา! ไม่แน่นะ เมื่อท่านได้พบพี่ชายข้าแล้ว ท่านอาจจะรู้สึกว่าพี่ชายข้าดีกว่าซย่าโหวฉิงเทียนมากนัก!”

 

 

“แค่ก…”

 

 

อวี้เฟยเยียนถึงกับสำลักน้ำลายเลยทีเดียวเมื่อหันหลังกลับไปก็พบว่าซย่าโหวฉิงเทียนยืนที่ประตูด้วยสีหน้าประหลาด จนอวี้เฟยเยียนหัวเราะออกมา

 

 

น้องสาวแท้ๆ พยายามเลื่อยขาเก้าอี้เขาสุดชีวิต รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง

 

 

หนานกงจื่อหลิงเองก็เห็นซย่าโหวฉิงเทียนเช่นเดียวกัน เดิมนางคิดว่าเขาคงจะโกรธเกรี้ยวเป็นแน่ แต่นึกไม่ถึงว่า เขาเพียงแต่มองมาที่นางแวบหนึ่งแล้วหมุนกายเดินจากไปทันที

 

 

“พี่อวี้ ท่านดูสิ เขาไม่สนใจพี่เลยด้วยซ้ำ”

 

 

หนานกงจื่อหลิงกระซิบบอก

 

 

“คนทั่วไปหากเจอเรื่องเลื่อยขาเก้าอี้ตัวเองเช่นนี้ คงจะอาละวาดตีโพยตีพายไปแล้ว แต่นี่เขากลับ…”

 

 

หนานกงจื่อหลิงต้องการที่จะบอกว่า ‘เขาปล่อยนางไป’ เช่นนี้ ไม่ได้ตบตีหรือว่ากล่าวแม่สื่อเช่นนางสักคำ

 

 

“เขาจะต้องไม่จริงใจกับท่านแน่ๆ!”

 

 

ถึงตอนนี้ อวี้เฟยเยียนก็พอเข้าใจในลักษณะนิสัยหนานกงจื่อหลิงบ้างแล้ว หนานกงจื่อหลิงอบอุ่นซื่อตรง ขณะเดียวกันก็ใสซื่อและน่ารักใคร่

 

 

เอาเถอะ แม่นางน้อย คนผู้นั้นก็คือพี่ชายเจ้าอย่างไรเล่า!

 

 

เจ้าโน้มน้าวให้พี่สะใภ้ในอนาคตเจ้าเบนเข็มไปชอบคนอื่น มันจะดีหรือ หากเปลี่ยนจากเจ้าเป็นคนอื่น พี่ชายเจ้าคงจะสับเขาคนนั้นเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว…

 

 

ขณะที่กินข้าว หนานกงจื่อหลิงลอบมองซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ครูหนึ่ง พบว่าเขามิได้มองมาที่ตนแต่อย่างใด เขาเพียงแต่กำลังนั่งกินข้าวอย่างเบื่อหน่าย หนานกงจื่อหลิงจึงถอนใจออกมา

 

 

ดูท่าแล้ว เขาคงจะเป็นเสือคนหนึ่ง

 

 

ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังอยากจะได้อวี้เฟยเยียนมาเป็นพี่สะใภ้อยู่ดี!

 

 

เพื่อพี่ชายและพี่อวี้แล้ว นางจะต้องจับคู่คนทั้งสองอย่างเต็มกำลัง!

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนเองก็เดาความคิดหนานกงจื่อหลิงออก ส่วนการที่น้องสาวเขาเอาแต่เลื่อยขาเก้าอี้เขาอย่างไม่ลดละ เขาก็ถึงกับพูดไม่ออก

 

 

คงจะถึงเวลาที่จะต้องนับพี่นับน้องกันแล้วกระมัง!

 

 

มิเช่นนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่รู้ว่าหนานกงจื่อหลิงจะทำเรื่องสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอะไรออกมาอีก! ไม่แน่นะว่านางอาจจะโน้มน้าวให้อวี้เฟยเยียนหนีไปพร้อมกับนาง เพื่อไปตามหา ‘พี่ชาย’ ของนางก็เป็นได้

 

 

ต้องมาเผชิญหน้ากับน้องสาวที่จงรักภักดีกับตนถึงเพียงนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว!

 

 

อวี้เฟยเยียนเตรียมอาหารเช้าให้เชียนเยี่ยเสวี่ยแยกออกมาอีกชุด หลังจากป้อนให้นางเรียบร้อยแล้ว อวี้เฟยเยียนก็ประคองนางขึ้นนั่ง เพื่อให้อาหารที่กินเข้าไปย่อย

 

 

“อีกสักครู่ข้าจะเข้าวัง เพื่อกรุยทางให้กับเจ้า!”

 

 

อวี้เฟยเยียนกล่าวขึ้น

 

 

“ช่าช่า เจ้าจะไปทำลายบรรยากาศสิไม่ว่า!”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยหัวเราะขึ้นมา

 

 

เพียงแค่อวี้เฟยเยียนเอ่ยปากขึ้น นางก็รู้ทันทีว่าเพื่อนรักต้องการจะทำอะไร

 

 

“เชียนลั่วเฉิงเกิดเรื่อง เชียนเจิ้นหยางกุมอำนาจทั้งหมดแทน วันนี้เขาจะต้องแสดงอำนาจครั้งใหญ่เป็นครั้งแรกแน่ เจ้าไปหักหน้าเขาในตอนนี้ น่าสนุกที่สุดเลย ช่าช่า เจ้าต้องช่วยข้าเหยียบมันให้จมเลยนะ!”

 

 

“ไม่มีปัญหา เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้า!”

 

 

 “เสวี่ย จริงๆ แล้วข้ามีความคิดที่ดีกว่านั้น!”

 

 

อวี้เฟยเยียนเขยิบเข้าไปหาเชียนเยี่ยเสวี่ย แล้วกระซิบบางอย่างให้กับนางฟังครู่ใหญ่

 

 

“ช่าช่า เจ้า…คืออวี้เฟยเยียน”

 

 

ได้ฟังในสิ่งที่อวี้เฟยเยียนกล่าวออกมา เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก

 

 

นึกไม่ถึงว่าอวี้หลัวช่ากับอวี้เฟยเยียนคือคนคนเดียวกัน!

 

 

“อืม! ท่านปู่ข้าคือจงอี้กงอวี้จิงเหลย เจ้าเคยพบมาแล้ว ส่วนลุงสามข้า เขาคือแม่ทัพใหญ่แห่งต้าโจว”

 

 

ครั้งก่อนเมื่อตอนที่อยู่ที่หอราชาโอสถ อวี้เฟยเยียนก็คิดจะบอกเรื่องนี้ให้กับเชียนเยี่ยเสวี่ยได้รู้

 

 

แต่ตอนหลังเชียนลั่วเฉิงเขียนจดหมายมาเรียกเชียนเยี่ยเสวี่ยให้กลับไปเสียก่อน อวี้เฟยเยียนจึงไม่มีโอกาสได้พูดเรื่องนี้

 

 

“ช่าช่า หากเจ้าคืออวี้เฟยเยียน เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ง่ายขึ้นมากทีเดียว!”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยยกยิ้มที่มุมปาก

 

 

นางไม่สนใจว่าระหว่างต้าโจวและฉินจื้อมีความแค้นอะไรกัน นางและอวี้เฟยเยียนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน นั่นเป็นเรื่องจริงอย่างมิต้องสงสัย มิตรภาพของทั้งสองคือมิตรภาพข้ามแคว้น