ตอนที่ 324 เมฆหนา
“อ๊ะฮ่า ใครนี่ เจ้ายังเป็นอีลั่วเสวี่ยอยู่หรือเปล่า ดูย่ำแย่แบบนี้ ไม่เหมือนเจ้าเลยจริงๆ” ลูกบอลเงินมองดูอีลั่วเสวี่ยที่ยืนหลังพิงประตู มันกลอกตารอบหนึ่ง น้ำเสียงเย้ยหยัน
อีลั่วเสวี่ยทำตาขวางใส่ลูกบอลเงิน “คราวหน้าถ้าเราอยู่กันตามลำพัง เจ้ากล้าเข้ามาวุ่นวาย ระวังตัวเถอะ ข้าจะจับเจ้าถอดเป็นชิ้นๆ ให้เจ้ากลับดาวไม่ได้”
“เข้าใจแล้ว ก็แค่ให้เจ้ามีสิทธิในชีวิตส่วนตัวใช่ไหม ข้าไม่เข้าไปในห้องก็ได้” ไม่ต้องเข้ามาในห้อง มันก็ได้ยินและมองเห็นสีหน้าอีกฝ่ายได้ แน่ละ มันไม่บอกเรื่องนี้กับอีลั่วเสวี่ย
“จำไว้ก็ดีแล้ว” เนื่องจากเจ้าลูกบอลเงินถือเธอเป็นเจ้านาย ปกติแล้วจะไม่จากไปนาน ข้อแรกเป็นการคุ้มกันความปลอดภัยของมัน ข้อสองไม่มีเจ้าของร้านคนไหนจะทิ้งร้านของตนเอง
ลูกบอลเงินลอยมาอยู่ตรงหน้าอีลั่วเสวี่ย “แต่พูดก็พูดเถอะ เจ้าวิ่งหนีอะไรมา เจ้ากลัวเฉวียนหมิงจะกินเจ้าแล้วทิ้งหรือ?” ท่าทางเมื่อกี้…ดูเหมือนจะเขินอาย นับว่าเพิ่งเห็นครั้งแรก
“กินแล้วทิ้ง? ข้ากลัวว่าข้าจะกินเขาต่างหาก” เธอจำต้องยอมรับว่า คนรูปหล่ออย่างเฉวียนหมิงสามารถทำให้ผู้หญิงทำผิดได้ โดยเฉพาะเธอ บัดนี้เธอยอมรับเขาจากส่วนลึกของหัวใจ
ผู้ชายหล่อเหล่าวนเวียนอยู่ตรงหน้าเธอ คอยมองตาด้วยดวงตาที่เปี่ยมด้วยรักตลอดเวลลา เธอเองก็เป็นผู้หญิงธรรมดา จะอดใจไว้หรือ คริคริ…
ลูกบอลเงินได้ยิน ก็ถอยห่างจากเธอทันที มันแปลกใจมาก “แม่คุณ เจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ!” เธอจะรุกแล้วใช่ไหมนี่ โอ้แม่เจ้า หมอนี้หล่อนี่นา เจ้านายของมันก็ควรจะวางตัวอย่างนี้!
อีลั่วเสวี่ยทำอะไรไม่ถูก แล้วลูบหน้าอย่างไม่รู้ตัว คิดอะไรนี่ ก็สองชาติของเธอยังไม่เคยมีผู้ชาย นึกถึงเพศตรงข้ามแล้ว
เธอใช้น้ำเย็นล้างหน้าแรงๆ นอนลงบนเตียงทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ เพราะห้องข้างๆ มีหนุ่มรูปหล่อ พอคิดถึงเฉวียนหมิง เธอก็รู้สึกว่าความคิดสับสนไปหมดแล้ว
จนกระทั่งกลางดึก เธอทนไม่ไหว เริ่มทำสมาธิ เข้าสู่สภาวะบำเพ็ญเพียร จึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง อันความรักนั้นสามารถทำให้คนที่มีจิตใจมุ่งมั่นอย่างแรงกล้ายอมโยนเสื้อเกราะทิ้ง
อีกด้านหนึ่งทางอวิ๋นเว่ยซึ่งกลับไปสองเดือนกว่าแล้ว ฐานะเขาในกองทัพไม่ได้รับผลกระทบ จึงหาเวลากลับไปเยี่ยมบ้านสกุลอวิ๋น
“ท่านแม่ทัพ นายท่านรอคุณอยู่ในห้องหนังสือครับ” เพิ่งกลับถึงคฤหาสน์หรูหรา ขณะที่เดินผ่านสนาม คนสวนกำลังตัดแต่งต้นไม้ พอเห็นอวิ๋นเว่ยก็พูดเตือนทันที
“รู้แล้ว ฉันจะไปหาท่าน”
พอมาถึงหน้าประตูห้องหนังสือ อวิ๋นเว่ยจัดเสื้อผ้าให้เข้ารูป เคาะประตูแล้วเดินเข้าไป
“พ่อ ผมกลับมาแล้วครับ”
มีเสียงดัง “เพี๊ยะ!” ผู้เฒ่าซึ่งใช้พู่กันเขียนอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าวางพู่กันลงบนโต๊ะ แล้วตบโต๊ะอย่างแรง จนทำให้หมึกกระจาบไปบนโต๊ะ
“ยังรู้จักกลับมาหรือ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกให้ทางบ้านรู้ แกรู้ไหม แม่แกโมโหจนล้มป่วยแล้ว! แกนะแก!” ท่านผู้เฒ่าพูดตำหนิ แต่พอเห็นแววตาอวิ๋นเว่ยเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด สุดท้ายจึงไม่พูดต่อ
ผู้เฒ่าโบกมือ “ช่างเถอะ ด่าแกไปก็เท่านั้น วันหลังถ้าเรื่องแบบนี้ต้องปรึกษากับทางบ้าน ถึงพ่อจะถอยออกมาแล้ว คนพวกนั้นไม่กล้าทำอะไรตามอำเภอใจหรอก” ท่านผู้เฒ่าหมายกถึงเรื่องที่อวิ๋นเว่ยถูกลอบสังหารหลังจากบาดเจ็บ
ท่าผู้นี้ก็คืออวิ๋นเซิน บิดาของอวิ๋นเว่ย
“พ่อครับ แม่ผมสุขภาพเป็นยังไงบ้าง?” อวิ๋นเว่ยนั่งลงด้วยความรู้สึกผิด เขาพักฟื้นอยู่ในกองทหารจนหายดี มองไม่เห็นอาการป่วยแล้ว จึงได้กลับมา ไม่เช่นนั้นแม่เขาคงต้องถอนหายใจไม่รู้กี่ครั้ง
“พ่อไม่ได้บอกทุกเรื่องให้แม่แกรู้ บอกเพียงว่าแกถูกยิงเข้ารับการผ่าตัด ต้องพักฟื้น ไม่เหมาะจะเดินทางไกล แม่แกถึงวางใจ โขคดีที่ในโทรศัพท์แกไม่ได้เผลอพิรุธออกมา”
ตอนที่ 325 ทำไมไม่พาหลานสาวพ่อกลับมา
อวิ๋นเว่ยได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจหนักๆ “งั้นก็ดีแล้ว ขอบคุณครับพ่อ” ขอบคุณที่บิดาไม่ได้พูดทั้งหมด ที่เขาไม่ได้แจ้งให้คนที่บ้านรู้ เป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาเคยบอกกับจ้าวจวินและพวกว่าถ้าเกิดเขาเป็นอะไรไป ต้องยืดเวลาบอกครอบครัวเขาให้ช้าหน่อย ยกเว้นเขาใกล้หมดลมหายใจแล้ว มิฉะนั้นห้ามบอก มารดาเขาทนรับความกระทบกระเทือนใจไม่ได้
“เราพ่อลูกกัน พูดขอบใจเป็นการเกรงใจเกินไป จริงสิ ได้ยินว่าแกอยู่ข้างนอกหาหลานสาวคนหนึ่งให้พ่อ ทำไมคราวนี้กลับมา ถึงไม่มากับแกด้วยล่ะ?”
อวิ๋นเว่ยมีคุณหนูใหญ่แล้ว มีเวลาว่างเป็นต้องโทรหา รักและเอ็นดูไม่มีอะไรเทียบได้ ถึงกับยกคฤหาสน์เก่าตระกูลอวิ๋นมอบให้เป็นชื่อเธอ บวกกับลูกน้องเขาต่างวิจารณ์เรื่องนี้จนกระฉ่อน แกจึงพลอยแปลกใจไปด้วย
“พ่อ คงไม่คิดจะเอาบ้านกลับคืนมาใช่ไหม พ่อเคยบอกว่าบ้านหลังนั้นเป็นของผม ผมจะจัดการอย่างไรก็ได้” ก่อนนี้ที่เขาแต่งงาน บ้านหลังนั้นใช้ชื่อภรรยาเขาแล้ว
อวิ๋นเซินแปลกใจ “พ่อของแกเป็นคนใจแคบแบบนั้นหรือ พ่อแปลกใจต่างหาก เด็กสาวอะไรถึงทำให้ลูกชายพ่อยอมสละขนาดนั้น”
แม้จะบอกว่าเป็นบุตรสาวบุญธรรม แต่อวิ๋นเว่ยปฏิบัติต่อเธออย่างนี้ สนิทเหมือนคนในครอบครัว อย่างไรก็น่าจะพามาให้ดูตัวบ้าง มารู้จักปู่กับย่า ไม่งั้นจะใช้ได้หรือ ไม่งั้นอาจถูกคนใส่ร้ายว่ ลูกชายตนรับเธอเป็นลูกสาว แต่ลับหลังไม่รู้ว่าจะลือกันอย่างไร
“เธอหรือครับ เป็นเด็กฉลาดและคล่องมาก พ่อต้องชอบเธอแน่นอน เธอชื่ออีลั่วเสวี่ย ชื่อเพราะใช่ไหมครับ?”
“อวิ๋นลั่วเสวี่ย อีลั่วเสวี่ย…” อวิ๋นเซินนึกทบทวน หลานสาวในอดีตนั้น เขาได้อุ้มหลายครั้ง ผิวขาวราวกับหิมะ อ่อนนุ่มจนแทบปริเมื่อถูกลมพัด เพราะเธอเกิดในวันที่หิมะตก
ครั้งนั้นเขากับเมียอยากให้หลานอยู่ด้วย แต่ตอนนั้นคำนึงว่าลูกชายต้องการที่พึ่งพิงทางใจ มีลูกสาวที่น่ารักอยู่ด้วย บางทีเขาคงไม่เศร้าจนเกินไป
แต่คิดไม่ถึงว่าต่อมาจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ถ้าทีแรกพวกตนยืนกราน บางทีอาจจะไม่เกิดเรื่องตอนหลังนั้นแล้ว เรื่องเศร้าในอดีตที่ลืมไปนานแล้วผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ
เพราะเกิดเรื่องนั้นขึ้น พวกเขาต่างรู้สึกว่าตนเองต้องรับผิดชอบ หลายปีมานี้จึงไม่ได้กลับไปเมือง F อีก ก่อนนี้เมือง F มีขนาดเท่าอำเภอ เวลานี้ผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว
“ลูกพ่อ ทำไมไม่พาเธอมานับญาติ มีพ่ออย่างแกแล้ว ก็ควรบอกเธอว่ายังมีปู่กับย่า แกไม่ได้พูดงั้นหรือ?” อวิ๋นเซินขมวดคิ้ว
อวิ๋นเว่ยยิ้ม “ผมก็แค่ลืมไป อีกอย่างผมรับลูกสาว ไม่ใช่พ่อกับแม่รับหลานสาว”
“ไอ้ลูกเวร ลูกสาวแกไม่ใช่หลานข้าหรือไง?” เวลานี้ดูแล้ว ที่อวิ๋นเว่ยมีนิสัยพูดจาหยาบกร้านหัดมาจากใครคงไม่ต้องบอกว่า ตามพ่อนั่นเอง
“ผมไม่ได้ไม่บอกหรอก พ่ออย่าโมโห” อวิ๋นเว่ยเริ่มเหงื่อแตก ข้อเสียอย่างเดียวของบิดาเขาคือชอบขึ้นเสียง แต่เขากลับไม่รู้ตัวว่าเขาเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
“พ่อโมโหแล้วหรือ ใครโมโห? ไม่ใช่พ่อ!” อวิ๋นเซินเชิดคางขึ้นอย่างหยิ่งผยอง แล้วนั่งพิงเก้าอี้
อวิ๋นเว่ยกุมขมับ “ใช่ครับ พ่อไม่ได้โมโห”
“นี่ ไอ้ลูกชาย ข้ากำลังพูดเรื่องหลานสาวกับแก ทำไมเปลี่ยนเรื่องพูด พ่อถามแกว่าทำไมไม่พาเธอกลับมาด้วย? บอกมา แกทิ้งเธอไว้ที่ไหน มีคนดูแลเธอไหม?”
“พ่อ พ่อก็รู้อยู่แล้ว ที่บ้านเก่าตระกูลอวิ๋น เมือง F อาเหมาคอยดูแล พ่อจะถามทำไม” ต้องฟังเขาพูดให้ได้หรือ พ่อข่าวไวกว่าเขาด้วยซ้ำ
“นั่นจะเหมือนกันหรือ ข่าวอาจผิดพลาด ต้องฟังแกพูดถึงจะแม่นยำ แกนะแก ทำไมไม่พาเธอมาด้วย ให้แม่แกพลยยดีใจด้วย”