ตอนที่ 1630 เขาหน่วงเทพบรรพกาล

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ตอนที่ 1630 เขาหน่วงเทพบรรพกาล
เจิ่งชี หนิงเทียนปิง และเหล่าคนของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นต่างมองดูไปที่ข่านซัวเป็นตาเดียว ดวงตาของพวกเขาทุกคนเปี่ยมไปด้วยเพลิงแค้นที่แทบจะเผาพลาญผู้คนได้

เย่หยวนนั้นคืออนาคตและความหวังของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ แต่กลับต้องมาถูกคนเช่นนี้สังหารลงง่ายๆ

พวกเขาทั้งหลายกล้าที่จะโกรธแค้น แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำพูด

เพราะข่านซัวนั้นแข็งแกร่งจนเกินไป!

หากตอนนี้ไม่มีซ่งหยูอยู่ ข่านซัวคงจัดการสังหารคนของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ตามไปพร้อมๆ กันแล้ว

แต่การสังหารเย่หยวนคนเดียวและสังหารพวกเจิ่งชีทั้งหมดนั้นมันคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง

เรื่องนี่ข่านซัวก็เข้าใจดี เขาจึงไม่ได้คิดที่จะลงมือทำอะไรอีก

“จัดการแมลงเจ้าปัญหาได้แล้ว ไปกันเถอะ” ข่านซัวบอกออกมาอย่างไม่คิดจะสนใจ ราวกับว่าเรื่องที่เขาทำไปนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาในโลกหล้า

พวกซ่งหยูจึงพยักหน้ารับและมุ่งหน้าตามข่านซัวไป

ทั้งสามคนโจมตีออกไปด้วยระหว่างทาง ส่งร่างของเต่าดำแม่เหล็กอนันต์กระเด็นไปไกลจนมันไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อต้านใดๆ พวกเขาได้อีก

แต่ทว่าพลังป้องกันของเต่าดำแม่เหล็กอนันต์นั้นมันก็ช่างแข็งแกร่ง แม้จะโดนกระหน่ำโจมตีหนักแค่ไหน มันก็ยังไม่แสดงทีท่าว่าใกล้จะสิ้นใจออกมาเลย

พลังของยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์นั้นมันทำให้ผู้คนที่ได้เห็นต้องตกตะลึง ตอนนี้พวกเขาได้เห็นภาพอย่างชัดเจนแล้วว่าอาณาจักรนภาสวรรค์มันแข็งแกร่งมากแค่ไหน

ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์นั้นมันแข็งแกร่งเกินกว่าจะมีใครต้านทานจริงๆ

ต่อให้พลังการบ่มเพาะของพวกเขาถูกกด แต่พวกเขาก็ยังแข็งแกร่งและเหาะเหินเดินอากาศได้อย่างไร้ความกังวล

ไม่นานนักเงาร่างของคนทั้งสามก็หายลับไปจากสายตาของทุกผู้คน

สีหน้าของเกาหยุนนั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้งในตัวเอง หลังลังเลอยู่อีกนิดหน่อยเขาก็เร่งฝีเท้าตามเข้าไปในหุบเขา

ส่วนอีกหลายๆ คนที่เหลือเลือกที่จะหยุดและไม่ลงมือทำเรื่องใดๆ ต่ออีก พวกเขาเริ่มนั่งตั้งสติอยู่กับที่

“ผู้อาวุโสใหญ่ เราจะเอายังไงกันดี?” หนิงเทียนปิงกล่าวขึ้นถามเจิ่งชี

เจิ่งชีนั้นมีใบหน้าเสียใจถึงขั้นสุด “ข้าทำผิดต่อเย่หยวน! ข้าไม่ควรพาเขาลงมายังที่แห่งนี้ด้วยเลยจริงๆ ตอนนี้… ข้าจะต้องทำยังไงต่อไปดี?”

หนิงเทียนปิงจึงพูดขึ้น “ผู้อาวุโสใหญ่ เรื่องนี้หาใช่ความผิดท่านไม่ มันเป็นความผิดเผ่าปีศาจทั้งนั้น!”

เจิ่งชีกัดฟันแน่น “ข้าเกลียดตัวเอง! ศัตรูของท่านอาจารย์อยู่ตรงหน้าข้าแท้ ๆ แต่ข้ากลับทำอะไรมันไม่ได้! แถมตอนนี้เย่หยวนยังถูกสังหารไปต่อหน้าต่อตาข้าง แต่ข้ากลับไม่มีปัญญาจะแก้แค้นให้เขา! ข้ามัน… ช่างไร้ประโยชน์เสียจริงๆ”

ความเสียใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทั้งหมด พวกเขาทั้งหลายต่างมีความรู้สึกไม่แตกต่างกันนัก

ทุกคนไม่ได้สังเกตเลยว่ามีฝุ่นผงก้อนหนึ่งกำลังลอยผ่านหน้าพวกเขาไป ลอยเข้าไปยังส่วนลึกของหุบเขา

ร่างทั้งสามนั้นบินเข้ามาลึกในหุบเขา

“เด็กคนเมื่อกี้ ดูท่ามันจะยังมีความลับอะไรซ่อนไว้อีกเยอะ น่าเสียดายที่ต้องตายลงแบบนั้น” ซ่งหยูบอก

“แน่นอนสิ! เด็กคนนั้นมันสามารถปลอมตัวเป็นเผ่าปีศาจได้อย่างแนบเนียนจนไม่มีใครจับสังเกตมันได้ เรียกทำนองแห่งยอดเต๋า แถมตอนนี้ยังบรรลุแนวคิดแห่งห้วงมิติอีก คงอย่างมันจะไม่มีความลับใดๆ ซ่อนอยู่ได้อย่างไร?” ข่านซัวบอก

“ทั้ง ๆ อย่างนั้นเจ้ากลับสังหารมันลงง่ายๆ อย่างนั้น?” ซ่งหยูสวน

“หรือยังไง? เจ้าจะปล่อยให้ข้าพาตัวของมันไปต่อหน้าต่อตาเจ้ารึ?” ข่านซัวถามกลับมา

“เรื่องนั้นคงเป็นไปไม่ได้!” ซ่งหยูตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม

“งั้นก็จบเรื่องกันได้แล้ว! ด้วยความสามารถของมันรีบๆ ตายไปก่อนจะดีกว่า! ต่อให้ข้าจะมีโอกาสรีดความลับของมันได้ แต่ข้านั้นรักชีวิตตัวเองมากกว่า บางทีอาจจะไม่ต้องให้มันขึ้นถึงอาณาจักรนภาสวรรค์มันก็อาจจะมาตามล่าข้าแล้วก็ได้” ข่านซัวหรี่ตาพูดออกมา

ใช่แล้ว ความสามารถอันเหนือล้ำของเย่หยวนนั้นมันทำให้เขาเกิดกลัวขึ้นมาในใจ

จริงๆ ข่านซัวเองก็ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะได้มาเจอเย่หยวนเข้าที่นี่เสียด้วยซ้ำ

พวกเขาทั้งหลายนั้นตามดูกองกำลังของตนจากมุมมืดและประเมินสถานการณ์อยู่เสมอ

ตอนที่ดาราสวรรค์และตี้เอิ่นจำเย่หยวนขึ้นมาได้ ข่านซัวก็ต้องสะท้านขึ้นมาด้วย

เพราะเรื่องที่เย่หยวนก่อไว้ในเผ่าปีศาจนั้นมันใหญ่เกินกว่าที่จะลืม ทางโถงโลหิตมรณะเองก็ได้บอกเรื่องราวของเย่หยวนให้แก่ข่านซัวจนสิ้น

แต่ตัวตนอย่างบรรพกาลราตรีนั้นมันเป็นเพียงแค่ตัวตนปลอมๆ ที่ถูกสร้างขึ้น ข่านซัวจึงไม่รู้เลยว่าจะไปเริ่มค้นหาจากที่ไหนดี

จนมาถึงวันนี้ ที่จู่ๆ เขาก็ได้เจอโชคใหญ่ มาพบกับเย่หยวนเข้า

หากเขาเป็นคนธรรมดาๆ คงไม่เท่าไหร่ แต่เย่หยวนนั้นมีความสามารถที่น่าสะพรึงจนข่านซัวต้องเกรงกลัวขึ้นมา

เด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ากลับสามารถรับมือนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวได้ถึงห้าคน การปล่อยให้เขาฝึกฝนตัวต่อไปมีหรือที่ข่านซัวจะยอม?

ที่สำคัญความเร็วในการบ่มเพาะของเย่หยวนนั้นมันเร็วเหนือฟ้ามาก

ด้วยความเร็วระดับนี้การที่เขาจะขึ้นมายังอาณาจักรนภาสวรรค์นั้นคงกินเวลาอีกไม่นานนัก!

ด้วยภัยร้ายระดับนี้ข่านซัวจึงไม่คิดจะปล่อยให้เย่หยวนได้เติบโตอีกต่อไป

เมื่อครั้งนี้ได้มาเจอกันเข้า เขาจึงตัดสินใจสังหารอีกฝ่ายเพื่อเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม

ซ่งหยูพยักหน้ารับออกมา เขาเข้าใจเหตุผลในการกระทำของข่านซัวดี

เพราะหากเขาอยู่ในตำแหน่งนั้น เขาก็คงทำเช่นนี้เหมือนกัน

หางตาซ่งหยูกระตุกเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอันเย็นเหยียบ “เหมือนว่าจะมีหนูตามเรามาหลายตัวเลยทีเดียว!”

ข่านซัวจึงตอบกลับไปอย่างไม่สนใจ “แค่หนูสกปรก มันไม่มีทางทำอะไรได้มากมายหรอก หากมันคิดจะทำอะไรจริงๆ เราจะจัดการมันตอนนั้นก็ยังไม่สาย”

ซ่งหยูจึงยิ้มตอบ “พวกโง่เหล่านี้มันไม่ประเมินความสามารถตนเอง คิดว่าจะเข้ามาลุ้นเสี่ยงโชค หาได้รู้ไม่ว่าโชคนั้นจะมาพร้อมกับความตาย!”

จู่ๆ สีหน้าของคนทั้งสาม ก็เปลี่ยนไปเมื่อได้พบเจอกับคลื่นแรงโน้มถ่วงที่แสนรุนแรงตรงหน้า

ร่างของทั้งสาม ร่วงลอยลงมาที่พื้นด้านล่างอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

หลังหายตกใจ ทั้งสามก็มีสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความโลภทันที

“เหมือนว่ามันจะอยู่ไม่ไกลแล้ว! คลื่นที่รุนแรงระดับนี้ อย่างน้อยๆ คงเป็นสมบัติเซียนเทียนนภาสวรรค์!” ข่านซัวบอก

นั้นทำให้ใบหน้าของซ่งหยูตื่นตระหนกขึ้น “เป็นสมบัติเซียนเทียนนภาสวรรค์จริงๆ ด้วย!”

หลังความปีติยินดีจางหายไป ข้อตกลงที่ทั้งสามทำร่วมกันมันก็เกิดรอยร้าวขึ้น

ตอนนี้ระหว่างทั้งสามคนนั้นมีบรรยากาศที่ยากจะอธิบายได้อยู่

ท่าทางอันเยือกเย็นของทุกคนเปลี่ยนกลางเป็นเทพอสูรผู้กระหายสงครามไป

ซู้ม!

ซ่งหยูที่หนุ่มที่สุดเป็นคนแรกที่ห้ามตัวเองไว้ไม่ไหว

ข่านซัวเห็นแบบนั้นจึงหัวเราะรับและโจมตีออกมาบ้าง

ตอนนี้เล่ออี้นั้นคิดจะใช้จังหวะที่ทั้งสองปะทะกันแอบหลบหนีไปหาสมบัติเพียงคนเดียว

แต่ทว่าทั้งสองคนไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นแน่ๆ การโจมตีของทั้งสองคนนั้นมุ่งหน้าเข้ามาหาเล่ออี้แทน

นั่นทำให้ทั้งสามต้องเข้าปะทะกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ กลายร่างเป็นสามเหลี่ยมพลังงาน

การต่อสู้ของยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวนั้นมันรุนแรงจนฟ้าถล่มดินทลาย

แต่ด้วยความที่ฝีมือของทั้งสามนั้นไม่ได้ทิ้งห่างกันมากมาย สุดท้ายจึงไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ

บัง! บัง! บัง!

เสียงการโจมตีอันหนักหน่วงนั้นส่งเศษฝุ่นเศษดินกระจายไปทั่วบริเวณ

ทั้งสามคนพยายามเดินหน้าไประหว่างที่ปะทะกันไป

จู่ๆ ก็เกิดแสงหนึ่งเลื่อนส่องสว่างผ่านศีรษะของพวกเขาไป ทั้งสามคนที่ได้เห็นนั้นสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลของมัน ทำให้ร่างกายของพวกเขาเคลื่อนไหวได้ยากขึ้นมาก

ที่ด้านหน้าไกลออกมา มีเนินเขาสีดำตั้งอยู่ ปล่อยพลังงานที่สะท้านไปถึงจิตวิญญาณออกมาเรื่อยๆ

แรงโน้มถ่วงในพื้นที่นี้มันเกิดขึ้นมาเพราะเจ้าเนินเขานี้นี่เอง!

“แสงหน่วงเทพบรรพกาล! นั่นมัน… เขาหน่วงเทพบรรพกาล! ฮ่าฮ่าฮ่า… ที่แห่งนี้มันให้กำเนิดเขาหน่วงเทพบรรพกาลขึ้นมา! ด้วยเขาหน่วงเทพบรรพกาลนี้พลังของข้าคงเพิ่มพูนขึ้นไปอย่างมหาศาลแน่ๆ” ซ่งหยูกล่าวออกมาราวกับคนคลั่ง

ตอนนี้อีกสองคนเองก็มีอารมณ์ไม่ต่างจากซ่งหยูนัก ข่านซัวหัวเราะออกมา “เข้ามันคิดง่ายเกินไป! เขาหน่วงเทพบรรพกาลนี่ชายแก่คนนี้จะรับมันไว้เอง!”

เล่ออี้จึงพูดแทรกขึ้นมา “พวกเจ้าเลิกหวังได้เลย เขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นเป็นของข้า!”

ข่านซัวหัวเราะออกมาเสียงดัง “งั้นก็มาแสดงพลังฝีมือกันให้เต็มที่เถอะ!”

เขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นเป็นยอดสมบัติที่เหนือล้ำกว่าการคาดการณ์ของคนทั้งสามมาก จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะตื่นเต้นมากขนาดนี้

เมื่อได้เห็นมันแล้วคนทั้งสามก็ไม่คิดจะออมมืออีกต่อไป แต่ละคนต่างปล่อยกระบวนท่าใหญ่ออกมาอย่างไม่ยั้งมือ

แต่การที่พวกเขามาถึงที่นี่นั้นมันหนักหน่วงเกินกว่าที่คนทั้งสามจะเคลื่อนไปด้านหน้าพร้อมๆ กันแล้ว

คนทั้งสามนั้นต่างมีแผนการในใจของตัวเอง ไม่มีใครคิดจะให้อีกฝ่ายได้เปรียบไปเลยแม้แต่น้อย

ไกลออกไป เกาหยุนก็กำลังพรางร่างตัวเองอยู่ด้วยสีหน้าที่แสนสับสน

เขานั้นเหมือนหมาป่าที่รอให้มีโอกาสเหมาะและจะเข้าไปคาบเหยื่อมากินเสียเอง

นี่คือความหวังใหญ่ในการบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ของเขา เขาไม่มีทางปล่อยมันหลุดมือไปแน่!